2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เรายุ่งมาก
เพราะเรามีงาน มี case หลาย case มากที่ต้องรีบยื่นให้ลูกค้าก่อนวันที่ 30 June 2019 มันไม่ได้เกี่ยวหรอกว่าสมัครวีซ่าจะเพิ่มขึ้นวันที่ 01 July 2019 เพราะเราก็พร้อมที่จะจ่ายส่วนต่างให้ลูกค้าอยู่แล้ว เราคิดว่าเรามีกำลังมากพอที่จะจ่ายในส่วนนั้น เราก็แค่คิดว่า อันไหนก็เราพอจะเบาแรงลูกค้าได้ เราก็อยากจะทำ เพราะเราทำด้วยใจจริง ๆ แต่ที่เราต้องเร่งงานก่อนวันที่ 30 June 2019 ก็เพราะว่าเรามี case ก็เป็นวีซ่าทำงานเยอะมาก และมันก็ต้องใช้ข้อมูล financial report ของปีปัจจุบันคือ June 2018 (1 July 2017 - 30 Jun 2018) ดังนั้นถ้าเรายื่นเรื่องหลังวันที่ 30 June 2019 เราก็ต้องรอ financial report ของปี 2019 (Jun 2019) อีก ซึ่งบางทีก็ต้องรอนานมาก 1-2 เดือนกว่าจะได้ เพราะ accountant เขาก็ busy กันสุด ๆ ดังนั้นเราต้องรีบยื่น case วีซ่าทำงานทั้งหมดที่มีอยู่ในมือให้เสร็จภายใน 30 June 2019 ซึ่ง case สุดท้ายที่เรายื่นก็วันที่ 26 June 2019 เราก็เลยมีเวลามาเขียน blog นี่แหละ ไม่งั้นก็คงจะไม่มีเวลามาเขียนอะไร post อะไรเป็นอันขาด แต่หลังจากยื่นเรื่อง case สุดท้ายวันที่ 26 June 2019 เสร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะว่าง แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ค่อยเครียดแล้ว แต่ก็ยังต้อง tidy up และก็ follow up case ต่าง ๆ ตามปรกติ และเราก็ต้องฝึกทีมงาน ทั้งมือซ้ายและมือขวาด้วย มือซ้ายเป็นฝรั่ง 5 คน มือขวาเป็นคนไทย 2 คน นอกนั้นจะเป็นแฟนเราอีก 1 และก็เลขาอีก 1 ทีมงาน 9 คน เป็นคนไทย 2 เป็นต่างชาติ 7 หากไม่มีพวกเขาทั้ง 9 เราก็คงแย่ เราถึง appreicate ทีมงานของเราทุกคน ที่ "J Migration Team" เหรอ ทีมงานเรามาอันดับหนึ่ง เราจะดูแลทีมงานเราก่อน ก่อนที่จะดูแลลูกค้า ลูกค้ายังไงก็หาใหม่ได้ ชีวิตเรือจ้างอย่างเรา ส่งเขาถึงฝั่งแล้ว เดี๋ยวเขาก็ลืม มันเป็นเรื่องปรกติ แต่ทีมงานเรา เราต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน เพราะทุกคนเปรียบเสมือนคนในครอบครัว ทุกคนเป็นคนที่เราดึงและชวนมาร่วมงานด้วย มีแค่เลขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มาสมัคร มือซ้ายและมือขวาทั้ง 7 เรารู้จักกันไปถึงระดับครอบครัวของทุกคน ดังนั้นคลื่นความถี่และ chemistry จึงเป็นอะไรที่สำคัญ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตเรายุ่งจริง อะไรจริง แต่ก็ manage ได้ เราก็ต้องขอบคุณมือขวาทั้ง 7 + 1 ภรรยา + 1 เลขา วันที่ 20 & 21 June 2019 เราต้องไปทำงานที่ Melbourne appointment แรกของเรา 9am ไม่ง่ายนะ เพราะเราต้องบินจาก Sydney ไป เที่ยวบิน 6:30am เพื่อที่จะไปถึง Melbourne 8:05am แล้วนั่ง Uber ต่อเข้าไปในเมืองอีก ถ้าเที่ยวบิน 6:30am, 4am เราก็ต้องออกจากบ้านแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าเราต้องตื่น 3:30am กับรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง ใครจะรู้ว่าข้างในนั้นมันเหนื่อยแค่ไหน แต่เราก็คิดว่าเราดูแลตัวเองเป็นประจำอยู่แล้ว เราทาน NuSkin Lifepack ทุกคืน