“จ่ายตังค์ให้ลูกค้าก่อน” ก็มี
วันหนึ่ง P’ J ก็แปลกใจว่าเอ๊ะน้อง 2 คน วีซ่าเขาจะหมดอยู่แล้วนะอีก 2 วัน สรุปว่าเขาจะเอายังไงนะ P’ J ก็เลย text ไปหาน้อง น้องโทรกลับมา ถือว่าโชคดีมากที่เรา text ไปหาน้อง เพราะน้องเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองมีวีซ่าหลังจากนั้น P’ J บอกว่า “ไม่นะหนู” วีซ่าหมดก็คือวีซ่าหมด เราต้องขอวีซ่าก่อนที่วีซ่าจะหมด น้องบอกว่าน้องมีตังค์ไม่พอที่จะยื่นวีซ่าได้ภายใน 2 วัน P’ J บอกว่าไม่เป็นจ๊ะ เดี๋ยว P’ J จ่ายให้ไปก่อน น้องพร้อมค่อยทยอยส่งตังค์มาก็ได้ เราไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคนนะครับ เดี๋ยวคนแห่มาให้เรายื่นเรื่องให้ก่อน แล้วผ่อนทีหลัง เราคงไม่ไหว แต่ที่เราทำแบบนี้กับน้อง 2 คนนี้ เราเพียงคิดง่าย ๆ ว่า คนเราถ้ามันได้เกิดมาร่วมโลกกันแล้ว อะไรที่เราพอจะหยิบยื่นได้ เราก็จะขอหยิบยื่นให้ Paying forward เท่าที่เราพอจะทำได้ เท่าที่กำลังเรามี โลกนี้น่าอยู่เสมอ ที่เราเขียน blog นี้ เราไม่ต้องการที่จะยกหางตัวเอง หรือสร้างภาพ เราคิดว่าเราเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ก็แค่อยากเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง ก็แค่นั้นเอง P’ J ไม่ได้ขออนุญาตน้องก่อนที่จะ post แต่ก็เดาเอาว่า น้องคงไม่ได้ว่าอะไร เพราะเราก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริงเสียงจริงอยู่แล้ว แต่หากน้อง feel comfortable ก็ทักมาหลังไมค์ละกัน มีหลายครั้งที่ทีมงาน P’ J ถามว่าทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย ก็เอาเป็นว่าอันไหนก็เรามีกำลังพอจะช่วยเขาได้ เราก็ช่วยเขาไปก่อนละกัน ดีกว่าที่จะปล่อยให้เขาวีซ่าขาด เราเห็นคนกำลังจะจมน้ำอยู่ข้างหน้า เราจะไม่กระโดดลงไปช่วยเลยเหรอ เราไม่ได้มีตังค์เยอะ เราไม่ได้รวย แต่เราก็คิดว่าเรามีความเป็นคนมากพอ พอกำลังอันน้อยนิดที่จะ paying forward ให้กับใครสักคน ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันก็ยังดีกว่าเราเอาตังค์ไปซื้อของฟุ่มเฟือยไม่ใช่เหรอ เราทำงานตรงจุดนี้มาก็นาน 11 ปีแล้ว เราเจอะเจอทุกคนมาแล้วทุกรูปแบบ ร้อยพ่อพันแม่ คน LINE มาด่าก็มี เพียงเพราะอ่าน LINE แล้วไม่ตอบเขาเลยทันที ช้าไป 3 นาที ก็ไม่เป็นไร เราไม่ว่ากัน เราก็คิดว่าศีลเราไม่เสมอ block เขาออกไป แล้วเราก็ move on ก็แค่นั้นเอง ทุกเรื่องราว ทุกชีวิต มันน่าศึกษาและค้นขว้า เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก เงินทองของนอกกาย ขอให้ไม่เป็นหนี้ มีที่ซุกหัวนอน มีอาหารทาน 2 มื้อ (เราทำ Intermeitent Fasting จ๊ะ) ชีวิตก็อยู่ได้แล้ว เหรียญมี 3 ด้าน แล้วแต่ใครละเลือกมอง ถึงแม้เราจะเป็นแค่เรือจ้างที่ส่งผู้โดยสารถึงฝั่งแล้วเขาก็ถีบหัวส่ง ก็ไม่เป็นไร ก็เอาเป็นว่าช่วงที่ผู้โดยสารอยู่บนเรือจ้างลำนี้ เราก็ขอทำหน้าที่ขอเรือจ้างให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ...เพราะรักจึงยอมทุกอย่าง... J Migration Team ໃຫ້ຄໍາປຶກສາແລະຮັບເຮັດວີຊ່າອອສເຕເລຍທຸກຊະນິດ North Sydney; 4 วัน 3 คืน
