วันก่อนที่เราเขียน blog เกี่ยวกับชีวิตเราตอนเรียนที่ UOW
แรงจุงใจก็มาจากเพื่อนคนนี้ เอาจริง ๆ นะ คนไทยที่มาเรียน UOW ด้วยกันปีนั้น ยอมรับเลยว่าเรา "เป็นเพื่อนที่ไม่ดี" เพราะไม่อินังขังขอบกับใคร เพื่อนที่สนิทก็จะเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันใน class มากกว่า ก็เป็นคนไทยคนเดียวในคณะ (ของรุ่นนั้น ปีนั้น, แต่ก่อนจบก็มีน้องคนไทยย้ายมาจาก Canberra มาเรียน Computer Science อีก 1 หนึ่งคน ทั้ง 3-4 ปีคนไทยแค่ 2 คน) เพื่อนเราจึงเป็นเพื่อนชาวต่างชาติมากกว่า และก็เพื่อน ๆ จากกลุ่ม OCF; Overseas Christ Fellowship ใน facebook ส่วนตัว (อันที่ส่วนตัวจริง ๆ นะ อันที่ไม่เปิด public) ก็จะเพื่อนที่เป็นคนไทยไม่กี่คน เพิ่งกลับมา reconnect กับเพื่อนที่เป็นคนไทยสมัยเรียน UOW ปีเดียวกันเมื่อ 1-2 ปีมานี้เอง เพราะตอนเรียนจบสมัยโน้น มันก็ยังไม่มีสื่อ social พอเรียนจบต่างคนก็ออกไปมีชีวิตของใครมัน เราก็จะยังติดต่อเฉพาะเพื่อนที่เรียน Computer Science มาด้วยกัน เพราะหลาย ๆ คนยังอยู่ที่นี่และนัดทานข้าวด้วยกันนาน ๆ ที จากที่ขาดการติดต่อกันตั้งแต่เรียนจบ เพื่อนคนไทยคนนี้ตอนนี้มีอะไรที่พิเศษมาก ที่ทำให้เราประทับใจ แต่ขอ flahs back ไปเมื่อสมัยเมื่อครั้งกระโน้นก่อนนะ สมัย UOW ปีที่เราเรียน UOW จะนักเรียนคนไทยเรียนสายวิทย์กันอยู่ 5 คน เราเรียน Computer Science x 1 คน Engineering x 3 คน แต่จบแค่ 1 คน เรียนเมืองนอกถ้าไม่ตั้งใจเรียน มันก็จบยากอยู่เน้อ Science; Chemistry x 1 คน มันก็จะมีกันแค่นี้ทั้งมหาลัยปีนั้น ที่เรียนสายวิทย์ นอกนั้นก็เป็นลูกท่านหลานเธอ ลูกคนใหญ่คนโตที่เขามาเรียน commerce กัน ไม่ได้ anti คนเรียน commerce แต่ที่ UOW มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ สมัยนั้นนะ สมัยนี้ไม่รู้ ในบรรดาเด็กที่มาเรียนสายวิทย์กันปีนั้น ที่เด่น ๆ หน่อยก็มีเรา และเพื่อนอีกคนที่เรียนวิทยาศาสตร์เคมี; Chemistry เพื่อนคนที่เรียน Chemistry เป็นคนเรียนเก่งมาก ผลการเรียนดีตลอด เดินเข้าไปในห้องนอน ก็จะเห็นตารางธาตุและสูตรเคมีต่าง ๆ เต็มพนัง และเพื่อนเองก็ "หน้าหม้อ" มาก มีความเจ้าชู้เป็นเลิศ จีบผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่มีแฟนซักที ก็เพราะเขาจีบดะ จีบไปเรื่อย ไม่จริงจังกับใครซักคน แต่เรื่องการเรียน เพื่อนคนนี้ "ชนะเลิศ" พอเรียนจบ เราไม่ได้ติดต่อเพื่อนคนไทยรุ่นเดียวกันเลย ต่างคนต่างไปมีชีวิตของใครมัน และสมัยก่อนมันก็ไม่ได้ social media อะไรแบบนี้ แต่เดาเอาว่าเพื่อนต้องมีการงานที่ดีแน่นอน