16-17-18 Jan 2019 เราอยู่ที่โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เพราะอยากจะพาครอบครัวไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ของเมืองไทยด้วย เพราะทุก ๆ 2 ปีที่เราพาลูกลิงและภรรยากลับไปเมืองไทย ลูกลิงบอกว่าทำไมเรากลับไปเยี่ยมแต่ครอบครัว อยู่แต่ที่เดิม ๆ กลับเมืองไทยคราวนี้ เขาขอไปเยี่ยมครอบครัวด้วย และขอเป็น "tourist" ด้วยจะได้มั้ย
กลับเมืองไทยคราวนี้ เราก็เลยต้องพากันตะลอนทัวร์นิดหนึง ไม่นานมาก เพราะยังไงเราก็ยังต้องทำงาน ไหน ๆ วันที่ 16 Jan 2019 เราก็ต้องไปที่วัดหนองป่าพง งานของหลวงปู่ชา เราก็เลยเกิดไอเดียแจ่มว่า งั้นก็ไปเที่ยวริมฝั่งแม่น้ำโขงก็แล้วกัน อยู่เมืองไทย มองเห็นฝั่งลาวด้วย เราก็เลยเลือกเอาที่โขงเจียม ลูกลิงเคยไปโขงเจียมแล้ว เคยข้ามไปฝั่งลาวเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นพวกเราขับรถกันไปแค่ข้ามไปกินข้าวเที่ยงกันที่ฝั่งลาว ที่ Pakse เฉย ๆ คราวก่อนพวกเราไปแบบไม่ได้ตั้งตัว เผอิญรู้จักกับคนที่ทำงานที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขาพาไปเราก็เลยไป ขับรถไปกินข้าวไกลมาก แล้วก็ขับรถกลับ คราวนี้ก็แค่อยากพาทุกคนมาพักผ่อน เอาหม่อมแม่มาด้วย เอาใจคนแก่นิดหนึง เราไม่รู้หรอกว่าโขงเจียมมีอะไรบ้าง คิดเอาง่าย ๆ ว่า เออ มีแม่น้ำโขง มองเห็นฝั่งประเทศลาว อาจจะพาลูกลิงข้ามไปฝั่งลาวสนุก ๆ กันอีกรอบ อะไรประมาณนี้ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยว เราก็ง่าย ๆ เลย เข้า Google ว่ามันมีอะไรน่าเที่ยวมั่ง เราก็ขับรถพากันไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีจุดหมาย ไม่มีการ plan มันก็สนุกดีนะ คือไม่ต้อง plan อะไรมาก ไม่ได้กำหนดว่าวันนี้ต้องไปที่ไหน หรือทำอะไร แค่ต้องการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว อยู่กับหม่อมแม่ด้วย ก็แค่นั้นเอง เรากลับเมืองไทย เราก็ยังต้องทำงานอยู่ เพราะที่เมืองไทยเรามี Chromebook ทิ้งเอาไว้ที่โน่นอยู่แล้ว ที่เหลือก็แค่ไปซื้อ SIM ของ TrueMove ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้วปล่อยเป็น hotspot เข้า Chromebook ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะงานที่ออสเตรเลียมันก็ต้องดำเนินต่อไป เราก็ยังทำงานติดต่อกับลูกค้า ประสานงานกันกับทีมงานกันทาง email, LINE, และ messenger ทุกอย่างที่เป็น technology เราก็ต้องนำเอามาประยุกต์ใช้ในการทำงานของเรา เนื่องด้วยเวลาที่แตกต่างกันระหว่างประเทศออสเตรเลียและประเทศไทย