School Holiday ช่วง July จะเป็นอะไรที่ busy สำหรับครอบครัวเรา เพราะลูกสาวตัวเล็กมีแข่ง dance ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ครอบครัวเราต้องมาค้างที่ North Sydney และคิดว่าต้องมาทุก ๆ ปี ปีนี้พวกเราพักที่ McLaren Hotel ซึ่งเป็น boutique hotel เล็ก ๆ 26 ห้อง โรงแรมก็ไม่ได้ใหม่อะไรมาก แต่ก็มีทุกอย่างที่เราต้องการ และที่สำคัญก็คือ ใกล้สนามแข่ง dance ที่ Shore School; 52 William St. โรงแรมคืนละ $200 โรงแรมไม่ได้หรูอะไรมาก เราเน้นว่าใกล้กับสนามแข่ง dance ของลูกลิงตัวเล็ก คนที่พักที่โรงแรมนี้ส่วนมากจะเป็นคนแก่ เพราะมันเป็น boutique hotel เล็ก ๆ 26 ห้อง ไม่วุ่นวาย โต๊ะ เก้าอี้ก็ไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่มาก Wifi ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่เหมาะสำหรับคนทำงานอย่างเรา แต่เราก็อาศัยว่าเรามี pocket Wifi ไปไหนก็ต้องพกไปด้วย เพราะต้องนั่งทำงาน อาหาร เราก็ไปกินกันที่เดิม ๆ แถว Miller St และใน shopping mall; GreenWood Plaza North Sydney ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีอะไรหวือหวา เพราะที่ไหน ๆ ก็เต็มไปด้วยตึก office และคนทำงาน rat race ทั้งหลาย อาหารแถว ๆ Miller St ไม่มีอะไรอร่อยเลย (จริง ๆ ) ครอบครัวเราชอบอาหารญี่ปุ่นกันทุกคน ถ้าจะไปไหน ๆ ก็เจอร้านอาหารญี่ปุ่นที่ทำโดยคนเกาหลี มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ... เรากับลูกลิงตัวโตในช่วงที่ต้องรอตัวเล็กแข่ง เราก็จะมาหาอะไรทานกันแถว ๆ Miller St ก่อนที่กลับโรงแรม เพราะเราก็ต้องกลับมานั่งทำงานต่อ ปรกติเราก็จะไปทานที่ Pastry Pantry; 60 Miller St เพราะอาหารเขาก็ "OK" ไม่ได้ขี้เหร่มาก ถ้าให้อร่อยมันก็ไม่อร่อยหรอก ก็เป็นอาหาร cafe ทั่ว ๆ ไป ก็โชคดีที่มีพวก salad และก็ healthy option เยอะ ก็แค่นั้นเอง อีกวันต่อมา ลูกลิงตัวโตบอกว่าไม่อยากทานที่เดิม เราก็เลยลองไปทานอีกที่หนึง อยู่ตึกเดียวกัน ไม่ขอเอ่ยนาม เป็นของคนไทย เพราะทุกคนที่ทำงานที่นั่นสือสารกันด้วยภาษาไทยหมดเลย เจ้าของร้านที่คุม cashier ก็เป็นคนไทย คอยสั่งลูกน้อง นั่น นี่ โน่น she friendly กับทุกคนที่มาสั่งอาหาร กับลูกค้าทุกคน she รู้จักชื่อลูกค้าหลาย ๆ คน she ทักทายลูกค้าด้วยชื่อ แต่เวลา she พูดกับพนักงาน เป็นภาษาไทย she is a bit bossy เราไปสั่งอาหาร เราก็สั่งเป็นภาษาไทย พอ she พูดมาเป็นภาษาอังกฤษ เราก็พูดเป็นภาษาอังกฤษ เราถ่ายรูปอาหารต่าง ๆ เพราะเขาจัดไว้น่ากินมาก กะว่าจะเอาลงที่ page "กิน เล่น เที่ยว