กับชีวิตของการทำงาน บางทีเรารู้สึก "empower" เมื่อเราสามารถเลือกได้ว่างานไหนเราจะรับ งานไหนเราจะไม่รับ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว เรารับมาก็ได้ ก็ไม่เสียหาย แต่ deadline มันอาจจะรีบเร่งไปหน่อย อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็ทำได้อยู่แล้ว เราคิดว่าเราทำทัน
ก็อาจจะมีบ้างที่ลูกค้าติดต่อมาให้เรางาน ทำนั่น นี่ โน่น last minute จริง ๆ แล้วเราสามารถรับงาน เรารู้ว่าทำได้ ความอึดของเรามีมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว เราคิดว่าเราเป็นคนขยันพอ และเราสามารถจัดเวลาของเราได้ แต่เราก็เลือกที่จะตอบปฏิเสธไป เพราะเราคิดว่า ถ้าเขาอยากให้ทำเรื่องให้จริง ๆ เขาก็น่าจะติดต่อเรามาแต่เนิ่น ๆ ให้เวลากันนิดหนึง ไม่ใช่มาเร่งรีบอะไร last minute เพราะเท่าที่เราสังเกตุดูก็คือ คนที่จะมาให้เราทำเรื่องให้ last minute อะไรประมาณนี้ พวกเขาไป shopping around มากันมาแล้ว ไปเลือกราคา ไปคุยกับเจ้านั้นทีเจ้านั้นที นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้ตั้งใจอยากจะให้เราทำให้ตั้งแต่เท่าไหร่ เราไม่ต้องการ position ตัวเราเป็นพวกสินค้า "แบกะดิน" personal branding ก็เป็นอะไรที่สำคัญ ถ้าเรา position ตัวเป็น Hyundai เราก็จะได้ลูกค้าอีกแบบหนึง ถ้าเรา position ตัวเป็น Lexus, Tesla, Ferrari เราก็จะได้ลูกค้าอีกกลุ่มหนึง ดังนั้นตัวเราเองก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน เราสามารถสังเกตุเห็นได้ว่าคนที่ follow เรามานานในพวกสื่อต่าง ๆ เขาจะมีความเชื่อมั่นในตัวเรามากกว่า เขาติดต่อมาเลยว่า อยากให้เราทำ case ให้ ไม่ถามอะไรวกวน เพราะเขาชื่อใจเราแล้ว และที่สำคัญคือ ไม่เคยต่อรองในเรื่องของราคา แบบนี้มันทำงานด้วยกัน มันก็สนุกกว่า คลื่นความถี่ตรงกัน ลูกค้าประเภทนี้ ประมาณว่าเขาเลือกเราแล้ว เขาเดินเข้ามาหาเราเลย เขาติดต่อเรามาเลย แต่ consumer behaviour บางคนก็อาจจะชอบที่จะทำอะไร last minute อาจจะเป็นคน disorganise หรืออาจจะยังไม่พร้อมในเรื่องอะไรหลาย ๆ อย่าง เราก็ไม่ขอ judge ใครทั้งสิ้น เพราะสินค้าบางอย่างอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน Lexus, Tesla, Ferrari อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน Hermes ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน งานบางงาน เราก็เลือกที่จะปฏิเสธไป เพราะเรามีคิวงานของเราอยู่แล้วไม่เคยขาด ไม่เคยว่างอยู่แล้ว ถ้าเราจะรับ case แบบเร่งด่วนเข้ามา ซึ่งบางทีมันก็เป็น case ใหญ่นะ ซึ่งเราก็ charge ในราคาที่สูงอยู่แล้ว ถ้ารับมา เราก็ได้ตังค์เยอะแน่นอน แต่เราก็เลือกที่จะไม่รับ เพราะจริง ๆ แล้วปีนี้ยอดขายเราได้ทะลุเป้าตามที่เราอยากได้แล้วตั้งแต่เดือน Oct ดังนั้นช่วง Nov-Dec อะไรที่เข้ามา เราก็ถือว่าเป็นกำไรของชีวิต หรือต่อจะให้ไม่มีงานเข้ามาเลย เราก็ไม่เป็นไร เราก็จะได้มีเวลาในการทำงานของเราอย่างอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็น "Project X" ที่แอบซุ่มทำตอนเช้า (แต่ก็ยังไม่เสร็จสักที), การเขียน blog, การทำ Video ลง YouTube หรือการทำ Podcast ด้วย ซึ่งงานแต่ละอย่างมันก็ต้องใช้เวลา และที่แน่ ๆ ก็คือเวลาในการออกกำลังกาย และนั่งเล่นอยู่กับครอบครัวด้วย การที่เรา "say No" กับ something ไม่ได้แปลว่าเราหยิ่ง แต่มันหมายถึงการที่เรารู้จักเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน เรารู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต จุดยืนของเราเด่นชัด เราไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว เมื่อความต้องการของเราไม่มาก เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง "หา" ให้มาก เพราะสิ่งที่หามาได้ ก็ขอแค่ให้มากกว่ารายจ่ายก็พอ และเรื่องการจัดสรรค์เงินทองอะไรประมาณเนี้ยะ เราก็อ่านหนังสือพวก personal finance มาเยอะ เราพอจะจัดสรรค์ได้ว่าจะต้องทำอะไร ยังไงบ้าง เราใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เคยสุรุ่ยสุร่ายเลย ทั้ง ๆ ที่ความจริงเราก็มีศักยภาพพอที่จะใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยก็ได้ถ้าอยากจะทำ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำ เรากับครอบครัวก็อยู่กันอย่างเพียงพอ มีความสุขกับคนในครอบครัว ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับใคร เราก็เลยบริหารในเรื่องของการเงินง่าย เราอยากจะแนะนำหนังสือ "The Millionaire next door" นะครับ ว่าง ๆ ก็ลองไปหาอ่านกันดู กับชีวิตการทำงาน หรือชีวิตทั่ว ๆ บางทีเราก็ต้อง "say no" กันบ้างนะครับ ชัดเจนกับชีวิตไปเลย คนไทยส่วนมาก จะคิดจะทำอะไรก็มัวแต่เกรงใจกันอยู่นั่นแหละ กลัวคนไม่รัก นั่น นี่ โน่น ส่วนตัวเราเอง เราก็ถือว่าเราโชคดีที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน character ของเราก็เลยออกจะ strong นิดหนึง ชัดเจนกับชีวิต "say no" กับ something ก็หมายความว่าเรา "say yes" to something else ดังนั้น อย่าให้อะไรที่เราไม่ชอบทำมาถูกมัดเรา งานไหนที่เราไม่ชอบ งานไหนที่เราไม่อยากทำ เราตอบปฏิเสธไปเลย แล้วเราจะก็มีเวลาได้ไปทำงานหรือทำอะไรในสิ่งที่เราชอบ แล้วชีวิตเราก็จะปวดหัวน้อยลง เมื่อเราปวดหัวน้อยลง ชีวิตเราก็จะมีความสุข คนรอบข้างก็จะมีความสุขไปด้วย ความสุขต้องเริ่มที่ตัวเราก่อนนะครับ ชีวิตคนเรา ถ้าเดินทางมาถึงจุดจุดหนึ่งของชีวิต
อาจจะด้วยคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ เราก็เริ่มที่จะ "ไม่แบก" อะไรหลาย ๆ อย่าง เราเลือกที่จะไม่แบกทุกข์ เราเลือกที่จะไม่แบกโลกทั้งใบเอาไว้บนบ่า บนหลังของเรา เราเลือกที่จะปล่อยวาง เรื่องบางเรื่อง เราเลือกที่จะให้มันผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไป เมื่อเราเลือกที่จะไม่แบก เราก็เริ่มรู้สึกเบา ชีวิตไม่มีพันธะใด ๆ มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่ปล่อยวาง มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่มีความสุข มันก็จะกลายเป็นชีวิตที่เบา ปัญหาอะไรทุกสิ่งอย่างที่มันผ่านเข้ามาในชีวิต เราก็ให้มันจบไปในวันนั้น เราจะไม่แบกเอาปัญหาอะไรต่าง ๆ มาย้ำคิดย้ำทำจนถึงอีกวัน เมื่อไหร่ที่เราเข้านอน พอตื่นมาอีกวันรุ่งขึ้น มันคือวันใหม่ มันคือการเริ่มต้นอะไรในชีวิตที่ดี ที่ใหม่ เราจึงเลือกที่จะไม่แบกทุกข์ แบกอะไรข้ามคืน ชีวิตมันก็จะเบา และมีความสุข “เมื่อเอาตัวมาออกสื่อ”
โดยส่วนตัวแล้ว เมื่อเราก้าวเอาตัวมาออกสื่อ เราก็พร้อมรับกับทุกสถานการณ์จ๊ะ รู้สึกเฉย ๆ กับ “haters” They don’t pay my bills. เราเลยจุดนั้นมานานแล้ว ถ้าเรามามัวใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ เราก็ไม่ต้องทำหามากินกันพอดี ถ้ากลัวคนวิจารณ์ ก็ไม่ต้องออกจากบ้านจ๊ะ… stay home. คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เราก็เลือกและ concentrate ไปที่คนรักสิจ๊ะ… ง่ายออก ความสุขในชีวิตมันมีแค่นี้จริง ๆ แต่โดยส่วนแล้ว เราได้อะไรมากกว่าที่เสีย ดังนั้นเราก็เดินหน้าต่อไปสิจ๊ะ อย่าให้มดตัวเล็ก ๆ มาดับฝันเราได้ เดินข้ามมดตัวนั้นไป เพราะเรามีฝันและเป้าหมายที่ใหญ่กว่า ที่ยิ่งใหญ่กว่า รู้สึกขอบคุณกับคนที่วิพากวิจารณ์ หวังร้าย กล่าวร้าย เพราะมันก็เหมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนให้เรา มันทำให้เราได้ปรับปรุงตัวเราเองด้วย