1 ปีที่ผ่านมามันได้สอนอะไรเราบ้างนะ
กับธุรกิจ หน้าที่และการงานที่เหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่เราก็ต้องไม่ take it for granted เราต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท กับการทำงานที่ต้อง deal กับผู้คนหลากหลาย ร้อยพ่อพันแม่ รู้หน้าไม่รู้ใจ แต่ละคนมี background และเบื้องหลังที่แตกต่าง เขาจะบอกเราเฉพาะในส่วนที่เขาต้องการให้เรารู้ แต่ละคนที่เข้ามาในชีวิตเรา เราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาหวังดีหรือหวังร้ายอะไรกับเรา เราเองก็ต้องคอยระวังตัว และวางตัวอะไรต่าง ๆ ให้เหมาะสมด้วย โดยเฉพาะการที่คนรู้จักเรามากขึ้น เราก็ต้อง be more approachable มากขึ้นด้วย เวลาคนเจอเราในสถานที่ต่าง ๆ เราต้องพร้อมที่จะหยุดและก็ต้องมี small talk ด้วยเสมอ เมื่อมันมี spotlight ส่องลงมาที่เรา เราก็ต้องรับกับสถานะนั้นให้ได้ ไม่มีสิทธิ์บ่น อิดออดไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันมาเป็น package เหมือนสุภาษิตภาษาอังกฤษที่ว่า If you cannot take the heat in the kitchen, don't become a chef. ฉันใดก็ฉันนั้น กับงานที่เราทำ เมื่อคนรู้จักเรามากขึ้น เวลาเราไปไหนมาไหน เราก็ต้องพร้อมที่จะยิ้มและทักทายเสมอ ก็เลือกที่จะเป็นคนของสังคมแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น คนในครอบครัวเราเองก็ต้องพร้อมรับด้วย ซึ่งทุกคนก็ OK เวลาที่ลูกลิงไปวัด ทุกคนก็ต้องถามลูกลิงเสมอว่า "Are you John's son/daughter?" ซึ่งลูกลิงชินแล้ว และลูกลิงกับภรรายาเราก็ต้องรับให้ได้ เวลาที่เราหยุดและพูดคุยกับใคร บางทีมันก็จะลากยาวไปเกินกว่าเวลาที่กำหนด ซึ่งมันก็เป็นมารยาทที่เราจะต้องพูดคุยและทักทายกับคนที่เขามาทักเรา ปี 2018 สอนอะไรเราได้เยอะ กับการที่เรามีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาหรือว่าลูกค้าที่มาทำ case กับเรา ทุกคนมาจากหลากหลาย background ร้อยพ่อพันแม่ มันก็เลยทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น มันทำให้เราไม่ judge ใคร... มากขึ้น อะไรหลาย ๆ สิ่งอย่างในชีวิต เราก็พยายามมองจากมุมที่เขาเป็น จากจุดที่เขายืน หลาย ๆ คนต้องทำมาหากิน มีอาชีพที่แตกต่างกันออกไป เราก็ไม่ค่อย judge ใครแล้ว เพราะทุกคนต้องทำมาหากิน ปากกัดตีนถีบ จากแต่ก่อนเราจะเป็นคนที่ vocal มาก เราเป็นพวก stand up and speak up เป็นพวกที่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่แคร์สื่อ แต่ทุกวันนี้ เราก็หัดเป็นผู้ฟังที่ดีมากขึ้น ฟัง คิด นึก และไตร่ตรอง และเข้าใจสภาพชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่าง สิ่งที่เราเห็นเขา มันอาจจะเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของตัวตนของพวกเขาก็ได้ หรือแค่ด้านหนึ่งของเขา มันอาจจะมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเขาคนนั้นที่เรายังไม่รู้ก็ได้ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะไม่ judge ใครทั้งสิ้น ทุกวันนี้ เราจึงไม่ค่อยตัดสินใคร จริง ๆ แล้วเราไม่มีสิทธิ์ไม่ก้าวก่ายชีวิตของใครทั้งสิ้น เราไม่ต้องการที่จะไปพาดพิง หรืออ้างอิงถึงใคร เราเลือกที่จะไม่ judge ใคร พอเราเลือกที่จะไม่ judge ใคร ชีวิตเราก็นิ่งมากขึ้น สงบมากขึ้น ชีวิตเรารู้สึกว่ามีความสุข ความเป็น "อัตตา" ของเราลดลง เมื่ออัตตาของเราลดลง ความเป็นตัวตนของเราก็ลดลง เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น มันไม่มีอะไรที่จะต้องทำให้เราโกรธหรือหงุดหงิด (ถ้าหงุดหงิด ก็แป๊บเดียวหาย) ปี 2018 ก็เป็นอีกหนึ่งปีที่ดี เราไม่มี New Year Resolution เพราะเรารู้เป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรกับชีวิตนี้ แต่ละปีเราต้องทำอะไรบ้าง แล้วอายุช่วงนี้ ช่วงนั้นเราต้องการอะไรกับชีวิต เรา set เป้าหมายของเราเอาไว้หมดแล้ว ดังนั้นเรารู้ว่าภายใน 1 ปีเราต้องทำอะไรบ้าง เป้าหมายคืออะไร แล้วเราก็จะ break down ลงมาว่า งั้นภายใน 1 เดือนเราต้องทำอะไร แล้วเราก็สามารถ break down ลงไปว่าภายใน 1 week เราควรต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างเราได้มาจากการอ่าน การอ่านช่วยเปิดโลกทัศย์เราจริง ๆ เราเป็นหนอนหนังสือมาแต่ไหนแต่ไหนแล้ว โดยเฉพาะหนังสือพวก self-help, selp-improvement และก็พวกหมวดหมู่การเงินและการทำธุรกิจด้วย "Readers are Leaders" ดังนั้นเรื่องการ set goal ของเราจึงไม่มีปัญหา เราจึงไม่มี New Year Resolution เราเป็นพวก อยากทำอะไรทำเลย ไม่ต้องรอปีใหม่ ไม่ต้องรอ new year แต่เราก็ใช้พวกวันเหล่านี้เป็นตัวชี้วัด เป็น measurement ว่า 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้บ้างเกี่ยวกับชีวิต เราได้ปรับปรุงข้อบกพร่องอะไรของเราบ้าง เราได้พัฒนาตัวเราเอง ไปยังไงบ้าง แต่ถ้าใครจะมี New Year Resolution อะไร เราก็ไม่ judge ใครเช่นเดียวกันจ๊ะ ขอบคุณกับทุกสิ่งอย่างที่เกินขึ้นกับชีวิต ทั้งปีของ 2018 You either win or learn!!! ช่วงที่เรากลับไปเมืองไทยเมื่อต้นเดือน เราได้ download Grab app มาใช้
ดีมากเลยครับ สะดวกดี แต่เราก็ได้ประสบการณ์อันแปลกใหม่คือ เรียก Grab ช่วงวันหยุดกับวันแรกของการทำงานเป็นอะไรที่แตกต่างกันมาก เดี๋ยวมาลองอ่านกันดู นิสัยส่วนตัวของเราเป็นคนไม่พกตังค์ ไม่ถือเงินสด เราเป็นพวก cashless society ตามไสตล์เด็ก IT เพราะว่ามันสะดวกสบายดี ไม่ต้องมาคุยจ่ายตังค์หรือรอเงินทอน (เราเคยเขียน essay เรื่องนี้ตอนสมัยเรียน Computer Science, UOW) ปรกติเราไปไหนมาไหน เราก็จะใช้ debit