ออสเตรเลีย" อีกหนึ่ง facebook page ขำ ๆ ของเรา she มองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร OK เราคงผิดเองไปถ่ายรูปอาหารของเขาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เราถ่าย facebook LIVE บรรยกาศในร้าน she พูดว่าเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตเท่าไหร่ว่า "ไม่ถ่าย video นะคะ ถ่ายไปทำไมคะ" เราก็บอกว่า "OK ครับ ไม่ถ่ายแล้ว" พอพนักงานเอาอาหารมาเสริพ เราก็เอา facebook LIVE ให้เขาดูว่า เนี๊ยะ เราก็ถ่ายแนะนำอาหาร แนะนำร้าน ช่วยโปรโมทไม่ดีเหรอ เราไม่ใช่คู่แข่งหรืออะไรนะ หลังจากนั้นก็มีคนมาถามว่า "อาหารอร่อยหรือเปล่าคะ" หลังจากนั้นก็มีคนเอาผลไม้มาให้ เราถามว่า "เอามาให้ทำไม" เขาตอบว่า "ก็มีเอาไว้ลูกค้า" ไม่จริงจ๊ะ โต๊ะอื่นไม่มี มีแต่โต๊ะเราที่ได้ she อาจจะเพิ่งนึกได้ว่า she was a bit harsh กับเราหรือเปล่า OK เราอาจจะไม่ใช่ลูกค้าประจำสำหรับเขา เพราะเราไม่ได้ทำงานอยู่ที่ North Sydney, อยู่แถว Miller St แต่ถ้าผ่านไปแถวนั้น เราไม่กลับไปทานร้านนี้อีกแน่นอน ถ้ากลับไปแข่ง dance ไปหน้า และทุก ๆ ปี เราก็คงไม่กลับไปทานร้านนี้อีก ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจ๊ะ บางทีการพูดการจา และการแสดงออกทางร่างกายและท่าทางก็สำคัญ มันไม่ใช่สิ่งที่ she พูด แต่มันขึ้นอยู่กับว่า she พูดยังไง... มากกว่า 4 วัน 3 คืนที่ North Sydney ก็จะมีอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ร้าน Cala Luna เดินจากโรงแรมได้ อาหารไม่ได้ถูก แต่ก็คิดว่าคุ้มกับราคาที่เราจ่ายไป นี่แหละชีวิตช่วงปิดเทอม juggle เรื่องลูก juggle เรื่องงาน เกิดเป็นคน ไม่ง่ายจ๊ะ hmmm... แล้วเราเกิดมาทำไมนะ อยากเลือกได้จังเลย... ถ้าหากเป็นเธอ เธอจะรู้สึกอย่างไร
เมื่อ ลูกค้าปัจจุบันที่ทำ case อยู่กับเรา ต้องการ second opionion เขาไปปรึกษาทนายความฝรั่งที่คิดค่าบริการเขา $5xx/hr ทนายความคนไทยอีกคน $2xx/hr ในขณะที่เขาโทรมาหาเราฟรี 7pm บ้าง, 8pm บ้าง เพราะเขาเป็นลูกค้าปัจจุบัน อยากให้ลูกค้าแบบนี้หมด ๆ ไปจังเลย หลัง ๆ มา ใครโทรหลัง 5pm เราก็ไม่ค่อยรับแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ หรือไม่เราก็เปิดมือถือเป็น flight mode ไปเลยหลัง 7pm รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ หรือว่าเราใจดีเกินไป หรือว่าทุกอย่างต้องคิดทุก ๆ 7 นาที จับเวลาเหมือนที่อื่นจะดีมั้ยนะ บางทีเราก็รู้สึกว่าเราโดนเอาเปรียบจากสังคม!!!! หรือว่าค่า consult ค่าปรึกษาของเรามันถูกไป time to re-structure my pricing หรือเปล่านะ ข้อมูลที่เราให้ไปฟรี ๆ หน้า facebook page มันไม่มีคุณค่ามากพอใช่มั้ย ข้อมูลฟรี ๆ ที่เราให้ไปที่ Timeline มันไม่มีคุณค่ามากพอใช่มั้ย facebook LIVE ที่เราทำให้ไปฟรี ๆ มันไม่มีคุณค่ามากพอใช่มั้ย