เพราะชีวิตคนเรามันก็ต้องมีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทางที่ดี ในทางที่สร้างสรรค์ ไม่งั้นชีวิตคนเรามันก็ไม่ก้าวหน้า เราก็ห้ามใคร อะไร ไม่ได้ เพราะทุกคนมองโลกจากมุมที่แตกต่าง เขาก็มองโลกผ่านสายตาและประสบการณ์ของพวกเขา เราก็มองโลกผ่านสายตาและประสบการณ์ของเรา บางทีเราก็ต้องมองพวกเขาด้วยความเมตตา บางทีเราก็ต้องคิดว่า ชีวิตเขาคงผ่านอะไรมาเยอะ เขาถึงมีความคิดอะไรแบบนั้น เราก็ต้องเมตตาเขา อะไรประมาณเนี๊ยะ มันก็จบ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ขอให้ทุกคนรักกัน มองโลกจากมุมมองของความเมตตา ให้อภัย ไม่คิดทำร้ายกัน 8-9-10 Dec นี้ เราจะไปอยู่ที่นี่นะครับ
Class "Charming On Stage" ของครูโอ๋ จาก page "ครูโอ๋ พูดดี ชีวิตพุ่ง" ซึ่งเราก็จะเดินทางไปเมืองไทยเพื่อการนี้โดยตรง บิน 7 Dec, ถึงเมืองไทย 8 Dec 2am เข้า class 9:30am, no time for jet lag จ๊ะ 8-9-10 Dec เข้า class กับครูโอ๋ รู้ว่าจะต้องได้รับ tips & tricks จากครูโอ๋ a bit here and there อย่างแน่นอน 8-9-10 Dec เข้า class 11 Dec ทำงาน face-to-face consultation ที่กรุงเทพ ที่ SJ Infinite I, Business Complex วิภาวดีรังสิต 11 Dec ก็ทำงาน เจอลูกค้าจนถึง 4pm เสร็จแล้วก็กะว่าจะเปลี่ยนชุดที่ SJ Infinite เลยแล้วตรงดิ่งไปที่สุวรรณภูมิเลยครับ ไม่มีว่างให้พักผ่อนเลย จริง ๆ เวลาพักผ่อนก็เวลาที่นั่งอยู่ในรถนั่นแหละ ไปนี้เรากลับเมืองไทย 3 ครั้ง และเราก็ไปเข้า class ครูโอ๋ ทั้ง 3 ครั้งเลย โดยส่วนตัวแล้ว สำหรับคนที่ทำงานผ่านสื่ออย่าเรา มันก็สำคัญที่เราต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติม เพิ่มศักยภาพทางการสื่อสารของเราให้ดีขึ้น ไม่ง่ายนะกับใครบางคนที่ใช้เวลาเกินครึ่งชีวิตของเขาอยู่ต่างประเทศ จะพูดอะไร จะ LIVE อะไร คำพูดมันไม่ได้ flow เหมือนคนอื่น เหมือนคนที่เขาอยู่เมืองไทย เราไปเรียนกับครูโอ๋มาแล้ว 2 classes: - speaking to your audience (speaking well) - feeling inside out ซึ่งทั้ง 2 classes ก็เป็น signature class ของครูโอ๋ เราก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราด้วย เราเริ่มใส่ใจ "คำ" ที่เราพูดมากขึ้น OK แหละ มันอาจจะยังไม่ perfect แต่มันก็ดีขึ้นกว่าสมัยก่อน before & after มันสามารถวัดได้ด้วยตัวของเราเอง class ที่เราจะไปในครั้งนี้ ก็จะเป็น class "Charming On Stage" เอ๊ะ แล้วเรามี stage มีเวทีให้พูดเหรอ จริง ๆ แล้วทุกสถานที่คือเวที ทุกสถานที่คือ stage สำหรับเรา ไม่ว่าเราจะทำ LIVE หรือทำ Video clip อะไรก็ตามแต่ เราก็คิดว่ามันก็น่าจะนำเอามาประยุกต์ใช้ด้วยกันได้ เราก็คิดเอง เออเองของเราไปเรื่อยเปลี่อยแหละ แต่เรามั่นใจว่า จากทั้งหมด 3 classes นี้ที่เราเรียนกับครูโอ๋ภายในปีนี้ มันเหมือนกับว่าเราได้ทำอะไรให้กับตัวเราเองแล้ว เราคิดว่าเราสามารถนำเอามาประยุกต์ใช้เวลาที่เรา interact กับคนอื่นได้ ถ้าจบ 3 classes นี้แล้ว ก็ไม่แน่เราอาจจะกลับไปลงเรียน class เดิม ๆ อีกก็ได้ เพื่อเป็นการ recharge & recap อะไรต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้มา class ของครูโอ๋ เป็น class ที่น่าเรียนนะครับ และสามารถนำเอามาใช้ได้จริง ถ้าหากไม่ดีจริง เราก็คงไม่บินไปเรียนซะไกลถึงขนาดนั้น ถ้าหากมีโอกาส ก็ลองจัดสรรหาเวลา และจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายไปเรียนกับครูโอ๋กันนะครับ ก็เพราะชีวิตคือการลงทุน และชีวิตก็มีการเรียนรู้โดยที่ไม่มีวันจะจบสิ้น (ถ้าเรายังอยากจะเรียนอยู่) ขอบคุณครับครูโอ๋... จาก someone จากต่างแดน 2 วันที่ผ่านมา; Thu & Fri เป็น 2 วันที่ยุ่งกับการทำงานมาก