card จ่ายหรือไม่ก็บัตร credit จ่าย มันสะดวกและรวดเร็ว และ Grab ก็มี option ให้จ่ายค่าโดยสารผ่าน credit card ด้วยเราก็เลยสบาย เข้าทางเราพอดี Grab ที่เมืองไทย take over Uber ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่สิงคโปร์เองก็เหมือนกัน เราก็ไม่เคยใช้ Uber หรอกนะ ไม่กล้านั่งรถคนแปลกหน้า แต่มาเมืองไทยคราวนี้ เราก็ลองเปิดใจดู ลองสิ่งแปลกใหม่ ใน app ของ Grab เราสามารถเรียกรถแทกซี่ก็ได้ รถธรรมดาก็ได้ หรือใช้ "JustGrab" คือแล้วแต่ว่าใครจะรับงานเราก่อน รถแทกซี่ก็ได้ รถธรรมดาก็ได้ 4 วันก็กรุงเทพ เราก็ใช้ option นี้ตลอด เราไปพักอยู่ที่ Aspire condo ตรง ถ.พระราม 4 ติดกับ ม.กรุงเทพ และ class ของเราจะไปเข้าเรียนกับครูโอ๋ ก็อยู่ที่ Marriott Surawong ซึ่งก็ไม่ไกล นั่งรถหรือรถแทกซี่ประมาณ 20-30 นาที และค่าเดินทางก็ถูกมาก ประมาณ 100-150 บาท แล้วและวันและเวลา เราใช้ Grab เรียกรถจาก condo ไปโรงแรมและจากโรงแรมไป condo วันที่เรียกใช้; เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ เป็นช่วง long weekend วันรัฐธรรมนูญ ช่วง weekend ช่วงวันหยุด เราเรียกปุ๊บ เราได้รถเลยแทบจะทันที ไม่นาน ประมาณ 5-10 นาที สะดวก และรวดเร็วมาก เราชอบ ส่วนตัวเราเองเราก็รู้สึกดี รู้สึกเป็นอิสระ independent ไม่ต้องคอยให้คนที่บ้านมาช่วยขับรถให้ สรุปคือเราไปไหนมาไหนเองได้ ว่างั้นเถอะ ไม่ต้องเดือดร้อนคนที่บ้านที่ต้องคอยมารับมาส่ง วันอังคาร เป็นวันที่เราต้องไปทำงาน ไปเจอลูกค้าที่มาทำ face-to-face consultation กับเรา office ที่เราไปเช่าเอาไว้ อยู่ที่จตุจักร เราไม่รีบร้อนมาก คิดว่าเรียกรถ 5-10 นาทีก็น่าจะได้ เปล่าเลยจ๊ะ วันนั้นเป็นวันแรกที่ทุกคนไปทำงาน เราใช้ Grab เรียกรถอยู่ 1 ชั่วโมงเต็ม ๆ ยังไม่ได้รถสักคน ไอ้เราก็ innocent ไม่รู้เรื่องอะไร นั่งอยู่ตรง lobby ของ condo ไม่ได้รีบร้อนอะไร นั่งรอ Grab อยู่นั่นแหละ 1 ชั่วโมงผ่านไป ก็เลยเราก็ออกมาโบกรถแทกซี่ที่ทางเข้า condo ก็ปรากฏว่าประตูที่เราเข้าออก มันเป็น oneway รถแทกซี่ไม่ค่อยเข้ามาทางด้านนี้ เราไปยืนรอรถอยู่นานก็ไม่ได้สักที ตามที่เห็นในรูป (พี่สาวเป็นคนถ่ายรูป) พอดีพี่สาวเราเห็นคนที่พักอยู่ที่คอนโดคนหนึ่งบอกให้ยามช่วยเรียกรถแทกซี่ให้ เพราะ condo มันมีหลายประตู ที่อีกประตูหนึ่งมันจะติดถนนใหญ่ รถแทกซี่จะเยอะกว่า ยามจากฝั่งโน้น เขาจะช่วยเรียกรถแทกซี่ให้ พี่สาวเราก็เลยบอกให้ยามช่วยเรียกรถแทกซี่ให้ด้วย ซึ่งเราก็ช่วยเรียก แต่ก็รออยู่ประมาณ 15-20 นาทีก็ยังไม่ได้รถแทกซี่ซะที โชคดีมีคนนั่งแทกซี่เข้ามาที่ condo แล้วยามก็ไปเรียกรถแทกซี่คันนั้นให้ สรุปเรากับพี่สาวก็เลยได้ไปที่ office ทันเวลา (ก่อนเวลา