Video clips ใน YouTube ให้เราให้ข้อมูลฟรี ๆ ไปมันไม่มีคุณค่ามากพอใช่มั้ย blog ที่เราเห็นไป ให้ข้อมูลฟรี ๆ มันไม่มีคุณค่ามากพอใช่มั้ย ไม่นะไม่ มันไม่จริง เราจะไม่ยอมให้ใคร someone ที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา มาดึงเราให้ต่ำลง ทนายความหรืออิมมิเกรชั่นเอเจนท์ฝรั่งเหรอ หัวทองเหรอ ลอกการบ้านฉันมาทั้งนั้นเลย สมัยเรียน สูดลมหายใจลึก ๆ ทำงานต่อไป แล้วให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ ...ก็แค่รู้สึกว่าเราโดนเอาเปรียบ ก็แค่นั้นเอง... ชีวิตฉันเป็นเช่นดั่งละคร... ของจริง Sunday evening; 14 July 2019
เหตุเกิดที่ร้าน “เกาะเสม็ด มีหม้อ”; 187 Liverpool St, #Sydney ที่เราตั้งใจพาครอบครัวมาทานอาหารที่ร้าน เกาะเสม็ดมีหม้อ สาขา 2 เพราะเราเดาว่า คุณนุชกับ P’ Mos น่าจะอยู่ที่สาขา 1 เราไม่ต้องการไปรบกวนใคร เพราะทุกครั้งที่ไป คุณนุชกับ P’ Mos ก็ดูแลเราดีเหลือเกิน อาหารเยอะแยะ แล้วไม่คิดตังค์ เราคิดว่ามันคงไม่ดี เราเกรงใจ เราก็อุตส่าห์ไปแบบเงียบ ๆ ไม่ได้บอกใคร นั่ง #Uber ไปจาก #NorthSydney เพราะไม่กล้าเอารถมาโฉบเฉี่ยวในเมือง นั่ง ๆ กำลังจะทานอาหาร อ้าว… จ๊ะเอ๋ คุณนุช, P’ Mos & น้อง Tigger (สะกดถูกหรือเปล่านะ) ปรากฎว่าวันนั้นคุณนุชกับครอบครัวอยู่สาขานี้กัน ก็ถือว่าเป็นการโชคดี เราก็แนะนำทุกคนในครอบครัวเรา ให้รู้จักกับครอบครัวคุณนุช เช่นเดียวอีกแล้ว Buffet เราก็สั่งไปแล้ว คุณนุชก็สั่งให้น้อง ๆ พนักงานทำอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ให้บริการให้กับโต๊ะเรา เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ที่เราได้รับการต้อนรับอย่างดีตลอดเลย ไม่ว่าจะหลบไปแบบเงียบ ๆ แล้วก็ตาม เราขอแสดงความยินดีกับคุณนุชและครอบครัวด้วยนะครับ รู้สึกว่าคุณนุชกับ P’ Mos จับอะไรก็ดูรุ่งไปหมด นี่แหละ การที่เราทำอะไรด้วยใจ เอาใจใส่ในรายละเอียด และคิดต่าง ลูกค้าเต็มร้านเลยครับ เราเคยเดินผ่านร้านนี้เมื่อหลายปีก่อน เราเคยมาเข้า seminar อยู่ที่โรงแรมด้านบน ร้านแต่ก่อน เงียบมาก ไม่มีคนเลย ตอนนี้คนเต็มร้าน ลูกค้าต้องรอคิวอยู่ข้างนอก เราดีใจด้วยจริง ๆ นะครับ คนเราถ้ามีความตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่าง มันต้องสำเร็จสิ เราเอาใจช่วยอยู่เสมอ … ขอบคุณกับมิตรไมตรีให้ต่อกันเสมอมานะครับ ... ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ #จอห์นเผ่าเพ็ง #เพราะฉะนั้น #มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ กับงานที่เราทำ