บางคนอาจจะสงสัยว่า "ยุ่ง" แล้วทำไมเงียบ ยุ่ง เพราะว่าเราทำงานกับลูกค้า ทำงานกับทีมงาน เงียบ เพราะเราติดต่อกันทาง email, LINE หรือ inbox เงียบ เพราะเราไม่ได้รับสายโทรศัพท์อะไรของใครที่เป็นเบอร์สายแปลก ๆ เลย เราจะรับเฉพาะสายของลูกค้าที่เรากำลังทำ case ให้อยู่เท่านั้น หรือคนที่มีนัดโทรมา consult มันก็เป็นการทำงานที่มีความสุข มีความสุขเพราะเรารู้ว่าเราได้ทำงานและรับใช้ลูกค้าอย่างเต็มที่ เราได้รับใช้คนที่เขาจ่ายเงินเราอย่างเต็มที่ เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ เราไม่ได้มีเวลามานั่งคอยรับโทรศัพท์พวกสายเบอร์แปลก ๆ อีกต่อไป ซึ่งจริง ๆ ก็เลิกรับมาได้ประมาณ 4 อาทิตย์แล้ว คือประมาณว่าตัดสินใจ หักดิบ เลย เพราะเราคิดว่าข้อมูลอะไรต่าง ๆ ที่หน้า page ของ "J Migration Team" ไม่ว่าจะเป็น blog, video clip หรือพวก facebook LIVE เราก็ได้ให้ข้อมูลฟรี ๆ ไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะต้องมานั่งรับทุกสายที่โทรเข้ามาเนี๊ยะ มันเป็นการเบียดเบียนตนเองมากเกินไป และมันก็เป็นการเบียดเบียนลูกค้าที่เขาไว้วางใจ "จ่ายเงิน" ให้เราทำงานให้ด้วย เราไม่รู้สึกผิดจ๊ะ ที่เราต้องดูแลและ concentrate ลูกค้าของเราก่อน เพราะหลาย ๆ ครั้งเหลือคนที่คนโทรหาสอบถามข้อมูล หรือ inbox, LINE มาสอบถามข้อมูล จริง ๆ แล้วพวกนี้เขาส่งคำถามเดียวกันนี้ไปที่อื่น ไปบริษัทอยู่แล้ว พวก "shopping around" ทุกวันนี้เราก็เลยเลือกที่จะดูแลเฉพาะลูกค้าของเราที่เรากำลังทำ case ให้อยู่ดีกว่า แล้วลูกค้าปัจจุบันเขาก็ไปแนะนำเพื่อน ๆ หรือคนที่พวกเขารู้จักมาให้เราเอง เราแทบไม่ต้องไปวิ่งหาลูกค้าใหม่เลย ไม่ได้หาลูกค้าใหม่มา 10 ปีแล้ว เพราะการสร้าง content marketing ของเรา มันจะหาลูกค้ามาให้เราเอง เราให้ก่อน ก่อนที่จะได้รับ เราให้ข้อมูล เราให้ความรู้ นั่นคือการลงทุน นั่นคือการตลาดของเรา เราไม่ต้องไปลงโฆษณาอะไร ยังไง ที่ไหน ปล่อยให้ Google มันทำงานของมัน ปล่อยให้ facebook มันทำงานของมัน ปล่อยให้ YouTube มันทำงานของมัน content ของเรามีอยู่ทุกที่อยู่แล้ว ยุ่งแล้วทำไมมีความสุขเหรอ? ก็มันเป็นงานที่ทำแล้วรู้สึก full fill มาก มันทำแล้วมันมีความสุข และเราก็เหมือนได้ทำหน้าที่ของเราได้อย่างเต็มเที่ยว มันเป็นอารมณ์ที่ flow มาก เราสามารถนั่งทำงานได้ตั้งแต่ 9am - 9pm เลย 12 ชั่วโมงของการทำงาน ไม่เคยบ่นเลยครับ มันมีความสุข เราไม่ได้ทำงานแค่ 9am - 5pm นะ งานของเรามันก็ long hour อยู่นะ แน่นั่นเราก็เลือกเอง ไม่ได้มีใครบังคับ ถ้าเลือกที่จะทำ ก็ต้องทำให้เต็มที่ ทำให้ถึงที่สุดหนะจ๊ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรานั่งทำงานตลอด 12 ชั่วโมงนะ เราก็มีช่วง break ไปยิมส์ ไปออกกำลังกายบ้าง อะไรบ้าง Thu เราตื่น 4:44am ตื่นก่อนนาฬิกาปลุก (4:50am) ปรกติ Thu เราจะไม่ post อะไรที่หน้า page ของ "J Migration Team" เราจะ post content ที่สำคัญ ๆ เฉพาะ จันทร์ พุธ และ ศุกร์ เท่านั้น ส่วนวันเสาร์ก็แล้วแต่อารมณ์ วันเสาร์จะเป็นพวก post ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในอาทิตย์นั้น ๆ มากกว่า หลักการ post ของเรา เราก็มีหลักการอยู่ ไม่ได้ post อะไรมั่ว ๆ เพียงแต่ว่าเมื่อเรา post อะไรไปวัน Thu ระบบการทำงานมันก็จะรวนนิดหนึง เพราะการนั่งเขียน blog มันก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เขียนกันขึ้นมากันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมาย มันก็ต้องมีการเช็คข้อมูลที่ถูกต้อง แล้วต้องตัวสะกดอะไรต่าง ๆ ให้ถูกต้องด้วย ประมาณว่า ถ้าจะทำอะไรทั้งทีก็ทำให้ดีไปเลย อย่าทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ Thu & Fri ที่ผ่านมา มันก็เป็นอะไรที่ได้งานเป็นชิ้นเป็นอันเยอะ นั่ง clear งาน นั่งทำ case ไปเงียบ ๆ ติดต่อกับทีมงาน ประสานงานกับทีมงานคนอื่น ๆ ด้วย ทุกอย่างผ่าน email, ผ่าน messenger อะไรก็ว่าไป ก็แล้วแต่ว่าทีมงานเป็นคนไทยหรือฝรั่ง แต่ละคนก็ใช้เครื่องมือในการสื่อสารต่างกัน ของเรายังไงก็ได้ "ได้หมดถ้าสดชื่น" คนเราหากเรารู้หน้า ความผิดชอบของตัวเอง แล้วได้ลงมือทำ ได้ทำอย่างที่ มันก็มีความสุขนะ สุขที่ได้ทำ สุขที่ได้รับใช้ และแน่นอนสุขที่ได้รับค่าตอบแทนที่เราคิดว่าเราควรจะได้ เรา positioning ตัวเรา สินค้าเราเอาไว้แล้วอย่างชัดเจน สินค้าบางอย่างมันอาจจะไม่เหมาะกับทุกคนก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับ Lexus ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับ Tesla ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับ Ferrari เราเองก็มีกลุ่มเป้าหมาย กลุ่ม target ที่ชัดเจน กลุ่มเป้าหมายไหนที่เราอยากได้ ไม่อยากเลยครับ ก็สร้าง content ให้ความรู้ในเรื่องของวีซ่าตัวนั้น ๆ ที่เหลือทุกอย่างจะเป็นไปตามกลไกของมันเอง ไม่ช้าก็เร็ว ปล่อยให้ Google มันทำงานของมันไป ปล่อยให้ facebook มันทำงานของมันไป ปล่อยให้ YouTube มันทำงานของมันไป เชื่อมั่นกับสิ่งที่เรารู้ นำเอามาแบ่งปัน เมื่อศีลเสมอเราก็คงได้ร่วมงานกัน ก็แค่นั้นเอง เราไม่ได้คิดอะไรมาก ใครที่เลือกจะเสพข้อมูล เสพ content จากพวก webboard หรือ facebook group อะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่เขา เราจะไม่กระโจนลงไปเล่นด้วยเป็นอันขาด เรามี platform ของเรา เรามี page และ website ของเรา นี่คือ "ช่องสื่อ" ของเรา เราจะไม่ไป post อะไรที่ไหน ตามพวก webboard หรือ facebook group ต่าง ๆ เพราะพวกนั้นเรา control อะไรไม่ได้ ดอกไม้สวย เดี๋ยวผึ้งก็จะบินมาไต่ตอมเอง เอ๊ะ มันเกี่ยวกับ Law of Attraction กฎแห่งแรงดึงดูดหรือเปล่านะ แต่ของเราขอเป็น "กฎแห่งแรงดูดดึง" ก็แล้ว :) 2 วันที่เงียบหายไปจาก page "John Paopeng เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้" และก็ website johnpaopeng.com เราก็ไม่ได้หนีหายไปไหนนะครับ เรานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน วันละประมาณ 12 ชั่วโมง จนหน้าจะกลายเป็น 4 เหลี่ยมอยู่แล้ว แต่ก็คงจะเป็น 4 เหลี่ยมแห่งความสุข วันนี้วันเสาร์ ทุกอย่างก็น่าจะ back to normal ละ วันเสาร์จะเขียน blog ของอะไร วันอาทิตย์จะเขียน blog ของอะไร ทุกอย่างมันก็มี system ของมันอยู่จ๊ะ รอติดตามกันต่อไปนะครับ วันนี้เราขอเอาความรู้ตอนสมัยเรียน master degree จาก USQ (University of Southern Queensland) มาฝากนะครับ
โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบศึกษาการตลาด การบริหาร การทำงานของคนญี่ปุ่น และวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอยู่แล้ว เราก็เลยเลือกที่จะลงเรียนอักษรญี่ปุ่นที่ UOW เพิ่ม ช่วงที่เรียนโทที่ USQ 1 วิชาที่เราชอบก็คือวิชา "Marketing Management" เพราะเราต้องอ่านและ analyse พวก case study ของบริษัทดัง ๆ ยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เราชอบ case study ของบริษัท Toyota เกี่ยวกับการวาง positioning ของ Lexus หลาย ๆ คนไม่รู้ว่า Lexus เป็น luxury car ของญี่ปุ่น หลาย ๆ คนคิดว่า Lexus เป็น luxury car มาจากยุโรป ที่ญี่ปุ่น รถ Lexus ก็จะเป็น brand Toyota Lexus เพราะยังไงคนญี่ปุ่นก็เป็นชาตินิยมอยู่แล้ว สินค้ามีชื่อ Toyota ติดอยู่ ยังไงคนญี่ปุ่นก็ซื้อ แต่เราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังใช้ชื่อ Toyota Lexus อยู่มั้ย เพราะ case study ที่เราเรียนมา ก็นานพอสมควรแล้ว ที่ต่างประเทศ Lexus