"มารยาททางสังคม"
กับธุรกิจ หน้าที่ และการงาน บางทีมันก็ต้องมีบ้างในเรื่องของมารยาททางสังคม วันนี้ต้องขับรถไกลอีกแล้ว เป็นอะไรที่ต้องไปทำด้วยตัวเอง ไม่ไปก็ได้ แต่เราเลือกที่จะไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเราเองนั้น time poor มาก คิวงานแต่ละอย่าง case แต่ละ case เราคิดว่า วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงมันน้อยไป อาทิตย์หนึ่งมี 7 วันมันน้อยไป ทุกวันนี้ก็ทำงาน 9am - 9pm อยู่แล้ว 12 hr จ๊ะ ชีวิตไม่ได้สบาย แต่เราก็เลือกที่จะไป เราคิดว่าเราคิดถูกแล้ว ทำถูกแล้วที่เราไป ที่ post มาทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้บ่นอะไรนะ แค่เล่าสู่กันฟัง... ว่า... "ชีวิตฉันเป็นเช่นดั่งละคร" จริง ๆ จ๊ะ มนุษย์ทุกคนเกิดมา มีความต้องการและเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
เราผ่านทั้งโลก และโรคมาเยอะแล้ว เรามีเป้าหมายในชีวิตที่ค่อนข้างชัดเจน เรารู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต ก็อาจจะมีบ้างเป็นบางที ที่มีคนติดต่อเข้ามาจากบริษัทอื่น ทั้งภายในและจากนอกประเทศออสเตรเลีย เพื่อขอร่วมทำงานด้วย เรารู้สึก humble ที่บริษัทเหล่านั้นติดต่อเรามา แต่เราก็ต้องปฏิเสธไป เพราะเราคิดว่าเรา happy กับทุกสิ่งอย่างในปัจจุบันที่เรามีอยู่ สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น เราไม่ต้องการอะไรที่มันขยายใหญ่ไปมากกว่านี้แล้ว control คุณภาพงานไม่ได้ เราไม่ค่อยอยากที่จะร่วมงานอะไรกับใคร เพราะเราคิดว่า brand ของเรา ก็น่าจะเอาอยู่ เราคิดว่าเราสามารถหาลูกค้าของเราเองได้ เราทำสื่อและทำการตลาดของเราเองได้ การที่เราเลือกไม่ร่วมงานอะไรกับใคร ไม่ได้แปลว่าเราหยิ่ง แต่เราต้องการความคล่องตัวมากกว่า เพราะทุกวันนี้เรานึกอยากจะไปไหนเราก็ได้ไป ไม่เคยทำให้ต้องเสียงาน เราสามารถทำงานได้ทุกที่ ขอให้มี Internet และ laptop Chromebook และอีกอย่าง ทุกวันนี้เราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องอะไร เราขออยู่แบบเพียงพอ มีความสุขกับทุก ๆ วัน มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า ทุกวันนี้เราก็มีความรู้สึกว่า "พอแล้ว" happy แล้ว กับเรื่องของการทำงาน เราต้องการทำการลงทุนอะไรที่เป็น passive income และก็ semi-retire มากกว่า จะให้เรามานั่งทำงานเหมือนเดิมไปตลอดชีวิตมันคงไม่ work เมื่อเรามีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน โดยส่วนมากแล้ว ชีวิตเราจะไม่ไขว้เขว เรามีเข็มทิศชีวิตที่ชัดเจน เรารู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิตนี้ และเรารู้ว่าเราจะต้องทำอะไร ยังไงบ้างเพื่อที่จะ achive that goal สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น 18 Jan 2019 ที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี
กับชีวิตที่เรียบง่าย กับอาหารจานประหยัด กะเพราะไก่ ไข่ดาว 35 บาท นี่คืออาหารที่ขายในร้านอาหารที่เขื่อนนะครับ ไม่ใช่กับข้าวจากพวกร้านเพิงหมาแหงน กับข้าวไม่ได้แพงอะไรเลย คนเราถ้ารู้จักเลือกกินเลือกซื้อ ชีวิตก็ไม่น่าจะอดตายนะ ไม่ต้องไปกิน MK (ครั้งล่าสุดน่าจะ 20 ปีที่แล้ว), Fuji (ยังไม่เคยไปกินเลย) ไม่ต้องกิน McDonald, KFC, Pizza มันไม่ใช่อาหารบ้านเราซะหน่อย เด็กรุ่นใหม่ที่เมืองไทยก็ชอบกันเหลือเกิน แพงกว่ากะเพราะไก่ไข่ดาวนะหนูนะ เราไม่โทษเด็กจ๊ะ เราโทษพ่อแม่ที่ไม่ปลูกฝัง กะเพราะไก่ไข่ดาวนี้ อร่อย เรียบง่าย จากร้านอาหารที่ดูดีและสะอาดที่เขื่อนสิรินธร มันทำให้เราเห็นความเรียบง่ายของชีวิต มีอะไรที่เรากินได้ก็กินไป ไม่ต้องโอ้อวดอะไรกับใคร ทุกอย่างเป็นแค่เปลือกนอก ความสุขทุกอย่างมาจากข้างใน คนเราจะดูแพง เราแพงมาจากข้างในและการกระทำจ๊ะ อยากจะให้หลาย ๆ คนเลิกติดหรู แล้วเขาจะรู้ว่าชีวิตการอยู่แบบพอเพียง และเพียงพออย่างแท้จริงนั้น มันสามารถทำได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องทฤษฎีหรือโลกสวย ถ้าเผื่อคนเราสามารถก้าวข้าวจุดนั้นไปได้ ชีวิตก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง 2019
ทุกสิ่งอย่างดูเหมือนจะลงตัว ธุรกิจ หน้าที่ การงาน เรื่องส่วนตัว และสุขภาพ ขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ขอบคุณสายลมและแสงแดด ขอบคุณน้ำมะพร้าวที่เราดื่มกินทุกค่ำ เช้า T2 Green Tea ด้วย ขอบคุณทุกคนที่อยู่รอบข้าง ขอบคุณทีมงาน ลูกค้า FC ญาติพี่น้อง ขอบคุณกับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต You either WIN or LEARN วันนี้จะเป็นอีกวันที่ดีที่สุด เหมือนเช่นทุก ๆ วันที่ผ่านมา ชอบสิ่งไหน เอาตัวไปใกล้สิ่งนั้น สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น 99.99% เราเป็นคนตรงเวลา ปรกติจะมาก่อนเวลานัดด้วยซ้ำ ถ้าเรารู้หรือจำได้ว่าเรามีนัดกับใคร
เราแทบไม่เคยผิดนัดหรือไปสายเลย ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ นี่เป็นนิสัยส่วนตัว บางครั้งที่เราไปสาย นั่นคือจำวันนัดไม่ได้ อะไรประมาณเนี๊ยะ เพราะบางทีเราก็ลืมใส่ข้อมูลใน Google Calendar ของเรา แต่ถ้านัดไหนเราจำได้ เราจะไปก่อนเวลาเสมอ แทบจะไม่ค่อยสายเลย เราชอบคนตรงเวลา เราคิดว่าทุกคนชอบคนตรงเวลาแหละ แต่ก่อนเราเป็นคนตรงเวลามาก ถ้านัดกับใครแล้ว ถ้าเขาไม่มา เราลุกหนีเลย เราไม่รอ ถือว่าเขามาผิดเวลาแล้ว แล้วเราก็จะอารมณ์เสียด้วย พอเราเริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มุมมองของโลกเราเปลี่ยนไป เรามองทุกอย่างด้วยความเมตตา ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ทุกคนนี้แทบจะไม่โกรธใครเลย ไม่ปิ๊ด ไม่มีปฏิกิริยาอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ก็อาจจะมีบ้างที่ลูกค้าเรามาสาย ทุกคนมีสาเหตุที่แตกต่าง เราไม่ว่ากัน ทุกวันนี้เราเฉย ๆ กับเรื่องพวกนี้ เราก็พยายามมองทุกอย่างจากมุมมองของเขา จากจุดที่เขายืน เรารู้ว่าลูกค้าเราหลาย ๆ คนไม่กล้าที่จะตั้งใจมาสายหรอก เพราะเขาเกรงใจเราเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือบางคนก็บอกว่าเรา "ดุ" อะไรประมาณนี้ ก็แล้วแต่คนจะคิดจ๊ะ ทุกวันนี้เราปล่อยวางได้เยอะ รู้สึกชีวิตมีความสุข รู้สึกว่าทุกอย่างมันดู "เบา" โลกนี้ดูสวยงามเสมอ บางคนที่มาสาย ก็เป็นผู้หญิงที่ท้องบ้าง เราจะโกรธเขาลงได้ไง บางคนก็ต้องส่งลูกไปโรงเรียน