ช่วงอาทิตย์แรกร่างกายเราก็ยังปรับตัวอยู่ เวลาตื่น เวลานอนก็จะยังเป็นเวลาของประเทศออสเตรเลีย เช้าวันแรกที่โขงเจียม เราตื่นมานั่งทำงานประมาณตี 2; 2am ของเมืองไทย เพราะนั่นมันก็ 6am ของประเทศออสเตรเลีย มันเช้าแล้วสำหรับเรา เราก็ตื่นมานั่งทำงาน นั่น นี่ โน่น จนถึงเช้าตามที่เห็นในรูป แม่ตื่นเช้ามา แม่ก็ถามว่าเราตื่นกี่โมง ทำไมตื่นเช้าจัง ลูกต้องตื่นเช้าสิแม่ clear งานอะไรให้เสร็จ ๆ ไป เท่าที่ลูกจะทำได้ แล้วช่วงเวลากลางวันลูกจะได้พาคุณแม่และเด็ก ๆ ไปที่นั่น นี่ โน่น ไง ชีวิตการเป็นผู้นำครอบครัว มันไม่ได้ง่ายหรอกนะ endurance คือความอึด ถ้าไม่อึด ถ้าไม่ขยัน เราก็มาถึงจุดที่เราอยู่ไม่ได้หรอก เราจะมาเที่ยวหรือเปล่านั้น งานมันต้องเดินหน้าต่อไป มันต้องไม่สะดุด Telecommuting เหรอ เราทำมานานแล้วจ๊ะ ไม่เคยมีปัญหา แน่นอน 4G จากมือถือมันก็อาจจะไม่สู้ NBN ที่ office หรือที่บ้านที่ออสเตรเลีย แต่เราก็ต้องอยู่กับทุกสถานการณ์ให้ได้ ดังนั้นการตื่นตี 2, ตี 3 มานั่งทำงานให้เสร็จ นั้นถือว่าเป็นเรื่องปรกติของชีวิตเราตอนที่เรากลับไปเมืองไทย เพื่อที่หลังจาก 10am, 11am เราจะได้พาครอบครับไปเที่ยวเตร็ดเตร่กัน เด็ก ๆ จะได้สนุก คุณย่าก็จะได้เล่นกับหลาน แบบสื่อภาษากันไม่รู้เรื่องนี่แหละ ชีวิตเราไม่ได้สวยหรูจ๊ะ เงินทองไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้า (แต่ถ้าฉลาดลงทุน เราก็สามารถสร้าง passive income ได้) ดังนั้นเราก็ต้องทำงาน ซึ่งคุณแม่เข้าใจ ทุกคนในครอบครัวเข้าใจ เราไม่ต้องการ work-life balanced เพราะทุก ๆ วันมัน balanced อยู่แล้ว สมัยนี้ work & life มัน merge เข้าด้วยกันหมดแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว คำนิยามเดิม ๆ definition เดิม ๆ มันใช้ไม่ได้แล้วหละ ช่วงที่เราอยู่ที่เมืองไทย เราก็ต้องมีปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตด้วย เราไม่ได้อ่านหนังสือก่อนเข้านอน เพราะถึงเวลาก็ง่วงสุดขีด แต่ก็ยังเอาหนังสือไปนั่งอ่านตาม cafe เวลาเราขับรถเที่ยว ทุกคนวิ่งเล่น หรือดื่มอะไรเย็น ๆ แต่เรานั่งอ่านหนังสือจิบอะไรเย็น ๆ รอคนอื่นไปด้วย แบบนี้ก็ได้เหมือนกันจ๊ะ เราทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลาที่มี Chromebook และ Internet จ๊ะ ชีวิตเรา เราเลือกได้ ตื่นตี 2 ไม่เป็นไร ขอให้งานไม่สะดุด และทุกคนเที่ยวมีความสุข หมายเหตุ บรรยากาศที่ resort ก็ดีจริง อะไรจริง ติดริมแม่น้ำโขง นั่งตรงระเบียง นั่งทำงานก็มองเห็นแม่น้ำโขง มองเห็นฝั่งประเทศลาวด้วย