เพราะพวกเราก็พากันออกมาแต่เช้า) มันก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ประสบการณ์หนึ่งว่า OK นะ สังคมในเมืองกรุง ชีวิตในเมือง มันเป็นยังไง เราจะมาคาดหวังว่าเราจะสามารถเรียกรถแทกซี่ได้เลยทันทีไม่ได้ วันหยุด long weekend กับวันแรกของการไปทำงาน มันต่างกันราวฟ้ากับดินเลยจริง ๆ นี่แหละนะ ชีวิตที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันของสังคมในเมือง มันช่างเป็นอะไรที่ Rat Race ซะเลยจริง ๆ ประสบการณ์ครั้งนี้มันก็ทำให้รู้ว่า จะเรียกรถแทกซี่ จะใช้ Grab มันก็ต้องดูวันและเวลาด้วย ไม่ใช่ว่ามันจะสามารถเรียกได้ภายใน 5-10 นาทีเสมอไป เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเรากลับไปเมืองไทยเพื่อไปเข้า class ของครูโอ๋; Charming On Stage
Sat-Sun-Mon เนื่องด้วยตามปกติวันเสาร์แล้วก็วันจันทร์เราก็ต้องทำงานอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เราไปเข้า class ทั้งวัน เวลาในการทำงานมันก็หายไปบ้างเล็กน้อย รวมทั้งเวลาที่เมืองไทยแล้วก็ที่ประเทศออสเตรเลียมันก็ต่างกัน 4 ชั่วโมง ร่างกายเราก็ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ เราก็ยังตื่นนอนและเข้านอนเป็นเวลาของประเทศออสเตรเลียอยู่ เราก็ตื่นตี 2 บ้าง ตี 3 บ้าง แล้วก็นั่งทำงาน ตรวจเอกสารในคอมพิวเตอร์ ส่งอีเมลหาลูกค้า ยังนั่งทำงานตามปกติ ช่วงนั้นร่างกายก็ไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ มีอาการเจ็บคอนิดนึง พอวันอังคารที่เราต้องเจอลูกค้า ก็ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ ข้าวเสร็จงานวันอังคารตอน 4 โมงเย็น แล้วก็ตรงดิ่งไปที่สนามบินเลย ส่วนมากเวลากลับเมืองไทย เราจะต้องเดินเข้าร้านหนังสือ งวดนี้เราก็เดินเข้าร้านหนังสือเหมือนกัน แต่ร่างกายรู้สึกไม่ 100% กระเป๋าที่ถือก็หนักพะลุงพะลังเพราะว่าเราไม่ได้ เช็คอิน เห็นหนังสือดี ๆ หลาย ๆ เล่ม แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาเลย เสียดายมาก แต่ตอนนั้นร่างกายมันไม่ให้จริง ๆ จิตใจมันก็ไม่ไหว อยากจะนั่งพักมากกว่า ก็ได้แต่คิดในใจว่า ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเดือนหน้าเดินทางอีกรอบ คงจะไปซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับมา อยากจะอ่านหนังสือ ชีวิตการเดินทาง
ชีวิตการทำงาน ที่มันไม่มีเวลาที่จะต้องเสีย ชีวิตที่พยายาม pack ทุกอย่าง jampack ไปหมด ไปเมืองไทย ถึงเมืองไทยตี 2, เข้า class ครูโอ๋; Chamrming On Stage เช้าวันนั้นเลย ใช้เวลาทุกนาที ทุกชั่วโมงอย่างคุ้มค่า ไม่เคยปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เสร็จจาก class ครูโอ๋ วันจันทร์ วันอังคารก็เจอลูกค้าของ “J Migration Team” จนถึง 4pm เสร็จแล้วก็เปลี่ยนชุดที่ office เลย แล้วเดินทางกลับมาที่ออสเตรเลีย