เราโกรธเขาไม่ลงหรอก บางคนก็ juggle with life ต้องลางาน ต้องจัดเวลา เพื่อที่จะเข้ามาหาเรา เราก็โกรธเขาไม่ลงหรอก เรารู้สึก humble มากกว่า ที่ลูกค้าแวะเข้ามาหาเรา แสดงว่าเราให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเรา เมื่อคนเราสามารถลด ego เราลงได้ ลดอัตตา การมีตัวตน และทิฐิอะไรหลาย ๆ อย่าง ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะเลย ทุกวันนี้ ลูกค้าจะมาสายหรือว่าอะไร ยังไง เราก็นั่งทำงานของเราอย่างอื่นรอไปได้ เราคิดว่าเขามีเหตุผลของเขาเสมอ เพราะใน case ของเรา น้อยมากที่ลูกค้าจะมาสาย ปีหนึ่งอาจจะมีแค่ 2 คนอะไรประมาณนี้ ซึ่งปีหนึ่งเราเจอคนหลายร้อยคนมาก ดังนั้นเรื่องนี้ สำหรับเราถือว่าจิ๊บ ๆ มาก คนเรา เมื่อเราเติบโตมากขึ้น ทั้งอายุและทางความคิด อะไรหลาย ๆ อย่างมันก็เปลี่ยนได้นะ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ใครบอกว่าคนเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่จริงจ๊ะ คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ชอบสิ่งไหน ก็เอาตัวไปเข้าใกล้สิ่งนั้น ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นจากการอ่าน การฟัง การปฏิบัติ และการคิดที่เปลี่ยนไป การไมีมี ego การไม่มีทิฐิ มันคือความสุข สุขที่สุด สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น ในช่วงเวลาของการเลือกตั้ง
เราชอบพรรคไหน เราก็เลือกพรรคนั้น เราชอบพรรคไหน เราก็เชียร์พรรคนั้น เราไม่ต้องด่า ไม่ต้องประจาน ไม่ต้อง discredit กับพรรคที่เราไม่ชอบ กับพรรคที่เราไม่เห็นด้วย ด่ากันไป ประจานกันไป discredit กันไป มันไม่ก่อเกิดประโยชน์หรอก ที่เขียนมาทั้งหมดเนี๊ยะ เราทำมาหมดแล้ว ตอนนั้นเรายังเด็กนัก พวกเลือดร้อน เราเป็นคนชอบออกความคิดเห็น บางทีก็แรงไป คนเราเมื่อเราเติบโตมากขึ้น ความคิดเราก็เปลี่ยน การปฏิบัติตัวเราก็เปลี่ยน การเมืองยุคใหม่ เด็กยุคใหม่ เราต้องเปิดใจให้กว้าง ทุกคนดีหมด อาจจะดีมากหรือดีน้อยกว่ากันก็แค่นั้นเอง อย่าไปมัวแต่คิดว่านักการเมืองจะเข้ามาเพื่อกอบโกย มันไม่จริงเสมอไปหรอก คนดีเมืองสยามมันก็คงยังมีอยู่ นโยบายของแต่ละพรรคก็น่าสนใจ พรรคใหม่ ๆ ก็เยอะ ก็เลือกนโยบายที่ตัวเองชอบก็แค่นั้นเอง ถ้าไม่ชอบ เลือกตั้งครั้งต่อไปก็ไปลงสมัครเองเลยละกัน (อะไรประมาณนี้) ช่วงเลือกตั้ง ไม่ด่า ไม่ประจาน ไม่ discredit ไม่ต้องถามว่าเราจะเลือกใคร เราจะเลือกใครมันเป็นเรื่องของเรา มันเป็นสิทธิ์ของเรา เราก็จะไม่ถามเธอว่าเธอจะเลือกใคร เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของเธอ สำหรับคนที่มี page เป็นของตัวเอง มีคน follow เยอะ ๆ หรือเป็น admin ของพวก facebook group ต่าง ๆ บางทีเราก็ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เอนซ้าย ไม่เอนขวา เราต้องไม่ abuse power ในสิ่งที่เรามี เราต้องไม่สร้างความแตกแยก เคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน วันนี้เราหยุดแล้ว แล้วท่านหละ หยุดหรือยัง กกต อนุญาตให้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงขอเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 28 Jan 2019
