กับธุรกิจหน้าที่การงานที่เราทำ กับการที่เอาตัวเองมาออกสื่อ
กับโลก online ที่เปิด 24 hr บางทีเราก็รู้สึกว่าชีวิตเราโดนเอาเปรียบ เบื่อมากเลยกับคำถามที่ส่งมาใน inbox, LINE และก็ email วันอาทิตย์ ทำไมเหรอ เขารอถึงวันจันทร์ไม่ได้เลยหรือไง ชีวิตทุกวันนี้มันต้องเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ I want it now. I need it now. ยังงั้นเหรอ มันชั่งเป็นชีวิตที่งดงามเลยนะ โทรศัพท์มือถือเราก็พยายามปิดวันอาทิตย์แล้ว พยายามเปิดเป็น flight mode แล้วช่วง weekend แต่มันก็มีบางที ที่เราต้องออกไปข้างนอกบ้าง ออกไป gym ไปอะไรบ้าง มันก็ต้องเปิดมือถือบ้าง อะไรบ้าง มันก็ต้องเห็นพวกคำถาม เห็น inbox, เห็น email อะไรต่าง ๆ ความยุ่ง ความ busy มันก็ดีนะ แต่มันก็เหมือนเป็นดาบ 2 คม กับลูกค้า เราไม่ mind อยู่แล้ว เรา happy ที่จะตอบวันอาทิตย์ ในเวลาที่ว่าง ลูกค้าเราส่วนมาก (ไม่ทุกคน) ไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่ เพราะลูกค้าเราส่วนมากก็ follow เราตามสื่อต่าง ๆ อยู่แล้ว ลูกค้ารู้วิธีการทำงานของเรา ลูกค้าเราส่วนมากจะ leave me alone on Sunday ขอบคุณมากเลยครับ แต่คนที่ไม่ใช่ลูกค้านี่สิ และก็ดูจากพฤติกรรมแล้ว เราก็คงคิดว่าเขาไม่น่าจะอยู่ในกลุ่มลูกค้าของเราอยู่แล้ว เราทำงานตรงจุดนี้มานาน เราพอจะสัมผัสได้ว่า คนไหนที่ติดต่อเพราะอยากจะทำ case กับเราจริง ๆ หรือคนไหนเป็นพวกแบบที่ว่า ติดต่อมาเฉย ๆ แหละ เปรียบเทียบราคา หรือหาข้อมูลฟรี ๆ ข้อมูลฟรี ๆ เราก็ทำให้แล้วไงครับ ที่หน้า facebook page ที่ TimeLINE ที่ YouTube เธอจะเอาอะไรกับฉันอีก คนพวกนี้เราก็เห็นพวกเขาตามพวก facebook group ต่าง ๆ อยู่แล้ว คอยถามนั่น นี่ โน่น เพราะตัวเราเองก็อยู่ใน facebook group พวกนั้นอยู่แล้ว ก็แค่เราไม่แสดงตนเฉย ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็คงต้องค่อย ๆ แก้ ค่อย ๆ หา strategy อะไรของเราไป แต่บางทีเราก็คิดว่า แล้วทำไมฉันต้องเปลี่ยน ฉันต้องแก้เพื่อพวกเธอด้วยเหรอ คนเรานะถ้าพวกเขามี "ความเกรงใจ" กันสักนิดหนึง โลกนี้ก็จะดูสวยงามขึ้นอีกเยอะ ถ้าส่งคำถามมาใน inbox, LINE หรือ email ถ้าเราไม่ตอบ ก็หาว่าเราไม่ตอบอีก หาว่าเราติดต่อยาก นั่น นี่ โน่น เราก็เลยต้องตอบ แต่ตอบไปว่า "ช่วงนี้ไม่ว่างนะครับ โทษที" คำถามเดียวกัน ถ้าเขาส่งมาวันจันทร์ - เสาร์ เขาอาจจะได้คำตอบที่แตกต่างก็ได้ ใครจะรู้ แต่กับใครบางคน เราก็คิดว่า คลื่นความถี่เราคงไม่ตรงกันแล้วหละ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปสานอะไรต่อ สู้เราเอาเวลาของเราไปทำงาน ไปร่วมงานกับคนที่คลื่นความถี่ตรงกัน ทำงานด้วยกันแล้วมีความสุขน่าจะดีกว่า จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ที่เรา dealing ด้วยก็ดีนะ ก็มีแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ ตบไหล่ตัวเองเบา ๆ บอกกับตัวเองว่า "ไม่เป็นไรนะ" เราก็ต้องมองข้ามพวกเขาบางคนไป แล้วเราก็ concentrate กับคนที่เราคิดว่าเราทำงานด้วยแล้วมีความสุข เรามีคลื่นความถี่ที่ตรงกัน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ชีวิตการทำงานเราก็จะลำบาก ถึงแม้จะเจอปัญหาจุกจิกกวนใจ มันก็แค่ส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง เราก็จะยังคงทำงานต่อไปจ๊ะ ไม่เลิกจ๊ะ เราก็เพียงแค่ต้องคิด ต้องหาวิธีว่าจะ deal กับเรื่องพวกนี้อย่างไร เจอะเจอผู้คนเยอะแยะมากมาย ร้อยพ่อ พันแม่ มันก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น คนเราเติบโตมาจากพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกันจริง ๆ "มนุษย์" เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าศึกษาและค้นคว้า (หรือเปล่านะ) คืนวันพฤหัส ที่ Brisbane