เย็นวันนั้นเลย มาถึงที่ออสเตรเลียก็ลุยงานต่อทันที มี consultation ทางโทรศัพท์ มีนั่งทำ case ให้ลูกค้า มี face-to-face consultation ที่ Wollongong office อีกเมื่อวาน เวลานอน กับเวลาตื่นตอนนี้วันก็เริ่มจะไม่เป็นระบบ แต่ก็ไม่เป็นไร เราคิดว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างน่าจะกลับมาเหมือนเดิม กลับมาตื่น 4am - 5am เหมือนเดิม กลับมานอน 10pm เหมือนเดิม กลับมาอ่านหนังสือก่อนนอน 9pm DEAR; Drop Everything And Read เหมือนเดิม กลับไปเดินออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนเดิม กลับไปเข้า gym เหมือนเดิม กลับไปเข้า Zumba class และก็ Pound เหมือนเดิม ชีวิตเรามีระบบอยู่แล้ว คิดว่าไม่ยาก พรุ่งนี้จ๊ะ พรุ่งนี้ วันนี้ขอร่างกายปรับ tune ตัวเองก่อนนิดหนึง ทุกวันนี้ก็ยังทำงานเหมือนเดิมจ๊ะ ไม่ได้พัก ไม่ได้อะไรเลย ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายอะไรเลยนะ แต่ก็…. สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น “มนุษย์พี่สาว”
มนุษย์พี่สาว (ลูกพี่ลูกน้อง) ทุกครั้งที่เรากลับเมืองไทย เขาก็จะมาคอยไปรับไปส่ง มานอนเป็นเพื่อนที่คอนโด ทุกครั้งที่มาก็ต้องมีของกินติดไม้ติดมือมาตลอด เราไปทำงาน เจอลูกค้า เขาก็ตามมาด้วย ตามมาเป็นเลขา เขาก็ลางานมา หอบคอมพิวเตอร์มานั่งทำงานของเขาด้วย เขาจะคอยวิ่งหาซื้อกับข้าวเที่ยงให้ ถ้าเรารู้สึกไม่สบาย เขาก็วิ่งหาซื้อยาให้ เขาทำได้ทุกอย่าง เพื่อน้องชายคนนี้ ขอบคุณจริง ๆ ที่อยู่เคียงข้างกันเสมอมา ก็อาจจะมีบ้างที่เวลาเราไปวัด พี่ ๆ ที่สนิทกันก็บอกคนอื่นว่า นี่ไง "คุณ J เธอไม่รู้เหรอ เขาดังจะตาย"
ก็อาจจะมีบ้างที่เวลาไปทานข้าวร้านอาหารไทย ก็จะมีคนพูดว่า "ขอถ่ายรูปกันคนดัง" หรือเวลาไปทำงานที่ Sydney แล้วไปเดินแถวไทยทาวน์ ก็มีสายตาจับมอง หรือมีคนมาขอจับมือ หรือเวลากลับเมืองไทย ก็จะมีคนมาทักที่สนามบิน Sydney ก็มี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องรู้จักเราไปหมดนะ มันก็ไม่ใช่ มีคนไทยในออสเตรเลียเยอะแยะมากมายที่เขาไม่ได้ติดตามหรือ follow เรา มีคนไทยในออสเตรเลียเยอะแยะมากมายที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องของวีซ่าหรือกฎหมายอิมมิเกรชั่นของออสเตรเลีย เพราะเขาอยู่ที่นี่มานานแล้ว เพราะเขาเป็นคนที่นี่แล้ว ขนาดน้องสาวของเพื่อนเราแท้ ๆ เขายังไม่รู้เลยว่าทำมี page เขายังไม่รู้เลยว่าเราทำงานอะไร คือคนที่ไม่รู้จักเรา เขาก็ไม่รู้จริง ๆ จ๊ะ ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็ต้องคนที่สนใจเรื่องวีซ่า หรือต้องการทำวีซ่าเท่านั้นถึงจะรู้จักเรา โดยเฉพาะตามสื่อ online ต่าง ๆ ไม่ต้องอื่นไกล ขนาดคนถ่ายรูปให้เรา น้องเขาก็เพิ่งจะมารู้จักเราก็มี