ฝั่งตรงข้ามที่เห็นคือประเทศลาวนะครับ เช้า ๆ จะมีคนมาตกปลา เป็นบรรยากาศที่เงียบสงบจริง ๆ ห้องที่เราอยู่ เป็น resort บ้านเดี่ยว มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำในตัว คืนละ 4,500 บาท resort ชื่อ "พีรดา ริเวอร์วิว รีสอร์ท" อยู่ในตัวเมือง สะดวกสบาย ไม่ไกลจากตลาดนัด หาของกินง่าย 13 Jan 2019 เป็นปรากฏการใหม่ของเดินทางของเรา คือเราเดินทางแบบไม่มี laptop ไม่มี Chromebook ไปด้วย
เพราะช่วงปี 2017-2018 เรากลับเมืองไทยบ่อยอยู่แล้ว เราก็เลยทิ้ง Chromebook (laptop ของ Google) ไว้ที่เมืองไทยเครื่องหนึ่ง ดังนั้นเวลาเดินทางเราก็สบายหน่อย ไม่ต้องถือคอมพิวเตอร์ไปด้วยทึกครั้ง หนัก และที่แน่ ๆ คือ เราไม่ได้นั่งทำงาน check email ทำนั่น นี่ โน่น ที่สนามบินแล้ว ไหน ๆ มันก็เป็นการเริ่มปีใหม่ เราก็อยากจะเริ่มอะไรใหม่ ๆ อันนี้ไม่เกี่ยวกับ new year resolution นะ เพราะเราไม่มี new year resolution อยู่แล้ว เราก็แค่เลิกนิสัยการทำงานเวลาเดินทาง เลิกทำงานที่สนามบิน disconnect จากเรื่องงานซะบ้าง หาเศษเวลาในการอ่านหนังสือซะบ้าง ตอนที่เดินทางจาก Sydney ไปเมืองไทย เราไม่ได้ถือหนังสืออะไรไปด้วย ทีแรกก็กะว่าจะถือหนังสือขึ้นไปอ่านบนเครื่องด้วย แต่คิดไปคิดมา ขากลับเราก็ต้องกลับมาพร้อมกับหนังสืออีก ๆ หลายเล่มอยู่แล้ว เพราะเราก็สั่งหนังสือเอาไว้ online ก็ 5 เล่มแล้ว แล้วไหนที่ฝากพี่สาวไปเดินหาซื้อให้ด้วยบางส่วน คือเราจะกลับมาจากเมืองไทยพร้อมกับหนังสือหลาย ๆ เล่มจริง ๆ เราก็เลยไม่อยากที่หอบอะไรไปจากออสเตรเลียด้วย เราต้องการ travel light การเดินทางไปเมืองไทยครั้งนี้ เราก็ไม่เลยไม่ได้นั่งทำงานใน laptop เหมือนเช่นทุกครั้งแต่ผ่านมา แต่เปลี่ยนไปเป็นการนั่งฟัง audiobook จาก audible แทน สำหรับคนอื่นอาจจะดูเป็นเรื่องปรกติ แต่สำหรับแล้ว ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เราเดินทาง เราจะต้องมีอะไรทำใน laptop ประจำเลย ตามสไตล์เด็ก IT (ข้ออ้าง) 3-4 ปีที่ผ่านมา ข้ออ้างก็คืองานเยอะ เราต้องตอบ inbox ลูกค้า ต้องตอบ email ต้องตอบ LINE อะไรประมาณเนี๊ยะ เราชอบตอบ inbox, email & LINE ผ่านทาง laptop เพราะเราพิมพ์สัมผัสได้ มันก็เลยจะเร็วกว่าการตอบในมือถือ นั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่เวลาเราเดินทางไปไหนมาไหน เราต้องหอบ laptop (Chromebook) เราไปด้วย แต่วันที่ 13 Jan 2019 ที่ผ่านมา มันครั้งแรก ไม่รู้ในกี่รอบปีที่ผ่านมา มันเป็นครั้งแรกที่เราเดินทางแบบสบาย ๆ ไม่ต้องมานั่งคอยตอบคำถามลูกค้า