เราเป็นเด็กดี เราก็ลงทะเบียนแล้วตั้งแต่วันที่ 29 Jan 2019 เลยทันที แล้วเธอหละ ลงทะเบียนกันหรือยัง ประกาศปุ๊บ เราก็ลงทะเบียนปั๊บเลย เพราะสามารถทำได้ผ่าน Internet เข้าไปที่ website นี้ได้นะครับ https://election.bora.dopa.go.th/ectabroad/default.aspx เราไม่จำเป็นต้องไปที่คูหาเลือกตั้ง เพราะเราสามารถขอเลือกตั้งทางไปรษณีย์ได้ ทางสถานทูตที่ Canberra จะส่งเอกสารการเลือกตั้งมาให้เราเองตามที่อยู่ที่เรากรอกไป เลือกตั้งเสร็จ เราก็ส่งกลับ ก็แค่นั้นเอง แล้วทางสถานทูตก็จะมีการจัดส่งกลับไปที่เมืองไทย ไปนับรวมกันกับศูนย์เลือกตั้งของเราที่เมืองไทย 24 ปีของการมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เราเคยใช้สิทธิ์เลือกตั้งแค่ครั้งเดียว ตอนที่กลับไปที่เมืองไทยสมัยเมื่อยังละอ่อน พอดีว่าตอนนั้นกลับเมืองไทยตอนช่วงเลือกตั้งพอดีเลย เรายังไม่เคยเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรเลย ที่ผ่านมา เราไม่ได้สนใจ เพราะถ้าจะให้เดินทางไปเลือกตั้งที่ Sydney ที่กงสูล หรือที่คูหาไหนก็ตามเราก็คงไม่ไปหละจ๊ะ ขนาดเลือกตั้งของออสเตรเลียเรายังไม่ไปคูหาเลย เราก็เลือกทางไปรษณีย์ตลอด เราดีใจที่คราวนี้การเลือกตั้งของไทยนอกราชอาณาจักรสามารถเลือกได้ทางไปรษณีย์ เราพร้อมแล้ว พร้อมที่จะเลือก พรรคไหน อะไร ยังไง เราตัดสินใจแล้วตั้งหลายยยยยยยยยยย ปี ตอนนี้ก็แค่รอเวลา ส่วนใครจะเลือกพรรคไหน อะไร ยังไง นั่นมันก็เรื่องของเขา เราเคารพความคิดเห็นและสิทธิ์ของทุกคน เราเคารพในความคิดต่าง ส่วนเราจะเลือกพรรคไหน มันก็เรื่องของเรา โปรดเคารพสิทธิ์ของเราด้วยเช่นกัน มารยาททางสังคมของคนที่นี่ (คิดเอง สังเกตุเอง เชื่อฉัน ฉันโตที่นี่ เรียนที่นี่ ทำงานที่นี่) คือเราจะไม่ถามกันว่า "เธอจะเลือกพรรคอะไร" จะได้ไม่ต้องมีเรื่องบาดหมาง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือก ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันเยอะ ๆ นะครับ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร อย่าเพิ่งเบื่อ อย่าเพิ่งคิดว่าเลือกไปแล้วก็เหมือนเดิม เหมือนเดิมก็ไม่เป็นไร ขอให้เราได้เลือก ขอให้เราได้ใช้สิทธิ์ใช้เสียงที่เรามี เธอจะเลือกพรรคไหนมันเรื่องของเธอ ฉันจะเลือกพรรคไหรมันก็เรื่องของฉัน แต่ขอให้ฉันและเธอได้ใช้สิทธิ์ใช้เสียง ขับเคลื่อนเมืองไทยไปข้างหน้าหน่อยละกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยแล้วก็ตาม อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเผื่อวันหนีงได้กลับไปหละ จะอยู่ได้มั้ย...etc... "J" ยุค 2019 เป็นเด็กดีแล้ว ไม่นอนหลับทับสิทธิ์ อันไหนที่เก็บเอาไว้แล้ว มันไม่ได้เป็นประโยชน์กับชีวิตเรา ก็เอามันออกไปจากชีวิตเราบ้างก็ได้
เก่าเรา อาจจะใหม่สำหรับเขา ของพวกนี้ลูก ๆ ไม่ได้ใช้ ไม่ได้เล่นแล้วหละ โต ๆ กันแล้ว ปีนฉีดน้ำก็หอบมาจากเมืองไทย 2 ปีที่แล้ว ถึงตอนนี้ก็คงไม่เล่นแล้วมั้ง ลด ละ เลิก การสะสมวัตถุ สิ่งของ และตัวถ่วงในชีวิต แล้วเราจะ "เบา" “กล้าที่จะปฏิเสธ”