เราดื่มชาเขียว (green tea) แทนกาแฟ มาได้ปีกว่า ๆ แล้ว เริ่ม Nov 2017 20 & 21 June 2019 เราทำงานอยู่ที่ Melbourne เราบินกลับ Sydney/Wollongong คืนวันที่ 21 June 2019 กว่าจะถึงบ้านก็ 10pm เข้านอน แล้วก็ต้องตื่นประมาณ 4am เพราะต้องเดินทางต่อไปเมืองไทย ไปงานพระราชพิธิเพลิงศพของ "ครูใหญ่" เพราะคุณพ่อบริจาคร่างกายให้กับทางมหาวิทยาลัย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราบินเช้าวันเสาร์ 22 June 2019 ถึงที่หมาย 10:30pm เวลาเมืองไทย 23 June 2019 ร่วมงาน 24 June 2019 บินกลับ ตอนเย็น 25 June 2019 ตอนเช้าถึง Sydney/Wollongong นอนพักต่อ 2 hr แล้วทำงานต่อ 26 June 2019... ทำงาน ทำงาน เร่งงาน เร่งงาน... 27 June 2019 ไป Sydney ไป AAT (ศาลอุทธรณ์) กับลูกค้า 28 June 2019 ไปทำงานที่ Canberra office และก็ train 1 ใน 5 ของมือซ้ายขึ้นมาให้ดูแลงานได้มากขึ้น จริง ๆ เราก็อยากจะที่ค้างที่ Canberra สัก 1 คืน เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ เราก็อยากจะไปดู investment property แถว ๆ Queanbeyan ด้วย แต่เราก็ไม่ได้ค้างที่ Canberra เพราะเราอยากกลับมาทำงานของเราต่อมากกว่า สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี งานของลูกค้า case ไหนที่เราตั้งใจอยากจะยื่นให้เสร็จภายใน 30 June 2019 เราก็ยื่นเสร็จหมดแล้วตั้งแต่ 29 June 2019 ทั้งนี้ความดีทั้งหมด เราก็ต้องยกให้กับทีมงานของเราทุกคน ทุกคน "อึด" มาก ใช่จ๊ะ เก่งอย่างเดียวไม่พอ พวกเราทีมงานทุกคนต้องมีความอึดด้วย ความเก่งหนะ เราคิดว่าทีมงานเราไม่แพ้ใครอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่ถูกชวนมาร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน ทีมงานชุดนี้ บางคนเรารู้จักพวกเขามามากกว่า 10 ปีก็มี ทุกคน เราเลือกสรรค์และปั้นเองมากับมือ หลาย ๆ คนอาจจะมองว่า ชีวิตเราดูดีจัง เห็นบินไปนั่น นี่ โน่น บ่อย ชีวิตการเดินทาง จริง ๆ แล้วมันไม่สนุกเลยจ๊ะ มันเหนื่อย แต่บางที มันก็คือ ธุรกิจ หน้าที่ และการงานที่เราต้องทำ เราไม่เดินทางไปเจอลูกค้าก็ได้ เพราะฐานลูกค้าเราก็พอมีอยู่แล้ว แต่เราก็อยากที่จะไปแหละ เพราะลูกค้าหลาย ๆ คนที่อยากจะเจอตัวเป็น ๆ ก็มี ชีวิตฉันเป็นเช่นดั่งละคร จริง ๆ ชีวิตนี้มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยจริง ๆ พรุ่งนี้ก็จะเป็น 01 July 2019 เราก็จะได้ใช้ milestone ตัวนี้ในการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ด้วย ระบบการทำงานใหม่ เราก็จะพยายามไม่เป็น "คอขวด" ของระบบการทำงาน ใครที่ follow เราใน facebook page "John Paopeng เพราะฉะนั้น" จะรู้ว่าเราอ่านหนังสือเยอะ อ่านเยอะอย่างเดียวไม่พอนะครับ เราจะต้องนำเอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงด้วย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตทั่ว ๆ ไปหรือชีวิตการทำงาน 01 July 2019 นี่แหละ เราก็ประยุกต์และ apply อะไรหลายๆ ในชีวิต ทั้งการทำงานและชีวิตครอบครัวด้วย เราขอขอบคุณกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้กับชีวิต ทุกเหตุการณ์ดีเสมอ You either WIN or LEARN. เราขอบคุณคนข้างกาย คนในครอบครัว ทีมงาน ลูกค้า สังคมและสิ่งรอบข้าง โลกนี้สวยงามเสมอ มันขึ้นอยู่กับมุมที่เราเลือกที่จะมอง ขอบคุณกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต
ขอบคุณดินฟ้า อากาศ แสงแดด และก็สายลม ในวันที่ทำงานหนัก ในวันที่เหนื่อยล้า เราก็ยังมีคนรอบข้าง มีคนในครอบครัว ทั้งที่เมืองไทยและที่นี่ มีทีมงาน มีลูกค้า ทุกสิ่งอย่างในชีวิต ทุกคน มันเชื่อมโยงกันไปหมด ในช่วงที่ทำงานหนัก เราเดินออกไปข้างนอก เดินผ่านห้องลูกลิง เราก็ยังมองเห็นลูกนั่งทำอะไรอยู่ เดินไป living room ก็ยังเห็นคนในครอบครัวทำนั่น นี่ โน่น อยู่ ขอบคุณทุกคนที่อยู่รอบข้าง ขอบคุณทีมงานทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ไม่งั้นมันก็จะไม่สมดุล ไม่ balance ทุกคนเกี่ยวข้องกันหมด ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ นี่แหละนะธรรมชาติ นี่แหละสัจธรรม ธรรมชาติ คือ ธรรมะ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ขอบคุณกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ทุกคนมีความฝันเป็นของตัวเอง
ทุกคนมีสิ่งที่เขาอยากจะทำในชีวิต แต่บางทีธุรกิจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ การทำมาหากินก็ต้องมาก่อน ก็ต้องทำ การแบ่งเวลา เพื่อไล่ล่าตามหาฝันนั้นสำคัญนัก ขึ้นอยู่กับว่า พวกเขาเหล่านั้นจะจัดเวลายังไง จะไล่ลาตามหาฝันของตัวเองได้ยังไง หากเรายังทำอะไรอยู่แบบเดิม ๆ ผลลัพธ์มันก็ต้องออกมาเดิม ๆ เราก็จะยังอยู่ที่เดิม ๆ ทุกคนต้องมีเวลาให้กับความฝันอันนั้น เวลามันอาจจะน้อย เวลามันอาจจะไม่มาก หากเราได้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง ตามที่เราฝันใฝ่ ตามที่เราอยากจะทำ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง เรื่องธุรกิจหน้าที่และความรับผิดชอบ มันคงจะดีมากเลยสินะ นักรบ ในยามสงครามก็ต้องออกศึก
ในยามสงบ ก็ต้องลับมีด ลับดาบ ลับเลื่อย อยู่เรื่อย ๆ ไม่ให้เข้าสนิม คนเราก็เหมือนกัน เราก็ต้องหมั่นลับคมสมอง ลับคมปัญญาของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาตัวเองทั่ว ๆ ไป หรือการใฝ่หาความรู้ในทางด้านของธุรกิจ การบริหาร การเงิน ต่าง ๆ นานา จะตัดต้นไม้ต้นใหญ่ให้ล้ม เลื่อยเราก็ต้องแหลมคม เราก็ต้องลับเลื่อยเราก่อน Sharpen my saw ทำให้ได้หลายแบบ ปรกติเราจะอ่านหนังสือแทบทุกวันอยู่แล้ว หลัง 9pm ก่อนเข้านอน ที่เราเรียกมันว่า DEAR; Drop Everything And Read คือหยุดทุกอย่างที่ทำ แล้วอ่านหนังสือซะ อ่านก่อนเข้านอน เพราะเราจะปิดเครื่องมือ electronic ทุกอย่าง 9pm งานเสร็จหรือไม่เสร็จไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกอย่างต้อง shutdown by 9pm อะไรที่ยังไม่เสร็จ เราทำต่อพรุ่งนี้ได้ No screen 1 hr before bed ก็คือเราไม่ควรอยู่หน้าจอ TV, หน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ 1 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะการที่เราอยู่หน้าจอพวกนี้ มันจะเป็นการกระตุ้นสมองของเรา ทำให้เรานอนหลับยากหลังจากนั้น ลองสังเกตุดูนะครับ คนที่ดู TV แล้วเข้านอนเลยทันที