10pm-ish นั่งอยู่ในห้อง อยู่ในโรงแรม ใจกลางเมืองของ Brisbane มองลงมาด่านล่าง เห็นเด็ก ๆ วัยรุ่นเดิน เล่น เที่ยวอย่างมีความสุข เห็นแล้วอิจฉาเด็กพวกนั้นจัง ดูท่าทางพวกเขา carefree ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่ต้อง worry แต่เราสิ ต้องนั่งทำงานอยู่ตรงหน้าต่าง มองลงมา วิวก็สวยดีอยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้มีเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศอะไรกับชาวบ้านเขาหรอก ต้องนั่งทำงาน นั่น นี่ โน่น ชีวิตคนเราเนี๊ยะ มันเป็นเช่นดั่งละครเลยจริง ๆ นะ ทำงานจากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่ง ดูจากภายนอกผิวเผิน ดูเหมือนจะมีความสุข ได้เดินทาง นั่น นี่ โน่น เดินทางแล้วไงเหรอ มันก็แค่เปลี่ยนสถานที่ทำงาน นั่งทำงานอยู่ในโรงแรมเหมือนเดิม อยากจะเป็นเหมือนกลุ่มเด็กวัยรุ่นข้างล่างจัง เดิน วิ่งเล่น ไม่มีอะไรต้อง worry ไม่มีภาระอะไร แอบเพ้อเสียงดัง แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อ ก็แค่บอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไรนะ ยังไงเสีย ชีวิตเราก็ยังดีกว่าอีกหลาย ๆ คน ชีวิตฉัน เป็นเช่นดั่งละคร เลยจริง ๆ กับธุรกิจการงานที่ทำ
เราต้องเจอกับคนหมู่มาก ทุกรูปแบบ มันก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ลูกค้าหลาย ๆ คนต้องทำงานหนัก ปากกัดตีนถีบ กว่าจะได้อะไรมาแต่ละอย่าง บางคนก็ต้องทำงานหนัก สะสมเงินทอง เพื่อที่จะเอาตังค์มาทำเรื่องวีซ่า ไม่ง่ายเลยนะกับชีวิตนี้ เราเจอะเจอผู้คนมาเยอะ เราพอจะสัมผัสได้ว่าคนไหนจริง คนไหน fake หากเรามองเขา ฟังเขาด้วยจิตที่เมตตา เปิดใจรับฟัง โลกนี้มันดูน่าอยู่ขั้นมาทันทีนะ ทุกสิ่งอย่างในชีวิต มันขึ้นอยู่ “จิต” มันขึ้นอยู่กับวิธีคิดเลยจริง ๆ นะ คนเรานี้ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าวเลยจริง ๆ นะ จิตที่เมตตา มันทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นมาทันที 4am club
5am club รู้สึกตัว 4:04am เอ่อ ตัวเลขไม่ค่อยสวยนะ นอนต่ออีกนิด ตื่นประมาณ 4:32am ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก 1 hr no screen after waking up. ไม่ใช่อุปกรณ์ electronic ทุกอย่างหลังจากตื่น 1 ชั่วโมง บรรยากาศเงีย ๆ สงบ ๆ นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ไม่ต้องแย่งที่นั่งกันกับลูกลิง ทุกเช้าสิ่งแรกที่ทำก็คือ ดื่มน้ำ 1 แก้ว hydrate ร่างกายเราเลยทันที ดื่มน้ำมะพร้าว 1 แก้ว มันเป็นความชอบส่วนตัว ดื่ม T2 greentea ชาเขียว จิบไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย ชาเขียวมี anti-oxidant ป้องกันอนุมูลอิสระ ลดอัตราความเสี่ยงของมะเร็งและอะไรหลาย ๆ อย่าง คนญี่ปุ่นจะดื่มชาเขียวกัน แข็งแรงกันทั้งประเทศ เสร็จแล้ว ก่อนเพราะอาทิตย์ขึ้น ก็ลากตัวเองออกไปวิ่งบ้างเล็กน้อย วิ่งไปที่ beach ชีวิตเราดีขนาดไหน อยู่ติดกับ beach หลาย ๆ คนอยากมีชีวิตติดกับทะเล ดังนั้นเราก็ต้องใช้เวลานี้ เวลาที่เรายังอยู่แถว ๆ นี้ ออกไปวิ่งบ้าง ออกไปออกกำลังกายบ้าง อะไรบ้าง เสร็จแล้วกลับเข้าบ้าน อาบน้ำ เริ่มทำอะไรบนหน้าจอได้ |
AuthorJohn Paopeng Archives
September 2024
Categories |