กับการที่เอาตัวเองมาออกสื่อ กับคำพูดคำจาและภาษาที่ใช้ มันก็อาจจะแรงไปบ้างสำหรับใครบางคน มันก็อาจจะดู กัด จิก เจ็บ ไปบ้างสำหรับใครบางคน ปี 2018-2019 ถือว่าเราเบาลงไปมากแล้ว แต่ถ้าหากเราต้องการที่จะเติบโตมากกว่านี้ เราก็ต้องรับฟังคำ "ติ" ต่าง ๆ เพราะนั่นคือเสียงสะท้อนที่แท้จริงจาก public การที่เรารับฟังคำติต่าง ๆ มันก็จะทำให้เราสามารถนำคำติเหล่านั้น เมื่อมาปรับปรุงแก้ใขอะไรได้บ้าง เราไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนต้องมาชอบเรา เราไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนต้องมาใช้บริการของเรา แต่ถ้าเราคิดจะทำอะไรแล้ว เราก็อยากจะทำให้ดี ๆ ทำให้มันสุด ๆ ไม่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ คำติ เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ เราจะต้องเงี่ยหูฟังให้ดี ๆ เปิดใจให้กว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น อันไหนแรงไป ก็ต้องปรับให้ soft ลง เพราะปรับให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าหลาย ๆ กลุ่มด้วย ก็เพราะชีวิตคือการเรียนรู้จ๊ะ ที่ไม่มีวันจะจบสิ้น อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต คนเรามันก็ต้องปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่ามัวชื่นชมกับแต่คำชม แซ่ซ้องสรรเสริญ มันจะทำให้เราหลงระเริงและลืมตัวได้ เราจะต้องไม่หลงไปกับมัน ลาภ ยศ เสริญ มันเป็นแค่ภาพลวงตา ที่แค่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป คำติสิคือยาขม ที่หลาย ๆ คนไม่อยากกิน ไม่อยากรับรู้ ยาขม คือยาวิเศษ ยาขม คือยาชูกำลัง หากเราต้องการเติบโต เราก็ต้องรู้จักใช้คำติเหล่านี้ ในการปรับปรังและแก้ไขตัวเอง ไม่มีใคร perfect ไม่มีใครเต็ม 100% เรียนรู้ แก้ไขกันไป ก็เพราะชีวิต คือการเรียนรู้ ที่ไม่มีวันหมดสิ้น "รู้จักที่จะปฏิเสธ"
หากเป็นเมื่อสมัยก่อนหละก็ เราให้ลูกค้าโทรได้เลย แทบจะทุกวัน ตอนนี้เราเริ่มเติบโตทางด้านความคิด รู้ว่าอะไรสำคัญในชีวิต รู้ว่าเราต้องดูแลตัวเราเองก่อน ก่อนที่จะไปดูแลคนอื่น รู้ว่าเราต้องดูแลและห่วงใยคนใกล้ตัว คนรอบข้าง ไม่ใช่วัน ๆ ก็ทำแต่งาน ทำแต่งาน แต่ไม่ได้มีเวลาให้กับคนรอบข้าง ให้กับคนในครอบครัว ตอนนี้เราเติบโตขึ้นมาก ดังในด้านจิตใจ ความคิด และการให้ ตอนนี้เราคิดว่าเรานิ่งขึ้นเยอะ ขอบคุณกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ดีเสมอ You either WIN or LEARN วันนี้ชีวิตเราจัดลำดับความสำคัญของทุกเหตุการณ์ ของทุกคน ดูแลคนรอบข้างก่อน ดูแลคนในครอบครัวก่อน ที่เหลือแต่บุญวาสนาที่เราได้เคยร่วมทำกันมา หากเราปล่อยวางและปลดปล่อย ที่เหลือนอกนั้นก็ไม่สำคัญแล้วหละ หากเราไม่ยึดติด เราก็จะไม่ติดยึด เราก็จะฟรี เป็นอิสระ ก็เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่น่าทะนุถนอม วันหนึงมี 24 ชั่วโมง จัดลำดับความสำคัญกับทุกเหตุการณ์ให้ดี วันหนึงมี 86,400 วินาที ทุก ๆ วินาทีต้องเป็นวินาทีที่ดีสุด ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ |
AuthorJohn Paopeng Archives
October 2024
Categories |