เป็นพนักวิทยาศาสตร์ จบเคมี จบเมืองนอก เราเดาเอาว่าเพื่อนก็คงมีชีวิตงานการที่ดีแหละ ช่วงจบใหม่ ๆ 20 ต้น ๆ พอเพื่อน add facebook เข้ามาก็เห็น facebook feed ของเพื่อนที่มีแต่ธรรชาติ ท้องทุ่ง กบ เขียด หอย ปลา ปู เราก็งง เอ๊ะ เพื่อนต้องทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์สิ แต่ชีวิตของเพื่อนที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ถาม ไม่ได้ละลาบละล้วง เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ก็เราเพิ่งจะกลับมา reconnect กันตั้งแต่แยกย้ายกันไปตอนเรียนจบ เพื่อนกลับไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับคุณแม่ เพราะคุณแม่แก่แล้ว และเหลือคุณแม่แค่คนเดียว และเพื่อนตอนนี้ก็โสด เราก็ไม่กล้าถามนะว่าที่ผ่านมาได้แต่งงานมีฝั่งมีฝาอะไรกับเขาหรือเปล่า หรือว่าโสดมาโดยตลอด เพราะนิสัยตอนที่เรียนมหาลัย เขาไม่น่าจะโสดมาจนถึงปัจจุบัน อาจจะแต่งแล้วหย่าหรือเปล่า เราไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่กล้าถาม แต่คือไม่มีลูก ไม่มีแฟน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เพื่อนกลับมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายกับคุณแม่ ดูแลคุณแม่ เพื่อนตัวคนเดียว เราคิดว่าเพื่อนไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินแหละ ถ้าทำงานมาในสายวิทยาศาสตร์มา เพื่อนก็น่าจะมีเงินเก็บอยู่พอสมควร บ้านหลังใหญ่โต เพื่อนอยู่กัน 2 คนกับคุณแม่ ทุกวันนี้เพื่อนดูมีความสุขมาก อาจจะเหงา อาจจะไม่ได้เมา แต่เพื่อนดู "เต็มอิ่ม" มาจากข้างใน กลับมาอยู่กับธรรมชาติ กลับมาดูแลคุณแม่ นาน ๆ ทีเขาก็จะพูดเรื่องปุ๋ย แล้วก็โยงเข้ากับวิชาเคมี คนเคยเป็นนักเคมี ยังไงก็ยังเป็นนักเคมีอยู่วันยังค่ำ ดูเหมือนว่าเพื่อนได้เจอความสุขที่แท้จริง ได้เจอสัจธรรมของชีวิต ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายของจริง เห็นแล้วเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย เราดีใจที่เห็นเพื่อนมีความสุขในแบบนั้น ที่เรียบง่าย Retire Young เป็น concept ที่อธิบายให้คนอื่นเข้าใจยาก แต่ก็ช่างเขาเถอะ หลาย ๆ คนอาจจะไม่เข้าใจ คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า "ยังหนุ่มยังแน่น ก็ทำไปสิ ก็หาไปสิ อย่าเพิ่งเลิกทำงาน" ยังหนุ่มยังแน่น แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเรา "พอแล้ว" "อิ่มแล้ว" หละ ถ้าเราไม่ได้เดือดร้อนแล้ว มีพออยู่พอกิน ไม่ก่อหนี้ก่อสิน และถ้ามี passive income เข้ามาด้วย กันก็ Retire Young