ปกติจะไม่ post อะไรที่นี่วันศุกร์
และจะไม่ post อะไร 9am - 5pm เพราะเป็นเวลางาน แค่อยากจะบอกว่าวันนี้เป็นอีกหนึ่งวันของการทำงานที่มีความสุขมาก เพราะ long-term goal ของเราเรื่องการลงทุนในอสังหาค่อนข้างลงตัว เรา set target ที่แน่นอนและเป็น concrete plan ว่าเราต้องการกี่หลังที่เมืองไทย ภายใน 2030 เรามี set target ที่แน่นอนและเป็น concrete plan ว่าเราต้องการกี่หลังที่ออสเตรเลียภายใน 2025 ที่เมืองไทยเรา set เอาไว้ที่ 2030 เพราะเราซื้อสดทุกหลัง ที่ออสเตรเลีย เรา setเอาไว้ที่ 2025 ตอนนี้ที่ออสเตรเลียเราได้ถึง set goal ของเราแล้ว ไวกว่าที่ตั้งไว้ 3 ปี ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะหยุด เราก็จะซื้อสะสมไปเรื่อย ๆ ซื้อในรูปแบบ trust ทำเพื่อครอบครัว เพราะใน trust ก็จะมีพวกเรา 4 คน พ่อ แม่ ลูก (x2) อยู่ในนั้น เราไม่ได้ซื้อเป็นชื่อเรา ดังนั้นไม่ต้องมีพินัยกรรมวุ่นวาย ใครอยากรู้เรื่อง trst โทรมาปรึกษาได้ครับ ตอนนี้ช่ำชองมาก ยิ่งกว่า CPA.... :) มันมีความรู้สึกว่า "เออ.. เราทำได้แล้วนะ" #passiveincome จากสมองและสองมือที่มี เราสร้างมันขึ้นมาเองทุกอย่าง ที่เมืองไทย มรดกทุกสิ่งอย่าง เราไม่เอา เราเอาให้น้องสาวหมดเลย ไม่ต้องทะเลาะกัน ไม่ต้องแย่งกัน เพราะตอนที่เรามาเรียนที่นี่ น้องสาวเราก็ทำงานหนักมาก ช่วยงานที่ร้าน ดังนั้นน้องสาวเราก็ควรจะได้ ก็คิดกันแค่นี้เอง เราก็มีกันแค่ 2 คน เพราะคุณอาพูดมาคำเดียวว่า เราเรียนเก่ง (จริง ๆ ไม่ได้เรียนเก่งแต่เป็นคนขยันและตั้งใจเรียน) เราต้องเอาตัวรอดได้ เรื่องการเรียนคุณอาไม่เคยมี budget ให้ เพราะ buget ที่คุณอาให้มามันคือ "unlimited" ซึ่งก็คือ unlimited จริง ๆ เพราะที่บ้านขายของ อยากได้ก็เปิดลิ้นชักหยิบเอา เพราะมันก็คือเงินจากการทำงานของพวกเรานั่นแหละ คุณอาสอนมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ป.5 ก็ต้องช่วยที่ร้านขายของแล้วครับ เปิดร้านก่อนไปโรงเรียน เลิกเรียนมาก็มาช่วยคุณอาขายของ คุณอาสอนเรากับน้องสาวได้ดีมาก พ่อกับแม่ถึงวางใจปล่อยให้คุณอากับคุณย่าเป็นคนเลี้ยงดู เมื่อวาน home loan ของ RAMS ผ่าน ผ่านภายใน 6 วันทำการ ส่วนตัวเราก็ถือว่าเราได้ทำสำเร็จแล้ว ชีวิตที่ออสเตรเลีย เพราะได้ครบตามจำนวนที่เราตั้งเอาไว้ เร็วกว่า 3 ปีด้วยซ้ำ คือมัน peak ตรงนี้ ที่เหลือต่อจากนี้ก็จะยังคงซื้อสะสมไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เน้นที่ QLD ไปก่อน เพราะลูกลิงต้องไปเรียนที่โน่นอีก 4 ปีที่ QUT เราก็ต้องปูทางเอาไว้ให้ นี่แหละข้อดีของการเอาทุกอย่างเข้าระบบ RAMS application เรากรอกเองทุกสิ่งอย่าง งานก็ยุ่งอยู่แล้ว แล้วต้องมานั่งทำเองอีก แต่มันภูมิใจมากเลย เราไม่ได้ใช้ broker เพราะต้องการความ confidential และ privacy วันนี้ไม่ว่างานจะเยอะขนาดไหน จะยุ่งขนาดไหน เราพร้อมมาก มีกำลังใจมาก นั่งบวกลบ คูณหาร ทรัพย์สินศฤงคาร มันอาจจะยังไม่ถึง "100" แต่ก็ใกล้แล้ว 01 Jul 2023 อาจมีลุ้น ("100") แต่จะไม่กดดันตัวเอง เอ๊ะ เราจะโดนจับไปเรียกค่าไถ่หรือเปล่านะ... LOL ไม่ต้องมาจับเราไปเรียกค่าไถ่หรอกครับ ประกันชีวิตเราเยอะกว่านี้อีก และเราก็ไม่มีเงินสดในบัญชี ในกระเป๋าตังค์บางทียังมีไม่ถึง $5 เลย (เคยเกิดขึ้นแล้วตอน drive through ที่ McDonald) วันนี้หัวใจมันพองโต เพราะทุกสิ่งอย่างที่เรามี เราสร้างมันเองขึ้นมาหมด จากสมองและสองมือที่มี อันนี้คือ self-made อย่างแท้ทรู ในวันที่เราให้ ให้อะไรก็ได้กับคนอื่น payig forward ในรูปแบบต่าง ๆ ทำไปเถอะ เมื่อเรา "ให้" โดยที่ไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทน ตรงกันข้ามมาก สิ่งที่เราได้กลับคืนมามันเยอะมาก มันได้กลับคืนมาในรูปแบบของกัญยาณมิตร ได้คืนมาในรูปแบบของ "หมู่มวลมิตรที่ดี" ได้คืนมาในรูปแบบของ "ครอบครัว J" ที่ค่อนข้างหนาแน่นมาก และลูกค้าบอกต่อเยอะมากถึงมากที่สุด ส่วนคนที่โดนปัดตก ก็ต้องขอโทษด้วย ศีลเราคงไม่เสมอกันจริง ๆ ไม่ต้องดีสำหรับใคร แค่ดีต่อใจเราก็พอ ไม่รู้เขียนอะไรไปบ้าง ไม่ได้ poofread นึกอะไรได้ ก็เขียนมันออกมา ที่เขียนมาทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่า หากชีวิตเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน มันทำได้ครับ หากเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ทุกอย่างจะหลั่งไหลมาเอง unlimited จงเป็นผู้ให้ ก่อนที่จะเป็นผู้รับ ที่เหลือ มันจะหลั่งไหลมาเองเหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันหมดสิ้น วันนี้เราได้สัมผัสแล้ว ถ้าเราได้สัมผัส ก็แสดงว่ามันมีจริง มันเกิดขึ้นได้จริง หากเราทำได้ ทุก ๆ คนใน "ครอบครัว J" ก็ต้องทำได้ครับ หากเราทำได้ ทุกคนที่อ่าน blog นี้ ทุกคนที่ติดตาม page นี้ก็ต้องทำได้ครับ จากสมองและสองมือที่มี ซื่อสัตย์ สุจริต แล้วที่เหลือมันจะมาของมันเอง Note: ไม่ได้ proofread ปล่อยให้ตัวหนังสือมันหลั่งไหลและพรั่งพรือออกมาเอง อาจจะสะกดผิดบ้างถูกบ้าง เราขออภัย... เขียนเองทุกตัวอักษร #รัก 19/08/2022 มหาวิทยาลัยที่ประเทศออสเตรเลีย ไม่มีความเหลื่อมหล้ำกันจริงเหรอ??