หรือคนที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วเข้านอนเลยทันที จะใช้เวลานานกว่าปรกติกว่าเขาจะนอนหลับได้ แตกต่างจากคนไม่ได้อยู่หน้าจอ พวกเขาจะหลับได้เร็วกว่า ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะอ่านหนังสือก่อนเข้านอน ปีที่แล้วเราก็อ่าน และฟัง audiobook มากกว่า 40 เล่ม ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มันเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ มันเปลี่ยนแปลงความคิดเราไปได้เยอะ มันช่วยเราในการทำงานด้วย เพราะเราได้มีความรู้รอบตัว หลายด้าน หลายแขนง เวลาเขียนงาน เขียน submission อะไรที่ต้องเขียนเป็น pursuasive writing เขียนโน้มน้าวจิตใจ เรามีข้อมูลเยอะในคลังสมองของเราอยู่แล้ว มันมาจากการอ่านนี่แหละ Leaders are Readers จริง ๆ หลาย ๆ คนอาจจะเลือก No screen 1 hr before bed. No screen 1 hr after bed. คือไม่อยู่หน้าจอ electronic อะไรเลย 1 ชั่วโมงก่อนนอน และ 1 ชั่วโมงหลังจากการตื่น เราก็สามารถเอาเวลาเหล่านั้น ไปอ่านหนังสือ ไปนั่งสมาธิ ไปออกกำลังกาย ไปขีด ๆ เขียน ๆ อะไรบางสิ่งบางอย่าง เขียนบันทึก เขียน journal หรือทำอะไรก็ได้ แล้วแต่ความชอบและ lifestyle หรือจุดมุ่งหมายในชีวิตของแต่ละคน วันเสาร์ที่แล้ว long weekend เราก็ไปเข้าสัมนา เข้า workshop ในเรื่องของกฎหมายอิมมิเกรชั่นของประเทศออสเตรเลีย เสาร์-อาทิตย์ long weekend จะหยุดหรือไม่ได้หยุดบางทีคนที่ทำธุรกิจอย่างเรา มันก็เลือกไม่ได้ ถ้าอยากก้าวหน้า เราก็ต้องอึดกว่าคนอื่น เราต้องเดินหน้า ศึกษาหาความรู้ แน่นอนการเข้าสัมนา การเข้า workshop พวกนี้มันก็ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่เราก็ไม่ได้มองว่ามันคือค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า เรามองมันว่ามันการส่วนหนึ่งของการลงทุนในการทำธุรกิจมากกว่า ถึงแม้จะต้องเหนื่อยในการเดินทาง แต่เราก็มั่นใจว่า ผลลัพธ์มันต้องออกมาดี มันต้องเป็นอะไรที่คุ้มค่า คุ้มค่ากับเวลา คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป Sharpen my saw อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้สมองเราเข้าสนิม เพราะทุกอย่างคือโอกาส โอกาสทางธุรกิจ โอกาสของคนในครอบครัว โอกาสของคนรอบข้าง รวมไปถึงโอกาสของทีมงานด้วย งานเราเยอะ ทีมงานก็ได้ทำงานเยอะ ลูกค้าก็ได้สินค้าและ product ตามที่ต้องการ มันเป็น WIN-WIN-WIN-WIN WIN: ธุรกิจเรา WIN ส่งผลไปถึงคนในครอบครัว และคนรอบข้างของเรา WIN: ทีมงานเรา WIN ส่งผลไปถึงคนในครอบครัว และคนรอบข้างของพวกเขา WIN: ลูกค้าเรา WIN ส่งผลไปถึงคนในครอบครัว และคนรอบข้างของพวกเขา WIN: ถ้าทุกคน WIN ทุกคนก็จะมีความสุข นำไปสู่ซึ่งความสุขและสันติสุขของสังคมและโลกใบนี้ เห็นไหม เราทุกคนสามารถส่งผลกระทบต่อคนอื่น สังคม และโลกใบนี้ได้ สำหรับคนที่ไม่ได้ทำธุรกิจอะไร เราก็สามารถหาความรู้ ลับคมสมองและความคิดของเราไปเรื่อย ได้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การดู facebook LIVE ที่มีประโยชน์ การดู YouTube หรือ video clip ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ ไม่ได้ดูเพื่อความบรรเทิง เวลาว่าง ๆ อย่าลืมลับมีด ลับดาบ ลับเลื่อยของตัวเองนะครับ อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ต้องลุกขึ้นมาทำ อึดกว่าคนอื่น ลงลึก ไม่ลงกว้าง go deeper, no wider เก่งเฉพาะทาง ไม่ใช่รู้เรื่องไปหมดซะทุกอย่างแต่ไม่เก่งอะไรเลย อย่าเป็น Jack of all trades, master to none. ทำอะไรที่ niche เพราะ "Nichest is the richest" กับงานที่เราทำ เราได้สัมผัสและเจอะเจอผู้คนเยอะแยะมากมาย
แต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนก็ OK พอที่จะ dealing ได้ บางคนก็เรื่องเยอะ เรื่องมาก ต้องการโน่น ต้องการนี่ I need it now. I want it now. ต้องการเลยทันที บางคนก็จู้จี้จุกจิก หยุมหยิม เราก็พยายามที่จะไม่คิดอะไรมาก "คิดการใหญ่ ใจต้องนิ่ง" ถ้า "คิดการใหญ่กว่า ใจก็ต้องนิ่งกว่า" แต่ละคนถูกเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน แต่ละคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน แต่ละคนผ่านประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่าง ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่พฤติกรรมของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เราก็พยายามที่จะไม่คิดอะไรมาก เราก็เพียงแค่คิดว่า ถ้า "เขาคิดได้เหมือนเรา เขาก็คงเป็นแบบเราแล้วสิ" เมื่อคิดได้เช่นนี้ ชีวิตเราก็จะมีความสุข สิ่งที่เราพึงทำได้คือ ต้อง "screen" ลูกค้า ต้อง "screen" คนที่เราต้อง dealing with ว่าเขาเป็นคนประมาณไหน เราไม่ได้รับลูกค้าทุกคนที่เข้ามา หรือติดต่อมา เราเน้นคุณภาพ ไม่ได้เน้นปริมาณ ถ้าคิดจะเป็นเพชร เราก็ต้องทำตัวแบบเพชร ถ้าคิดจะเป็น Lexus เราก็ต้องทำตัวแบบ Lexus ไม่ใช่ Hyundai อันไหนพอปล่อยก็ต้องปล่อย อันไหนพอนิ่งก็ต้องนิ่ง บางคนที่ติดต่อเข้ามา เราก็ไม่ต้องประคบประหงมมาก คนไหนพอปล่อยก็ต้องปล่อย ไม่ต้องสานต่อ ตัดไฟแต่ต้นลมไปเลย บอกไปเลยว่า "ช่วงนี้ไม่ว่างนะครับ โทษที" เพราะใครบางคนก็ suck out genergy out of you ได้เหมือนกัน dealing กับคนหมู่มาก ไม่ง่าย แต่ถ้า dealing แบบฉลาด เราก็อยู่ได้ ทุกสิ่งอย่างที่เราทำ เราก็ต้องตั้งสติ มีสติอยู่กับตัวตนตลอดเวลา แบบนี้เราก็อยู่ได้ แบบนี้เรา "รอด" เลือก dealing อะไรที่ niche ไม่ใช่ generalisation The nichest is the richest. dealing กับผู้คนเยอะแยะมากมาย ร้อยพ่อพันแม่ มันก็ไม่ง่ายนะ แต่เราก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะ เราก็พยายามมองทุกสถานการณ์ว่า ทุกอย่าง "ดี" เสมอ มันทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิต นิสัยและพฤติกรรมของคนด้วย บางทีการที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็ทำให้เราอึด ทำให้เราอดทน ชีวิตบางทีมันก็เหมือนกับการแข่งขัน คนไหนอึดกว่า คนไหนอดทนกว่า คนไหนนิ่งกว่า คนนั้นชนะ "คิดการใหญ่ ใจต้องนิ่ง" "มนุษย์" เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าศึกษาและค้าคว้าที่สุด ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ |
AuthorJohn Paopeng Archives
December 2024
Categories |