หรือนั่งทำงานใน Chromebook เราก็แค่คิดว่า เออ ตอบช้าหน่อย ทำงานช้าหน่อยไปอีก 1 วัน มันคงไม่เป็นอะไรมั้ง ช้าไปหน่อย 1 วัน โลกคงยังไม่พังทะลายมั้ง อะไรประมาณเนี๊ยะ มันทำให้เรา enjoy the moment ได้มากขึ้น มันทำให้เรามีเวลา to smell the roses มากขึ้น ทำอะไรให้มันช้าลงไปหน่อย ก็คงไม่เป็นไรนะ ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง อะไรบ้าง ทุกอย่างเป็นไปได้ เราต้องขอบคุณทีมงานของเราที่อยู่เบื้องหลัง ขอบคุณตัวเองที่ train ทีมงาน ขอบคุณตัวเองที่มองเห็นว่า ทีมงาน มาก่อนลูกค้าเสมอ เราดูแลเขา แล้วทุกอย่างมันจะดูแลอะไรของมันเอง เป็นวัฏจักร เมื่อเราเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น ความคิดเราเปลี่ยน ปรัชญาในการทำงาน ปรัชญาในการดำเนินชีวิตเราเปลี่ยน ทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้มา มันสามารถนำเอามาประยุกติ์ได้จริง ๆ กับชีวิตประจำวัน กับชีวิตการทำงาน มันไม่ใช่แค่ความรู้ในหนังสือ หรือความรู้ในตำรา เราก็แค่แอบชื่นชมตัวเองกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราทำให้กับตัวเอง พักผ่อนบ้าง relax บ้าง อะไรบ้าง ไม่ใช่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง นี่ก็แค่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เราเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยน ทุกอย่างเริ่มได้ที่ตัวเรา เราเป็นนายของตัวเราเอง คิดแบบไหน ทำแบบไหน ได้แบบนั้น Pat myself on the back. Celebrate small wins (personal wins) along the way. ในวันที่เราบินกลับออสเตรเลีย เที่ยวบินของเราเป็นเที่ยวบินตอนเย็น
ดังนั้นตอนเช้า ๆ เราก็ยังมีเวลาไปทานข้าวเที่ยง ไปเดินหาซื้อหนังสือที่ร้าน SE-ED พอเดินเข้าไปก็เห็นหนังสือของพี่สาวตัวเอง "คณิต พิชิต ก.พ." วางอยู่บนชั้น ด้านหลัง counter ของพนักงาน เป็นอะไรที่โดดเด่น เราชอบ design ของหน้าปก มันเรียบง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับเล่มอื่น ๆ หนังสือ "คณิต พิชิต ก.พ." ของพี่สาวเราติด bestseller ไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วแหละ และก็มีการสั่งพิมพ์เป็นครั้งที่ 2 แล้ว เราดีใจด้วยนะเธอ เรารู้ว่าพี่สาวทำงานหนักมาก กว่าหนังสือเล่มนี้จะออกมาเป็นรูปเล่ม เขาต้องตื่นนอนตอนตี 3 เพื่อมาปั่นต้นฉบับ เพราะเวลาปรกติก็ต้องไปทำงานประจำ รับราชการ และยังต้องดูแล page อีก กว่าจะมีถึงวันนี้ได้ มันไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ นะ มันแลกมาด้วยการทำงานหนัก ตื่นนอนแต่เช้า เช้าจริง ๆ จ๊ะ she เคยมาค้างกับเราที่คอนโดของเราแล้ว ตอนที่เรากลับไปเมืองไทย ไอ้เราหระเหรอ ตื่นเช้า เพราะว่าตื่นตามเวลาของออสเตรเลีย แต่พี่สาวเราตื่นเช้าเพราะต้องมาเตรียมงานของ page ตัวเอง และก็เขียนหนังสือด้วย ครอบครัวเราทำงานหนักกันทุกคน เงินไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้า ไม่ง่ายที่หนังสือจะติด bestseller แต่เธอก็ทำได้ "เค๊า" ภูมิใจกับเธอด้วยจริง ๆ (จริงๆ แล้วเราเรียกพี่สาวว่า "ตัวเอง" และเรียกตัวเราเองว่า "เค๊า" แต่ก็กลัวคนอ่านงง) มันก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูลนะ พวกเรามาถึงจุดนี้กันได้ มันไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะ โปรดอย่าเห็นพวกเราเฉพาะตอนที่พวกเราอยู่บนที่สูง ให้เห็นตอนที่พวกเรากำลังปีนป่ายและลำบากด้วย เราคิดว่าเราตื่นตี 4 กว่า ๆ เช้าแล้วนะ มาเจอพี่สาวเราตื่นตี 3 เพื่อเขียนหนังสือ มันไม่ง่ายนะ แต่ผลงานมันก็ออกมาคุ้มค่าใช่มั้ยหละ เราดีใจด้วย เราดีใจด้วย ขอให้มีการพิมพ์ครั้งที่ 3 และครั้งต่อ ๆ ไปเร็ว ๆ และก็ให้มีเล่ม 2, 3, 4, 5, 6 และอื่น ๆ ตามมาด้วยนะ แต่พักผ่อนบ้างก็ดีนะเธอ แต่เอ๊ะ หรือว่าเธอกำลังสนุกกับงานที่ทำ ราเป็นคนไม่ชอบไปเดิน shopping
อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร เราคิดก่อนที่จะออกจากบ้านแล้ว ถ้าไปถึงห้างสรรพสินค้า เราจะเดินเข้าไปร้านไหน Bata กับ Taywin คือรองเท้าแค่ 2 ยี่ห้อที่เราใช้ เราจะไม่ไปเดินอะไรมั่วซั่ว เราไปอย่างมีเป้าหมาย เห็นคู่ไหนที่ชอบเราก็ซื้อ เพราะราคาของ Bata และ Taywin ไม่ได้แพงมาก มาเมืองไทยคราวนี้ เราไม่ได้ซื้อรองเท้าหนังแล้ว ถ้าเราลดการเบียดเบียนสัตว์ได้ ถึงแม้มันแค่จะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราก็คิดว่า ทุกอย่างเริ่มจากตัวเรา ทุกอย่างเริ่มที่เรา ถ้าทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน โลกนี้ก็จะน่าอยู่อีกเยอะ ผลิตภัณท์หนังสัตว์ทั้งหลาย เราก็พยายามหลีกเลี่ยง แต่ถ้าใครอยากใช้ ก็ไม่เป็นไร เราไม่ judge ใคร และใครก็ไม่จำเป็นต้องมา judge เรา This is me. ก็ฉันเป็นของฉันแบบนี้ :) คู่นี้ 999 บาทครับ ไม่แพง Bata Note: Bata เป็นบริษัทของ Malaysia นะครับ ไม่ใช่บริษัทของคนไทย อยู่ที่ออสเตรเลีย เราต้องซื้อน้ำมะพร้าว coconut water ประมาณกล่องละ $6 (1 litre)