ดังนั้นเราก็ไม่ได้คิดว่าเรา "ดัง" หรือว่าอะไร แต่สำหรับคนที่เขาติดตามเราที่ page ของ "J Migration Team" ซึ่งก็ถือว่าเยอะ เขาก็อาจจะคิดว่าเราดัง หรือ idolise เราก็อาจจะเป็นได้ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เวลาคนพูดว่า "ขอถ่ายรูปกับคนดัง" มันก็ทำให้เราคิดว่า ทำไมผู้คนเหล่านี้ถึงต้องมองเราที่ความดัง หรือความไม่ดัง เป็นหลัก เป็นบรรทัดฐาน จริง ๆ แล้ว ความดังหรือความไม่ดัง มันเป็นอะไรที่ subjective มากนะ "คนดัง" ไม่ได้แปลว่าเป็น "คนดี" เราคิดว่ามันจะเป็นการดีมากเลย ถ้าคนเรามองกันที่ความดีมากกว่าความดัง ยิ่งโลกสมัยนี้ อะไรต่อมิอะไรก็พากันลงสื่อ online เดี๋ยวก็บอกว่า น้อง xyz คนดังในซิดนีย์ มาทานข้าวร้านนี้ เอ๊ะ ดังยังไงวะ ไม่เห็นรู้จัก ถ้าการที่น้อง xyz ไปทานข้างร้านโน้นร้านนี้แล้วให้คนถ่าย video เหรอ นั่นคือความดัง?? น่าเกลียดจะตาย กินไปพูดไป เราว่ามันไร้สาระ เราคิดว่ามันเป็นอะไรที่ "กลวง" และ shallow หรือบางทีคน LIVE ขายของก็แทบจะแก้ผ้า นมทะลักเสื้อออกมาก็มี มันทำให้ you look cheap จ๊ะ แต่ก็ไม่เป็นไร อะไรที่กลวง ๆ ก็เหมาะสำหรับคนกลวง ๆ อะไรที่ cheap ก็เหมาะสำหรับคนที่ cheap แต่มันก็ทำให้เราอดที่จะคิดไม่ได้ว่า เฮ้ย โลกสมัยนี้ มันแค่นี้เองจริง ๆ เหรอ เขาคงคิดกันได้แค่นี้เองจริง ๆ เราก็ไม่ว่ากัน ก็แค่สงสารและสมเภชบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไรนะ นั่นมันเรื่องของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็อยากจะสื่อให้เห็นว่า เราไม่อยากให้คนมองกันที่ความดังหรือความไม่ดัง เราอยากจะให้คนมองกันที่ "ความดี" มากกว่า เป็นคนดี ไม่จำเป็นต้องดัง แต่ถ้าเป็นคนดีและเป็นมีความดังเข้ามาช่วยเสริมด้วย มันก็ดี เพราะการที่คนดีคนนั้นเขาจะสื่อหรือส่งสารอะไรออกไป มันก็ง่าย มันสามารถสร้าง impact ได้ ความดีเป็นอะไรที่ยั่งยืน มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนเรานั้นต้องการอะไรในชีวิต เราอยากจะให้คนจดจำเราแบบไหน ตอนที่เราจากโลกไปนี้ไป ก็แค่นั้นเอง เราไม่อยากให้คนมองกันที่ความดังหรือความไม่ดัง มันไม่ยั่งยืน เราอยากให้มองกันที่ความดีมากกว่า มันเป็นอะไรที่ยั่งยืน มันเป็นอะไรที่จับต้องได้ อยากจะฝากเอาไว้ให้คิดกันนิดหนึงนะครับ ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ และชอบในสิ่งที่ทำ