มีหลายครั้งที่เราปฏิเสธงาน ๆ หลาย ๆ งานเพราะเราคิดว่ามันไม่ตรงกับสิ่งที่เราอยากทำ อย่างเช่น บางคนทำเรื่องกับบริษัทอื่นหรือที่อื่นอยู่แล้ว แล้วให้เรามาสานต่อ เราคิดว่ามันคงปวดหัวน่าดู ที่จะต้องมานั่งรื้อ case ของใครใหม่ เพราะที่อื่นเขาอาจจะทำมาเละเทะมาก ไม่งั้นเขาคงไม่ย้าย เราไม่ได้หมายความว่าเราทำงานดีหรือละเอียดกว่าที่อื่นหรอกนะ แต่เราคิดว่าเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราคิดว่าเราใส่ใจและมีจรรยาบรรณในงานที่ทำ เราต้องการอยู่ที่นี่ in the long term ไม่ใช่แค่อยู่ ๆ แล้วก็ไป หรือบางคนก็ทำเรื่องกันมาเอง แล้วให้เราไปช่วยตามเรื่องให้ อันนี้เราก็ไม่ “ค่อย” ทำเหมือนกัน เพราะเราต้องการ a total control เพราะ case ที่หลาย ๆ ทำกันมาเอง เรา control ไม่ได้ว่าเขาทำอะไรไปมั่ง ยื่นเอกสารอะไรบ้าง ดีหรือไม่ดี เอกสารครบหรือไม่ครบ เพราะคนที่เขาทำเรื่องกันมาเอง โดยส่วนมากแล้วจะอาศัยข้อมูลจาก Internet บ้างหรือตามพวก social media บ้าง พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีความชำนาญอะไร แต่เราก็เข้าใจ เพราะหลาย ๆ คนเลือกที่จะทำเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย พอเขามีปัญหา เขาค่อยเรียกร้องหาคนนั้นคนนี้ให้คนช่วย โดยส่วนมากแล้ว case ที่เข้ามาแบบนี้ เราทำแล้วจะไม่ค่อยคุ้มกับเวลาที่เราเสียไป ส่วนมากจะเป็นได้ไม่คุ้มเสีย ที่บอกว่าเสียนี่คือเสีย “เวลา” เพราะเวลาเราจำกัดมาก วันหนึงมันมีแค่ 24 ชั่วโมง เราก็ต้องเลือกงาน เลือกอะไรด้วย ไม่ใช่มีอะไรเข้ามาก็เอาหมด สู้เราปฏิเสธงานบางงาน แล้วเราก็ free ตัวเองมากขึ้น มีเวลามากขึ้นกับงานที่เราทำ แล้วทำออกให้ปัง ๆ เลยจะดีกว่า Quality over quantity. การที่เราเลือกที่จะปฏิเสธงานบางงาน ไม่ได้แปลว่าเราหยิ่งหรือคิดว่าตัวเอง “เลือกได้” ไม่ว่าจะเป็นชีวิตการทำงานหรือการใช้ชีวิตทั่ว ๆ ไป ชีวิตเรา เราต้อง “เลือกได้” สิ make decision… เลือกเอาเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเรา ทุกสิ่งอย่างในชีวิตมันมีเหตุและก็ผลของมัน ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ "...เพ้อ... ในวันที่เหนื่อย..."
ในวันที่เหนื่อย ในวันที่ท้อแท้ เราก็พยายามบอกตัวเองว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้เราทำเพื่อใคร บางทีมันก็เหนื่อย เหนื่อยมาก ถึงมากที่สุด ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยถึงขนาดนี้ก็ได้ ชีวิตทุกเราวันนี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไร เราไม่ได้รวยจ๊ะ ก็แค่อยู่กันแบบพอเพียง เราใช้น้อยกว่าที่เราหามาได้ ชีวิตปลอดหนี้ (ยกเว้น property investment แต่มันก็ take care ตัวของมันเอง) เราก็ได้แต่แอบกระซิบบอกตัวเองเบา ๆ ว่า ชีวิตเรายังดีกว่าอีกหลาย ๆ คนนะ งานยุ่ง งานหนัก ดีกว่าไม่มีงานทำใช่มั้ย อย่าบ่นเลยนะ คนเขาเข้ามาหาเรา แสดงว่าเขาให้ความไว้วางใจกับเรา ซึ่งก็ดีแล้ว เรารู้สึกเป็นเกียรติ เรารู้สึก humble I owe everything to them. หากไม่มีเขา ก็คงไม่มีเรา ไม่เป็นไรนะ เหนื่อยก็พัก แล้วค่อยทำงานต่อ ขอวันหนี่งมีสัก 25 ชั่วโมงจะได้มั้ยนะ ...เพ้อ... ในวันที่เหนื่อย... #จอห์นเผ่าเพ็ง #เพราะฉะนั้น |
AuthorJohn Paopeng Archives
December 2024
Categories |