เราไปเมืองไทย มะพร้าวสด ที่โรงแรมที่เกาะสมุย ลูกละ 50 บาท มะพร้าวสด ขายริมข้างทางที่เกาะสมุยเหมือนกัน ลูกละ 25 บาท มะพร้าวสด รูปข้างบน ที่บ้านเราเอง คุณอาซื้อมาจากตลาด ลูกละ 10 บาท คุณอาบอกว่าลูกละ 10 บาทเนี๊ยะ ถือว่าแพงนะ เพราะแกซื้อได้ลูกละ 8 บาทเอง จากคุณลุงที่เป็นเจ้าของสวนเลย เขาเอาส่งให้ถึงที่ เราก็คิดว่า มันเป็นไปได้เหรอ ลูกละ 8 บาท แต่มันก็เป็นไปได้จริง ๆ ครับ ตอนเช้า เรานั่งอยู่ที่หน้าร้านของเรา (ครอบครัวเราเป็นร้านขายของจ๊ะ) คุณลุงก็มาถามว่าวันนี้จะเอามะพร้าวหรือเปล่า คุณอาบอกว่าเอา เสร็จแล้วแกก็หายไปประมาณ 30 นาที คงไปเอาที่สวนของแก และก็แกยกมาทั้งพวงแบบนี้เลย ลูกละ 8 บาทจริง ๆ ครับ สดจากสวน คุณลุงใจดี ปลอกให้พวกเราอีกต่างหาก พวกเราได้ดื่มน้ำมะพร้าวกันสด ๆ และทานเนื้อมะพร้าวกันด้วย สด ๆ สินค้าตัวเดียวกัน ต่างสถานที่ ต่างราคา ราคาเปลี่ยน เราเป็นผู้บริโภค เราก็ต้องเลือกที่จะซื้อด้วย เลือกที่จะจ่ายด้วย สินค้าเหมือนกัน ราคาแตกต่างกันเพราะสถานที่ ก็แค่นั้นเอง ถ้าเราไม่ระวังในเรื่องการใช้จ่ายแล้ว เราก็ต้องจ่ายอะไรไปโดยที่ไม่จำเป็น ฉลาดซื้อ ฉลาดเลือกสถานที่ใช้จ่าย ชีวิตไม่อับจนแน่นอนครับ วันนี้ (26 Jan 2019) เรากับครอบครัวเดินทางกลับมาถึงออสเตรเลียแล้ว
อาทิตย์หน้าลูกลิงก็ต้องเปิดเทอมแล้ว ส่วนตัวเรา ชีวิตทำงานก็ต้องเดินหน้าต่อไป เราไม่ค่อย jetlag อยู่แล้ว เพราะเมื่อคืนก็นอนบนเครื่องมาตลอด ไม่ได้ดูหนัง ไม่ได้อ่านหนังสือ ถึงบ้านก็ตอบ inbox ลูกค้าต่าง ๆ ที่มันคั่งค้างมาจากเมื่อวาน เพราะเราเดินทางแบบไม่มี laptop laptop เราทิ้งเอาไว้ที่บ้านที่เมืองไทย ทุกวันนี้เลือกถือ laptop ขึ้นเครื่อง เลิกนั่งทำงานที่สนามบินแล้ว เราเลือกที่จะเปลี่ยนเวลาเหล่านั้นเป็นการอ่านหนังสือแทน เมื่อวานก่อนขึ้นเครื่อง ที่เมืองไทย ข้อความไหน คำถามของลูกค้าอันไหนก็เราพอจะตอบไปจากการพิมพ์ในมือถือ เราก็ตอบไปแล้ว แต่ถ้าอันไหนที่ต้องพิมพ์ผ่านคอมพิวเตอร์ เราก็รอมาทำต่อที่บ้าน วันนี้ก็เลยต้องเติมพลังด้วย Berocca ซะหน่อย เพิ่ม vitamin c กันสักนิด แล้วก็ลุยงานกันต่อ ชีวิตเราไม่ได้สบายอย่างที่หลาย ๆ คนคิด การเดินทางกลับเมืองไทยคราวนี้ เราไม่ได้แจ้งลูกค้าที่หน้า page ของ "J Migration Team" เพราะไม่ต้องการให้งานสะดุด ดังนั้นเราก็ยังต้องทำงานเหมือนเดิม เพิ่งลงจากเครื่อง ถึงบ้านก็ทำงานต่อได้เลย แล้วก็มีงีบช่วงบ่ายเล็กน้อย ก็แค่นั้นเอง ชีวิตการทำงาน มันเป็นอะไรที่ต้องดำเนินหน้ากันต่อไปจ๊ะ ต่อให้เพิ่งเดินทางเสร็จ หรือว่าอะไร ยังไงก็ตามแต่ งานเราจะต้องไม่สะดุด ชีวิตการทำงาน ที่มันต้องเดินหน้าต่อไป ชีวิตมันต้องอึดด้วย