จะแยกออกจาก Toyota ซึ่งก็เป็น branding ที่ชัดเจน ที่ญี่ปุ่น ศูนย์ซ่อมหรือศูนย์ให้บริการของ Toyota กับ Lexus จะเป็นศูนย์เดียวกัน แต่ทางเข้าออกศูนย์จะอยู่คนละประตู บรรยากาศและการบริการของข้างในศูนย์ก็จะแตกต่างกันไปด้วย เป็นไงหละ มันเป็นการวาง positioning ที่เก๋มาก ประมาณว่า business class เข้าประตูหนึง และ economy class เข้าอีกประตูหนึง อะไร ยังไงยังงั้น เราเคยสังเกตไหมว่า Lexus ไม่เคยมีโปรโมชั่นลดราคาอะไร นั่น นี่ โน่น เลย ซึ่งแตกต่างจาก Toyota ซึ่งมันก็ทำให้รู้ว่า การวาง position ของสินค้าในตลาดนั้นสำคัญ ถ้าเราวาง position ให้เป็น high end product การตลาดและ positioning มันก็ต้องแตกต่างกันไป เพราะถ้าเผื่อไม่อย่างนั้นแล้ว สินค้าบางสินค้าก็จะกลายเป็น "สินค้าแบกะดิน" ได้ สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการ เราคิดว่ามันสำคัญนะ ที่เราจะต้อง position brand ของเรายังไง จริง ๆ แล้วเรื่องนี้สำคัญกับทุกคนแหละ ต่อให้เราไม่ทำธุรกิจหรือเป็นผู้ประกอบการก็เถอะ เพราะมนุษย์ทุกคนคือ salesperson นะครับ ขาย idea, ขายตัวตน มันนำมาประยุกต์ใช้ด้วยกันได้หมดเลย ไม่เฉพาะเจาะจงเฉพาะผู้ประกอบการเท่านั้น "To Sell Is Human" เราชื่นชอบ marketing strategy ของบริษัท Toyota Japan นะ ที่สามารถวาง position ของสินค้าได้แตกต่างและเด่นชัดมาก Toyota รุ่นธรรมดา ก็จะวาง position อีกแบบหนึง Toyota Lexus ก็จะวาง position อีกแบบหนึง เก่งหนะ ช่างคิด ช่างทำ มันเป็นการใช้ imagination และผสมผสานเข้ากับ creative thinking มาก ๆ เลย มันไม่ใช่การ "think outside the the box" แต่นี่มันคือการ "break the box and be free" มากกว่า เราไม่ชอบ concept ของพวก "think outside the box" เพราะการ "think outside the box" แสดงว่ามันยังมีกรอบทางด้านความคิดอยู่ มันยังไม่ "free" ยังไม่เป็นอิสระทางด้านความคิด แต่ถ้าเราสามารถ break the box ได้ มันก็จะกลายเป็นความคิดที่ไม่มีกรอบเลย เป็นอิสระ เราสามารถ imagine หรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เรามีในการคิดและทำอะไรต่าง ๆ นานา ซึ่งมันก็รวมกันการตลาด การวาง position ของ brand ของเราด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็สามารถนำเอามาประยุกต์ใช้กับชีวิตการทำงาน หรือชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปของเราได้ เช้าวันจันทร์ evaluate your life
เช้าวันจันทร์ วันแรกของอาทิตย์ของการทำงานของหลาย ๆ คน เริ่มต้นอาทิตย์ของการทำงาน หมั่นตรวจดูชีพจรของการทำงานว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่เราชอบไหม เป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขหรือเปล่า ถ้าสิ่งที่ทำแล้วไม่ชอบ ไม่ตอบโจทย์ในชีวิต ก็ลองมองหาอะไรใหม่ ๆ ดูบ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ อย่าจมอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ ทำแล้วไม่มีความสุข หลายๆคนมี side hustle คืองานเสริมที่เราชอบ ก็ลองดูนะครับ บางทีงานเสริมพวกนี้ side hustle พวกนี้ วันหนึ่งมันอาจจะกลายมาเป็นงานหลัก ที่เราทำแล้วแล้วมีความสุขก็ได้ ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ เราก็สามารถที่จะ jump ship ได้ พยายามมองหาอะไรที่มันตอบโจทย์กับชีวิตของเรา พยายามมองหาอะไรที่ทำแล้วชีวิตมีความสุข รักในสิ่งที่ทำและก็ทำในสิ่งที่รัก แล้วเราก็จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ไปนาน ๆ การทำเราจะทำสื่อ online หรือสร้าง content ของเราเอง เราควรจะมีช่องทางในการเผยแพร่สือหรือ content ของเราเอง เราจะได้ control ทุกอย่างได้