ได้ หรือ Semi retire เราคิดว่ามันเป็น concept ที่ทำได้จริง เพื่อนเราบอกว่า เขากลับมาใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่ได้ 3 ปีแล้ว ดีใจที่เห็นเพื่อนได้ retire ตัวเองเร็วมาก เราก็เองก็คงต้องจัดการกับชีวิตตัวเองต่อให้ได้ จะไปทางไหนต่อจากนี้ จริง ๆ เราก็มี plan แหละ เขียนใส่สมุดโน๊ตทุก ๆ เช้า จริง ๆ แล้วชีวิตคนเรา ถ้าเงินไม่ใช่ที่ตั้งของชีวิต เราสามารถมีความสุขอยู่กับอะไรง่าย ๆ ก็ได้นะ เราดูเพื่อนถ่ายรูปต้นไม้ ต้นหญ้า ธรรมชาติ นั่น นี่ โน่น ดูแล้วมีความสุขจัง เออ... เราก็อยากทำมั่งนะ เดี๋ยวเสร็จเรื่องบ้านแล้ว ชีวิตก็น่าจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอย เราต้องทำได้สิ Note: เพื่อนที่ UOW เรามี 2 รุ่น รุ่นแรกคือ Computer Science รุ่นที่ 2 คืออักษรญี่ปุ่น มันก็จะคนละอารมรณ์กัน วันหน้าฟ้าใหม่ ก็จะทยอยเล่าไปเรื่อย... :) วันนี้เลื่อนผ่าน facebook เห็นชีวิตของเพื่อนคนไทยสมัยเรียน UOW; University of Wollongong
มันทำให้เรานึกถึงชีวิตวัยเรียนที่ UOW วันนี้ทุกคนมีชีวิตที่แตกต่าง ทุกคนมีทางเลือกของใครมัน ตอนสมัยที่เรียนอยู่ที่ UOW เรามีเพื่อนที่เป็นคนไทยน้อยมาก เราเป็นเด็กสายวิทย์ ในขณะที่คนไทยส่วนมากที่ UOW จะเรียนสาย commerce กันและพวกลูกท่านหลายเธอก็เยอะ เพราะ UOW ก็มี project ร่วมกันกับ ABAC คือเรียนปี 1 ที่ ABAC แล้วมาเรียนต่อปี 2 และปี 3 ที่นี่ต่อได้เลย ดังนั้นลูกท่านหลานเธอที่พากันมาชุบตัวที่เมืองนอกจึงมีเยอะมาก เรียน ๆ เล่น ๆ เที่ยว ๆ วน ๆ กันไป และก็มาสร้าง connection กัน บางคนขับ Lexus ไปเรียน Versace หัวจดเท้า บางคนเป็นพระสหายของคนในวัง บางคนเป็นลูกสาวคนเดียวของนักการเมืองใหญ่ กลับไปเขาก็ไปเป็น ส.ส ดาราช่อง 7 นายแบบ ที่ UOW เรามีหมดทุกรูปแบบ เราเป็นเลขาสมาคมนักเรียนไทยใน UOW อยู่ 2 ปี (TSAW; Thai Student Association Wollongong) แต่เอาจริง ๆ นะ เราแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะตอนนั้นเด็กมาก พี่ที่สนิทบอกให้เป็น เราก็เป็น เพราะจริง ๆ พี่ ๆ เขาก็จัดการประสานงานทุกอย่างกันอยู่แล้ว เราก็มีหน้าที่ไปนั่งเบลอ ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขา ไปนั่งเพื่อให้ครบองค์ประชุมก็แค่นั้นเอง ตอนนั้นเราไม่ได้มุ่งเรื่องกิจกรรม เราเน้นการเรียนมากกว่า เพราะมาสาย academic กงสุลไทยที่ Sydney เหรอ ท่านทูตที่ Canberra เหรอ พวกเราประสานงานกันมาหมดแล้ว เพราะต้องจัดการกีฬาประสานมิตรทุก ๆ ปี สมัยก่อนจะจัดกันอยู่แค่ 4 เมืองเท่านั้นเอง; Wollongong, Sydney, Canberra และ Melbourne 2 ปีที่เราเป็นเลขาของสมาคม ปีแรก; Wollongong เป็นเจ้าภาพ ปีที่สอง; Canberra เป็นเจ้าภาพ ปีที่ Wollongong เป็นเจ้าภาพ พวกเราก็ต้องประสานกับโรงแรมต่าง ๆ เพื่อเป็นที่พักให้กับนักเรียนที่มาจาก Sydney, Canberra และ Melbourne เราจะแข่งกีฬากันอยู่ 2 วัน และก็จะ party night กัน 1 คืน ตอนนั้นเราจัดกันที่ Novotel Hotel, ด้านล่างจะมี night club; "Splashes" และการที่เราเป็นทีมงาน คือมันเท่มาก เพราทีมงานะจะมี wrist band ให้ และคืนที่มี party night เราก็เป็นคนยืนที่ประตูมีหน้าที่หนีบบัตร make sure คนที่เดินเข้าออกงานต้องมีบัตรเข้างาน เป็นทีมงานของสมาคม วันแข่งกีฬา ทุกคนก็ต้องติดต่อประสานงานอยู่แล้ว และคืนของ party night เราก็ต้องยืนอยู่ที่ประตูงานอยู่แล้ว ก็ต้องมีคนจำหน้าได้ ไม่ได้ dance ไม่ได้ drink อะไรกับเขาหรอก เพราะต้องยืนเฝ้าประตู (น่าสงสาารจัง) หน้าตาดีแบบนี้ เรียนเก่งแบบนี้ เชิด ๆ มั่น ๆ แบบนี้ ก็คงไม่แปลกที่จะมีคนอยากสานสัมพันธ์ แต่ก็อย่าเลย เราคงไม่เหมาะกัน เพราะอีกฝ่ายขับ Porsche แต่เรานั่งรถเมล์ไปเรียน และเราก็เป็นเด็กสายวิทย์ ถ้าจะคบกันใครซักคนขอเป็นเด็กสายวิทย์ด้วยกัน มันคุยกันง่าย คุยภาษาเดียวกัน (อันนี้ความคิดสมัยเด็ก ๆ หนะนะ ตามประสาเด็กเกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.92) โลกของเราเป็นโลกแคบ ๆ เรามี circle ของเรา ถ้าเกรดเฉลี่ยไม่ถึง 3.50 ก็อยู่ใน circle ของเราอยาก แต่เราก็ไม่เคยดูถูกหรือ look down ใครนะ เพียงแต่คิดว่าความถี่ไม่ตรงกันมากกว่า ไม่รู้จะคุยกันเรื่องอะไร เราเป็นคนไทยคนเดียวที่เรียน Computer Science ในปีนั้น รุ่นนั้น ยิ่งเด่นไปอีก นักเรียนไทยสมัยก่อน จะมีโต๊ะม้านั่งประจำของนักเรียนไทยอยู่ตรงหน้า NAB ใครมา Uni ก่อนก็มานั่งแหมะอยู่ตรงนั้น พอถึงคาบเรียนก็ไปเรียน พอเรียนเสร็จก็มานั่งที่ม้านั่งนี้ต่อ อะไรประมาณนี้ คล้าย ๆ เป็นจุดนัดพบ โต๊ะนั่งถัดไปก็จะเป็นเด็ก Indonesia แต่ละคนอู้ฟู่มาก เพราะส่วนมากจะเป็นคนอินโดเชื้อสายจีน แต่เราส่วนมากก็จะหมกตัวอยู่ในห้องสมุดหรืออยู่ในห้อง lab มากกว่า ไม่ค่อยได้สุงสิงกับนักเรียนไทยมาก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นเลขาของสมาคม บอกแล้วไง ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไร มีหน้าที่ไปนั่งให้ครบองค์ประชุมแค่นั้นเอง เวลาทางสมาคมจะจัดงาน เราชอบไปสมาคม OCF มากกว่า; Overseas Christ Fellowship ทุก ๆ วันพุธเที่ยง ไปร้องเพลง เพลงเพราะมาก เพลงสรรเสริญพระเจ้า