ถามหลายคนก็ได้หลายคำตอบที่แตกต่างกันออกไปครับ แล้วแต่ประสบการณ์และมุมมองของแต่ละคน โดยเฉพาะกลุ่มโยกย้ายที่อวยออสเตรเลียกันไส้แตกไส้แตน อะ... ไม่ว่ากัน ชอบเสพข้อมูลแบบไหนก็เลือกเอาแบบนั้น โดยส่วนตัวและประสบการณ์ที่เรามีแล้ว เราบอกได้เลยว่ามหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียมีความเหลื่อมหล้ำกันครับ ไม่ต้องอื่นไกลเลย มา fact check กันดีกว่า Course เดียวกัน ต่างมหาลัย แต่ทำไมค่าเทอมแตกต่างกัน มันสื่อถึงอะไร คนที่เค๊าไม่พูด (เพราะเป็นมารยาททางสังคม) ไม่ได้ว่าเค๊าไม่ได้คิด อยู่ในโลกของความเป็นจริงครับ ประเทศออสเตรเลียน่าอยู่ครับ ไม่งั้นเราก็คงไม่อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้อวยไส้แตกเหมือนข้อมูลตาม facebook group ต่าง ๆ กลุ่มโยกย้ายเอย กลุ่มทีมอะไรต่าง ๆ นานา Course: Juris Doctor RMIT: $111,744 Fliders Uni: $98,280 (ปีที่แล้ว $92,478) Macquirie Uni: $43,890 เอ๊ะ ทำไมค่าเทอมมันแตกต่างกันหละ บางคนก็อาจจะบอกว่า "แพงไม่ได้แปลว่าดี" hmmm... เอาที่สบายใจจ๊ะ ยังไงก็ได้ ไม่ว่ากัน ส่วน Bachelor degree ที่นี่ เด็กที่นี่ต้องมีคะแนน ATAR; Australian Tertiary Admission Rank ในการเข้ามหาวิทยาลัยครับ บางคณะ บางมหาวิทยาลัย ATAR อยู่ที่ 98 ก็มี เพราะการแข่งขันสูงมาก ลองไปถามคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกเค๊าเรียนที่ selective schools ดูนะครับ Selective school คือโรงเรียนที่ต้องสอบเข้า High school ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องสอบเข้า สมัครเข้าเรียนได้เลยตาม postcode หรือที่อยู่ของบ้านตัวเอง ส่วน private school ก็ค่อนข้าง snob (ไม่ทุกคน) ถ้าคุยเรื่อง high school ที่นี่ ครึ่งวันก็ไม่จบครับ anyway... กลับมาที่มหาวิทยาลัย เด็กที่นี่ ถ้าจะเข้าเรียน bachelor degree ที่นี่ ก็ต้องมี ATAR ทุกมหาวิทยาลัย ทุกคณะมีคะแนน ATAR ที่แตกต่างกัน อ๊ะ... มันบ่งบอกถึงอะไร คนเค๊าไม่พูด ไม่ได้แปลว่าเค๊าไม่คิด ขนาดมหาลัยเดียวกัน Faculty A: คะแนน ATAR เท่านี้ Faculty B: คะแนน ATAR เท่านั้น เอาจริง ๆ นะ แบบไม่มโน you กล้าให้วิศวะ คะแนน ATAR 70 สร้างบ้านให้ you หรือเปล่า เปรียบเทียบให้มองเห็นภาพนะครับ เพราะสร้างบ้านจริง ๆ ก็ใช้ builder ก็พอ ไม่น่าต้องถึงมือวิศวะ มหาวิทยาลัยเดียวกัน ทำไมคะแนน ATAR ไม่เท่ากัน เราไม่พูด ไม่ได้แปลว่าเราไม่คิด จบมหาลัยไหน ไม่มีผลต่อการสมัครงาน OK... อันนี้เห็นด้วย 110% เพราะมันมีกฎหมาย EEO; Equal Employment Opportunity อยู่ แต่... แต่.... เพื่อนร่วมงานคิดนะ เพราะเราก็เป็นหนึ่งในนั้น เราไม่พูด เพราะมันเป็นมารยาททางสังคม ไม่ได้แปลว่าเราไม่คิด ถ้าเราคิด.... เอ๊ะ... คนอื่นจะคิดแบบเราหรือเปล่านะ เอาเป็นว่าปล่อยให้เป็นปริศนาก็แล้วน๊อ เราเคยรับราชการครับ full-time ด้วย รู้แต่ว่า behind the closed door ของแต่ละ department เขาก็อาจจะ "F off" คนที่อีก department หนึ่ง โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ ๆ เห็นและเจอมาหมดแล้วครับ แซ่บมาก.... แต่คนใน department เดียวกัน พวกเราค่อนข้างรักกันมาก เป็น family แต่กับ department อื่น... บนใบหน้าที่ยิ้มให้กัน say hello, say "how are you" ตามมารยาทของฝรั่งที่นี่... you have no idea what they're thinking inside บอกได้เลยครับ องค์กรใหญ่ ๆ แซ่บมาก politic กันทุกวัน องค์กรที่เราทำอยู่ เป็นหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการของกระทรวงเราไม่มีเกษียณครับ (กระทรวงนี้ที่ NSW เป็นแบบนี้ รัฐอื่นไม่รู้) ทำงานได้จนตาย ไม่ต้องเกษียณราชการตอนอายุ 60 เหมือนเมืองไทย ดังนั้นการแย่งตำแหน่งกันมันก็ต้องมีเป็นเรื่องปกติ จบจากมหาลัยไหนก็ไม่มีผลต่อการสมัครงาน แต่บริษัทหรือองค์กรสามารถเขียน selection criteria ตอนเปิดสมัครงานได้ว่าต้องการคนแบบไหน อะไรยังไง ถ้าองค์กรนั้นมีคนที่เค๊าต้องการอยู่แล้ว เขาก็เขียน selection criteria ให้ตรงกับคุณสมบัติของคน ๆ นั้นก็ได้ครับ ไม่ผิดกฎหมาย EEO คนบางคนได้งานในกระทรวง เพียงเพราะพ่อเค๊าอยู่อีก department หนึ่ง แต่ช่วงที่มาฝึกงาน hmmmm.... ถ้าเผื่อเป็นเรา เราปัดตกหนะจ๊ะ เราเป็นคน certified JP เอกสารให้เค๊าเอง!!! ได้งานไม่ได้ตรงกับสาขาที่เรียน โอย.... ที่ไหนก็มีครับ คำถามคือ... แล้วทำไมไม่เรียนในสาขาที่เค๊าต้องการหละ ช่วง COVID, ประเทศออสเตรเลียขาดแคลนแรงงานครับ ในสายงาน professional เองก็เหมือนกัน องค์กรใหญ่ ๆ ก็โดนไปด้วยเช่นเดียวกัน ขาดแคลนแรงงานกันทั้งนั้น งานค่อนข้างหาง่าย แต่หลังจากนี้....ไม่แน่... การมีคนออกมาให้กำลังจคนที่อยากโยกย้ายเป็นสิ่งที่ดีครับ การมีคนออกมาเล่าเรื่องราวชีวิตและเส้นทางการโยกย้ายของเขาเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่คนเสพข้อมูลเองก็ต้องเสพกันหลาย ๆ ที่แล้วเปรียบเทียบกันด้วย เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่อวยกันไส้แตกไส้แตน.... hmmm... that is way too much สระน้ำเล็ก ๆ ที่ว่ายน้ำอยู่มันช่างสวยงามยิ่งนัก ไม่มีฉลาม ไม่มีแมงกระพรุน แต่อย่าลืมว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราออกมาสู่มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ มันมีหมดเลยจ๊ะ ทั้งฉลามและแมงกระพรุน และที่บอกว่าที่ทำงานเจอแต่เพื่อนร่วมงานดี ๆ กับรอยยิ้มบนใบหน้าที่เค๊ามี ยิ้มแย้มจ่มใสทุกวันตามสไตล์คนออสซี่ เราไม่รู้เลยครับว่าข้างในลึก ๆ แต่ละคนคิดยังไง จากเรื่องมหาลัย เขียนเลยเถิดมาไกล ที่เขียนมาทั้งหมด ก็แค่อยากจะบอกว่า ขอให้ทุกคนเสพข้อมูลเกี่ยวกับประเทศออสเตรเลียอย่างมี "สติ" เสพหลาย ๆ ที่ หลาย ๆ แห่งเปรียบเทียบกันไป จะได้ไม่กลายเป็นแมงเม่า Note: เราเขียนในพื้นที่ของเรา ไม่ชอบให้เลื่อนผ่าน ไม่ต้องเสียเวลาซึ่งกันและกัน ไม่ว่างครับ Note2: เราโพสต์เรื่องมหาวิทยาลัยที่นี่ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่เมืองไทย ไม่ต้องเอา apple ไปเปรียบเทียบกับ orange นะครับ ขี้เกียจอ่าน Copyright: ไม่อนญาตให้ copy & paste, ไม่อนุญาตให้ screen capture เราอาจจะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง
เราเป็นคนที่ค่อนข้างชัดเจน
"ไม่" ก็คือไม่ ถ้าบอกว่าจะไม่ร่วมงานกับร้านนี้อีก ก็คือไม่ร่วมงานจริง ๆ ครับ กับ case บาง case ลูกค้าเราน่ารักครับ แต่นายจ้างวางตัวเป็น "พระยา" อยู่บนหิ้ง จะให้เราตะหมอบตอบขา เราทำไม่เป็นครับ ไม่มีความจำเป็น และไม่คิดที่จะทำ ทุกคนเท่าเทียมกัน จะมาวางอำนาจบาทใหญ่ เพียงเพราะตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจ นั่น นี่ โน่น ไม่ได้ ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วเป็นแค่ภาพลวงตาครับ ลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็แค่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป มันไม่มีอะไรยั่งยืน ทำอะไรให้มันง่าย ๆ เรื่องไม่ต้อง "เยอะ" เป็นมิตรกับทุกคนที่เข้ามาดีกว่าครับ โลกธุรกิจมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ผู้ให้บริการมีสิทธิ์ที่จะเลือกลูกค้าได้ เราเลือกคุณ ไม่ใช่คุณเลือกเรา ทุกวันนี้เราไม่ค่อยได้ตอบ LINE ของ @JMigrationTeam แล้วนะครับ
ทุกวันนี้ streamline งานที่มี email แทบจะหมดแล้ว ทุกวันนี้น่าจะตอบ LINE อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้นช่วง weekend เพราะงานเยอะมาก เอาเวลามานั่งทำงาน นั่งทำ case ได้ตังค์เยอะกว่า $$$ ทุกวันนี้ streamline งานที่มี email แทบจะหมดแล้ว ส่วนใครที่ถนัดใช้ LINE เราก็ต้องขอโทษด้วย งานเลี้ยงก็คงต้องมีวันเลิกลา จะสังเกตว่าเราไม่ค่อยได้ post อะไรที่ LINE แล้ว นาน ๆ post ที เราทำงานตรงนี้มา 14 ปีแล้วครับ มันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ทำธุรกิจ ต้องกินแต่พอดีคำ ไม่งั้นก็ดูแลไม่ทั่วถึง ปริมาณลูกค้าของ "J Migration Team" ทุกวันนี้เรา happy มากถึงมากที่สุดกับจำนวน case ที่มี ดังนั้นเราแทบไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปหาลูกค้าใหม่ตาม LINE หรือว่าอะไร แค่ facebook page และ Instagram ก็เยอะพอแล้ว ลูกค้าทักมา เราก็แจ้งบอกให้ติดต่อทาง email ตอนนี้บริหารงานผ่าน email ที่เดียว ง่ายมาก ส่วน brand รอง ๆ อย่าง "J. DOK JIG" ก็ยังใช้ LINE อยู่ เพราะอันนั้นเพิ่งเริ่มสร้าง brand คนยังไม่รู้จักเยอะ ยังไม่ busy มาก ข้อความไม่เยอะ เราคิดว่าลูกค้าคนไทยเองก็เหมือนกัน ก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการติดต่ออะไรที่เป็นทางการ เป็นการเป็นงานด้วย เราคิดว่า email เป็นอะไรที่ formal มากกว่า และก็สามารถ save เก็บข้อมูลเอาไว้ได้ด้วย LINE เอาไว้คุยกันสรรพเพเหระ Anyway... that is just my opinion. ดังนั้นหลาย ๆ คนที่บอกว่า "LINE ไปแล้วไม่ตอบ" ใช่ครับเราเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะเราเอาเวลามาตอบ email ดีกว่า พิมพ์ใน computer พิมพ์ได้ไวกว่า ได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า |
AuthorJohn Paopeng Archives
January 2025
Categories |