อย่างเช่นมี facebook page เป็นของตัวเอง มี website เป็นของตัวเอง หรือแม้แต่ facebook group ก็เถอะ โดยเฉพาะคนไทยในประเทศออสเตรเลีย มันก็จะมี facebook group ใหญ่ ๆ อยู่ไม่กี่ group แล้วก็ดึงคนกันไปกันมา ใน case ของ facebook group คนที่มีอำนาจหรือ power สูงสุดก็คือ admin และเวลาเราจะ post อะไรเราก็ต้อง "ขออนุญาต" เขา มันจะเป็นการดีกว่ามั้ย ถ้าเรามีช่องทางของเราเอง แล้วเราไม่ต้องไปขออนุญาตใคร เราก็จะ control distribution ของเราได้ดีกว่า เราเข้าใจแหละว่าทุกคนมีจุดเริ่มต้น เริ่มจากการไป distribute ตามพวก facebook group ต่าง ๆ ก่อน โดยส่วนตัวแล้ว ของ J Migration Team เราไม่ได้ post อะไรตามพวก facebook group เราเคย post ใน Natui.com.au อยู่ประมาณ 3-4 เดือนช่วงปี 2015 พอทำได้ประมาณ 3-4 เดือนเราก็เลิก แล้วก็หันมาใช้การยิง facebook ads เอา ซึ่งเป็นอะไรที่ work มาก ๆ เราก็ศึกษาและลองผิดลองถูกอะไรของเราเอง ซื้อมาวันละ $1 อะไรประมาณเนี๊ยะ ขำ ๆ เล่น ๆ แต่ผลลัพธ์ออกมาดีมาก หลังจากปี 2015 เราก็สร้างฐานแฟน สร้างฐานคน follow มาเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้จะทำการตลาดอะไร มันก็จะง่าย แต่เราก็ต้องสร้าง content ที่เป็นประโยชน์กับคนที่เขามา follow เราด้วย เราต้องเป็นผ้ให้ก่อน ก่อนที่จะเป็นผู้รับ สำหรับใครที่อยากจะสร้าง content อะไรออกมา หรือต้องการมีตัวตนบนโลก online เราก็คิดว่าหนังสือ Gary Vee เป็นอะไรที่น่าอ่านนะครับ เราอ่านหนังสือของ Gary Vee แทบทุกเล่ม มีเล่มเดียวที่ไม่ได้อ่านคือ "Jab Jab Jab, Right Hook" ซึ่งก็พอจะเดา concept ของหนังสือได้ ถ้าหากเรามีช่องทาง หรือสื่อที่เราสามารถ distribute content ของเราได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่ง facebook group ของใคร การที่เราไป post อะไรในพวก facebook group ต่าง ๆ ก็ไม่ผิดนะ มันก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คนรู้จัก content ของเรา แต่ก็เราก็จะต้องไม่ ไปยืมจมูกคนอื่นมาหายใจให้มาก เราต้องรีบสร้างสื่อ สร้างช่องของเราเอง โดยที่ไม่ต้องไปอาศัยอะไรคนอื่นให้มาก ถ้าเราสร้าง content ที่มีประโยชน์ ยังไงคนก็ติดตาม ช่วงแรก ๆ คนอาจจะยังไม่เยอะ ก็อย่าเพิ่งท้อ ให้ทำไปเรื่อย ๆ แล้วทุกอย่างจะกลายเป็น snowball effect มันจะค่อย ๆ ขยายใหญ่ของมันเอง แต่จะต้องทำแบบไม่หยุด หยุดไม่ได้ เหมือนเราปลูกต้นไม้ เราก็ต้องเฝ้าเพียร พยายาม ดูแลรักษา ให้น้ำ ให้ปุ๋ย การสร้าง content ก็เหมือนกัน การสร้างตัวตนบนโลก online ก็เหมือนกัน คนที่อึดเท่านั้นที่จะชนะ คนที่อึดเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ The winner never quit. The quitter never win. ก็ลองดูนะครับ ลองทำอะไรของเราเอง มีช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าของเราเอง เราจะได้ไม่ต้องไปอาศัยช่องทางของคนอื่น จะได้ไม่ต้องไป "ขออนุญาตใคร" ในการ post content ของเรา "Ikigai" คือเป้าหมายของชีวิตหรือจุดมุ่งหมายของชีวิต
ถ้าชีวิตเรามี Ikigai ที่แน่นอนและชัดเจน เราก็รู้ว่าแต่ละเช้า เราตื่นขึ้นมาเพื่ออะไร สิ่งที่เราทำแต่ละวัน เราทำไปเพื่ออะไร เรียบง่าย ชีวิตมันก็มีความสุขได้ ช่วงกลางปีของปีนี้ที่มีข่าวที่สหรัฐว่า facebook มีการรั่วไหลข้อมูลของคนที่ใช้ facebook ให้กับบริษัททำการตลาดในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ และทำให้เกิดการ influence ผู้บริโภคในช่วงการเลือกตั้ง หลาย ๆ คนก็ออกมาต่อต้านและ boycott facebook กัน