เป็นชาวพุทธคนเดียวที่มาเข้าสมาคมคริสตจักร มันสนุกดี ได้เจอเพื่อนเยอะ เพื่อนฝรั่งที่อยู่ในสมาคมนี้ก็เยอะ เวลาเขามี bible study เราก็ไปด้วย ก็เป็นประสบการณ์ 3 ปีที่มีความสุข เพราะเพื่อน ๆ ในสมาคม friendly มาก คณะ computer science เราจะมี Earth Lab และ Sky Lab แค่ชื่อก็กินขาดแล้ว เราก็ชอบหมกตัวอยู่ในห้อง lab กับเพื่อน ๆ เรามากกว่า เพื่อนสนิทเราก็จะเป็นคนในคณะมากกว่า เป็นชาวต่างชาติ เพื่อนคนอินโดนีเซีย เขาเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ Uni เดิน 10 นาทีถึง วันไหนเราเหนื่อย ๆ เราก็แวะไปเล่นที่บ้านเพื่อน ถ้าเหนื่อยก็นอนที่นอนของเค๊าเลย... ก็ถือว่าสนิทมาก แต่กับเพื่อนคนไทยจะไม่มีอะไรแบบนี้ อย่างมากก็นั่งอยู่ในแค่ living room จะไม่ละลาบละล้วง เพื่อนอินโดนีเซียบางคน พักอยู่ใน Sydney เช่า apartment อยู่ที่ Sussex St กับน้องชาย อยู่หลังตึก QVB เวลาปิดเทอมถ้าเบื่อ ๆ Wollongong เราก็ไปพักที่บ้านเพื่อนที่ Sydney, นอน living room มี sofa bed ให้ คนอินโดถ้าเค๊าอู้ฟู่ เค๊าอู้ฟู่กันจริง ๆ Sydney เราเดินจนพรุนหมดแล้วหละ สมัยก่อนไปไหนก็ต้องเดิน Pitt St, Georget St, Sussex St ถิ่นเราเอง P' Mark MTT ยังยืนแจกใบปลิว Asian Night ของแกอยู่ที่ China Town; Sussex St อยู่เลยตอนนั้น ชีวิตวัยเรียนก็สนุกดี เพื่อนหลาย ๆ คนตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายงานของที่ตัวเองเรียนมา ตามที่เห็นใน facebook นะ ทุกคนก็มีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป แต่เราประทับใจชีวิตเพื่อนคนไทยของเราคนหนึ่งมาก ดูเหมือนว่าเพื่อนค้นหาสัจธรรมของชีวิตของตัวเองเจอแล้ว เอาไว้ blog หน้า เดี๋ยวมาเล่าให้ฟัง :) jigsaw ชิ้นสุดท้ายของชีวิตที่ออสเตรเลีย
เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ชีวิตที่เหลือคือกำไร Home loan: 30 ปี (RAMS) ก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ทุกบาททุกสตางค์ ไม่ได้แบมือขอใคร เดี๋ยวเรามาดูกันว่าจะผ่อนเสร็จภายในกี่เดือน (อ่านไม่ผิดจ๊ะ "กี่เดือน" ไม่ใช่ "กี่ปี") #หลังที่4 แต่เป็นหลังแรกสำหรับ family home นกน้อยทำรังแต่พอตัว จากมดตัวเล็ก ๆ ที่ Wollongong จากสมองและ 2 มือที่มี ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ก็ยังคงปากกัดตีนถีบ หาเช้า กินพรุ่งนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน เหนื่อยได้ ท้อได้ พักได้ แต่อย่าหยุด บันทึกเอาไว้ เตือนใจตัวเอง 15 Oct 2021 |
AuthorJohn Paopeng Archives
January 2025
Categories |