ทุก ๆ วันมันคือ holiday จ๊ะ เมื่อโลกการทำงานมันเปลี่ยนไป เราทำงานที่ไหนก็ได้ ขอให้มี laptop และ Internet ถ้าไปที่ไหนที่ไม่มี Internet ก็ถือว่าพักผ่อนก็แล้วกัน ง่าย ๆ 2-3 ปีที่ผ่านมา เราก็ plan my holidays around my work แต่ปีหน้า เราก็ plan ชีวิตการทำงานเอาไว้บ้างแล้ว ว่าจะไปที่ไหน อะไร ยังไงบ้าง ปีหน้าก็จะพยายาม blend work & play เข้าด้วยกันให้มันมากขึ้น ปีหน้าเราก็ไปทำงานที่ Gold Coast ด้วย เบ็ดเสร็จเราก็มี office อยู่ที่: Wollongong, Sydney, Canberra, Melbourne, Brisbane และ Gold Coast เวลาเราไป Brisbane หรือ Melbourne เราก็อยากจะเอาครอบครัวไปด้วย คือไปทำงาน 1-2 วัน เราก็ทำงานไป เด็ก ๆ กับภรรยาก็เดินเล่นโต๋เต๋ ในเมืองกันในระหว่างที่เราทำงาน แล้วเราก็เจอกันตอนเย็นอะไรประมาณเนี๊ยะ หรือบางทีก็ ไปทำงาน 1-2 วัน แล้วอยู่เที่ยวต่ออีก 1-2 วัน ซึ่งเราก็เคยทำแบบนั้นตอนไปทำงานที่ Melbourne และ Brisbane (ไปเที่ยวที่ Sunshine Coast) ซึ่งจริง ๆ แล้ว Work-life balance มันก็สามารถ incorporate เข้าด้วยกันได้ ภรรยาเราเฉย ๆ กับ Brisbane เพราะจบมาจากที่นั่น เขาและเด็ก ๆ จะชอบ Melbourne มากกว่า ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เพราะจริง ๆ แล้วพวกเราไป Melbourne กันมาไม่รู้จะกี่รอบแล้ว สงสัยเด็ก ๆ ก็เลยคุ้นเคยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ปีหน้าเราก็มีตารางการทำงานคร่าว ๆ แล้วว่าจะเดินทางไปทำงาน ไปเจอลูกค้าตามที่ต่าง ๆ ได้ยังไง และที่ไหนจะสามารถเอาครอบครัวไปได้ด้วย ที่ไหนเขาอยากไป ที่ไหนเขาไม่อยากไป และช่วงไหนเขามีกิจกรรมอะไรหรือเปล่า เพราะบางทีปิดเทอมแต่ละครั้ง บางทีตารางของกิจกรรมของลูกลิงทั้ง 2 ก็ jampacked busy มาก busy มากกว่าพ่อกับแม่อีก ดังนั้นคำว่า work-life balanced สมัยนี้เราว่ามันเปลี่ยนไปแล้วหละ เพราะคนเราไม่ได้ทำงาน 9am- 5pm กันอีกต่อไปแล้ว โลกมันเปลี่ยนไป เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไป การทำงานของเราก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย ถ้าทำงานแล้ว ได้ตังค์ มีรายได้เข้ามา แล้วได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว นั่นมันก็ work-life balanced แล้ว Work-life balanced สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ตารางทำงานปีหน้า ก็พอจะมีแล้วคร่าว ๆ รู้สึก in control ละ รู้แล้วว่าช่วงไหนจะต้องทำอะไรยังไง จะได้จัดตารางชีวิต ตารางการทำงาน ตารางการเดินทางได้ถูก สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น การสร้าง content ให้ปัง ทำได้ไม่ยาก
เขียนหรือสร้าง content ให้สิ่งที่คนอยากจะรู้ ไม่ใช่ในสิ่งที่เราอยากจะเขียน หรืออยากจะทำ ทุกอย่างมาจากการลองผิดลองถูก post ธรรมดาข้างบน ไม่ต้อง boost ไม่ต้องโฆษณา ถ้ามี 15,078 people reach 263 engagements 76 shares ก็ถือว่าเยอะแล้วครับ สำหรับ content ของคนไทยในต่างแดน สร้าง page ให้ปัง แล้วที่เหลือทุกอย่างจะตามมาเอง เมื่อถึงจุด ๆ นั้น เราจะกลายฝ่ายเลือกลูกค้า ไม่ใช่ลูกค้าเลือกเราอีกต่อไป |
AuthorJohn Paopeng Archives
December 2024
Categories |