หนึ่งในนั้นคือ Elon Musk เศรษฐีระดับโลก ถ้าใครได้อ่านหนังสือหรือฟัง audiobook ชีวประวัติของ Elon Musk ก็จะรู้ว่า Elon Musk ไม่ค่อยชอบ Mark Zuckerberg เท่าไหร่ เพราะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของ AI Elon Musk เป็นคนฉลาด เก่ง และอารมณ์ร้อน (ลองอ่านชีวประวัติของเขาดูนะครับ) ถ้า Musk ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เขาก็ลบ facebook page ของบริษัทเขาไม่ว่าจะเป็น facebook page ของ Tesla ซึ่งมีคนติดตามเป็นหลายล้านคน คนรวย คนดัง คนเก่ง อย่าง Musk คิดจะทำอะไรก็ได้ ไม่เห็นแปลก เพราะเข้าก็ใช้ Twitter และ Intagram ซะเป็นส่วนมาก โดยส่วนตัวเราเอง เราก็ follow Musk ใน Twitter อยู่แล้ว Elon Musk เป็นบุคคลที่น่าสนใจคือ เขาตอบ Twitt และ Intagram ของเขาเอง นี่คนที่รวยระดับโลก และยุ่งสุดขีดแต่ก็มีเวลาที่จะ interact กับคนที่ติดตามเขา น่าชื่นชมมาก โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบ Elon Musk ถึงแม้เขาจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราก็มองเฉพาะข้อดีของเขาก็แล้ว หลายคงอาจจะมองว่า อ้าว เขาไม่ใช้ facebook แล้ว แต่ก็ยังใช้ Intagram ซึ่งก็เป็นของ facebook อยู่ดี ก็ใช่นะ แต่ feature ของ facebook และ Intagram ต่างกัน และ demographic ของคนที่ใช้ก็แตกต่างกันด้วย Majority ของคนที่ใช้ facebook ก็จะอยู่ในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป Intagram user ก็จะเป็นคนหนุ่มสาวช่วงอายุ 25 ปีอะไรประมาณนี้ ดังนั้นสำหรับ content marketer แล้ว เราก็ต้องเรื่อง features ที่แตกต่างและกลุ่มคนที่ใช้สื่อต่าง ๆ ด้วย อย่างถ้าเป็นคนจีนก็ต้องใช้ "WeChat" เพราะประเทศจีนไม่มี facebook อย่างนี้เป็นต้น อาทิตย์ที่แล้ว facebook ก็มีข่าวออกมาอีกว่ามีข้อมูลของคนที่ใช้ facebook รั่วไหลอีกแล้ว คราวนี้ Jim Carrey ดารา Hollywood ก็ออกมา Twit ว่าเขาลบ facebook account ของเขาแล้ว เราไม่ได้เป็น fan ของ Jim Carrey หรอกนะ แต่ก็เห็นในข่าวก็แค่นั้นเอง สำหรับ content marketer แล้ว เราต้องรู้ทิศทางและกระแสของการใช้ social media ของผู้บริโภคด้วย เหตุการณ์พวกนี้มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะเลิกใช้ facebook เลยทันที แต่มันก็ทำให้เรารู้ว่า มันไม่มีอะไรที่อยู่ยงคงกระพัน สำหรับคนไทยแล้ว ก็ลองดู "Hi5" สิ แต่ก่อนมีคนใช้เยอะแยะ ตอนนี้ดับไปแล้ว หรือถ้าเป็นต่างประเทศ ก็ MySpace ซึ่งก็เปิดตัวช่วงเดียวกันกับ facebook แต่สำหรับคนที่มี personal branding ที่ดีแล้ว คนจะ follow เขาไม่ว่าเขาคนนั้นจะย้ายตัวเองไปที่ platform ไหน ดังนั้นสุดท้ายแล้ว มันก็ต้องเน้นจะสร้าง personal branding ให้เด่นชัด ทุกคนมีจุดเริ่มต้น การ online marketing ของเรา เริ่มต้นจาก blogger.com คือการเขียน blog และสร้าง content บน blogger.com แล้ว content พวกนี้จะไม่หนีหาย ต่อให้ algorithm ของ facebook เปลี่ยนไปหรือจะอะไรยังไงก็ตามแต่ เราเห็นหลาย ๆ เขียนพยายามเขียน blog บน facebook ซึ่งเราคิดว่าผิด เพราะคน search หายาก เราต้องเขียน blog ของเราสิ จะ host ไว้ที่ไหนก็ได้ แล้วค่อย copy หรือเอา link มาแปะที่ facebook blog ที่เราเขียนก็จะมี:
ตอนนี้เราก็เริ่มมา spend more times ทำ website ของเราด้วย ก็ค่อยทำ ๆ ไป ค่อย ๆ เขียน content ไป มั่นใจว่าทุกอย่างจะต้องออกมาเป็นรูปเป็นร่างแน่นอน เราไม่ได้ตื่นมาตี 4 ตี 5 เพื่อทำอะไรเล่น ๆ ขำ ๆ ทุกอย่างที่ทำ เรามีจุดหมายที่แน่นอนและเด่นชัดเสมอ http://jmigrationteam.com http://johnpaopeng.com ทั้งหมดนี้ คือทำเองคนเดียวครับ ไม่มีคนช่วยทำ เราก็อยากจะให้ทุกคนลองศึกษาเรื่อง content marketing ดูนะครับ สร้าง content บ้าง อย่าเป็นแค่คนเสพ content อย่างเดียว คิดแล้วทำ ลงมือทำ "ทำทันที" นะครับ |
AuthorJohn Paopeng Archives
September 2024
Categories |