ฉลาด หรือเก่งอย่างเดียวไม่พอ เหรียญมีสองด้านเสมอ เราก็ขอเลือกมองเฉพาะด้านที่ดี ด้านบวกก็แล้วกัน เราก็คิดว่าเราก็ยังโชคดีกว่าอีกหลาย ๆ คน เพราะเรามีงานทำ เราได้ทำในสิ่งที่รัก และเราก็รักในสิ่งที่ทำ ทุก ๆ วันคือ holiday อยู่แล้ว และ holiday ทุก ๆ วันก็สามารถเป็นวันทำงานได้ ขอให้มี Internet เราทำงานได้ทุกที่อยู่แล้ว ชีวิตเราก็ไม่ได้สบายอะไรมากมายนะครับ กลับจากเมืองไทย เราก็ลุยงานต่อเลยทันที ไม่มีเวลาอิด ๆ ออด ๆ เพราะเรารู้หน้าที่ของเราดี ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ งานที่เราทำมันเปลี่ยนชีวิตคน และงานที่ทำมันก็เปลี่ยนชีวิตครอบครัวของเราด้วย เงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่เงินก็ซื้อความสะดวกสบายในชีวิตเราได้ :) ชีวิตคนเราบางที มันก็มีการจัดลำดับความสำคัญของทุกสิ่งอย่างที่เข้ามาในชีวิต
ไม่ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง หรือใครบางคนที่เราก็ต้องตัดออกไปจากวงโคจรของชีวิตเราบ้าง โดยเฉพาะช่วงปีใหม่นี่แหละ เป็นฤกษ์งามยามดี ใครเรายังพอนับถืออยู่บ้าง เราก็ make an effort เข้าไปทักทาย เข้าไปสวัสดีปีใหม่ อะไรก็ว่าไป และเราก็ใช้เวลาส่วนมากไปอยู่ที่วัด ไปอยู่กับกัลยาณมิตร ปีใหม่ปีนี้ บางคนเราก็เลิกที่จะเข้าไปสวัสดีปีใหม่ นั่น นี่ โน่น เพราะบางคนเราก็ไม่ได้มีอะไรต่อกันมากมาย "ก็แค่" เป็นเหมือนคนไทยรุ่นแรก ๆ ที่เรารู้จักเมื่อครั้งแรก ๆ ที่เรามาเรียนที่นี่ บางทีเราการที่เราเข้าไปหาเขาแทบจะทุกปี เหมือนเรามีใจให้ แต่เขาก็ไม่ได้อีนังขังขอบอะไรกับเรา บางทีชีวิตคนเรามันก็ต้องมีการ "จัดลำดับความสำคัญ" ของเขาคนนั้นใหม่ บางทีการที่เราเป็นเด็ก เราก็ทำตัวลำบาก แต่เราก็แอบเข้าข้างตัวเองว่า เขาเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เราเคารพเป็นพิเศษ งั้นก็ขอจัดลำดับความสำคัญของเขาใหม่ก็แล้วกัน เราจะได้เอาเวลาของเราไปใช้อยู่กับคนที่เขาคู่ควร เมื่อเราได้ "จัดลำดับความสำคัญ" ของเขาใหม่ เรารู้สึกเบา เรารู้สึกสบายใจ เราไม่หลอกตัวเองอีกต่อไป คนเราบางที มันก็ถึงจุดที่ต้องแยกย้าย ทางใครทางมัน เพื่อเราจะได้เอาเวลาของเราไปทำอะไรอย่างอื่น เมื่อคิดได้ และทำได้เช่นนั้นแล้ว เรารู้สึกเบา รู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่าขึ้นมาทันที บางทีเราก็แอบถามตัวเองว่า ทำไมไม่ตัดคนพวกนี้ออกไปจากชีวิตให้นานกว่านี้นะ เพราะคนบางคนเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเราเลยจริง ๆ เรานั่นแหละที่มัวคิดว่าเขาสำคัญ เราก็คิดว่าเป็นคนไทยด้วยกัน อยู่เมืองเดียวกันมานาน เราก็ให้ความเคารพหน่อยก็แล้วกัน อะไรประมาณเนี๊ยะ แต่พอ ๆ คิดไปแล้ว เรารู้สึกว่ามันเป็นการเสียเวลานะ สู้เราเอาเวลาของเราที่มีไปอยู่กับคนที่เขาเห็นคุณค่าของเราน่าจะดีกว่านะ เออ เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้ว มันก็รู้สึกเบา รู้สึกสบายจริง ๆ นะ เราก็แอบโง่อยู่ตั้งนาน ไม่เป็นไรนะ ชีวิตคือการเรียนรู้ เมื่อต้นปี (เพิ่งจะมีเวลามา post) เราก็ได้มีโอกาสนำขนม cake ไปสวัสดีปีใหม่ใครบางคน
เราทำทุก ๆ ปี กับผู้ใหญ่ ๆ ใน Wollongong ที่เราเคารพและรู้จักกันมานาน บางคนก็รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 1994 ตอนที่เรายังเป็นเด็กละอ่อน มาเรียนที่นี่ใหม่ ๆ เลย ปีนี้เราซื้อ cake มาสวัสดีปีใหม่แค่ 2 คน ไม่เหมือนปีที่แล้ว ไม่เหมือนปีที่ผ่าน ๆ มา เพราะบางคนเขาก็แยกย้ายไปอยู่เมืองอื่น ๆ (เราก็คงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเขา แต่ก็คงไม่ใช่เทศกาลปีใหม่แล้วหละ) พี่คนแรกก็เป็นคนไทยที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่ 1994 ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ เรามาที่ Wollongong พร้อม ๆ กัน พี่เขามาทำงาน เรามาเรียนหนังสือ อีกอันหนึ่งที่เห็นในรูป เราซื้อมาฝากพี่อีกคน คนนี้เขาเคยพนักงานของเรามาก่อน เมื่อปี 2003 ปี 2003 มันเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับเรามาก มันคือปีแรกที่เราเริ่มการทำธุรกิจ (Feb 2003) จากเด็กที่ไม่มีความรู้ในเรื่องการทำธุรกิจอะไรเลย เพราะหลังจากเรียนจบ (Computer Science, UOW) เราก็ทำงานเป็น computer programmer ใช่จ๊ะ เราเขียนโปรแกรม เราเป็นเด็ก nerd เด็กเรียนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเราก็ไม่เคยคิดที่จะทำธุรกิจอะไรเลย เพราะงาน IT เงินมันดีอยู่แล้ว แต่ชีวิตมันก็ผกผัน ออกมาทำธุรกิจ และก็ต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้ จาก Feb 2003 ถึงวันนี้ เราทำอะไรมาเยอะแยะมากมาย กว่าจะมาเป็น "J Migration Team" ที่คนไทยหลาย ๆ คนรู้จัก Long story short.... ปีนี้เราก็ได้โอกาสไปนั่งทานข้าวเที่ยงกับพี่คนนี้ เอา cake มาสวัสดีปีใหม่ เขาคือคนที่เป็นพนักงานให้กับเรา ตอนที่เราทำอะไรไม่เป็นเลย เราก็ได้เขากับสามีของเขานี่แหละที่คอยช่วยเหลือเรา ช่วยทำงานให้ เราก็เป็นเด็กคนหนึงที่แต่ก่อนก็ทำอะไรไม่เป็นเลย เคยทำงานแต่ใน office เป็นโปรแกรมเมอร์ เราเคยคุม team งาน แต่เป็น team งานโปรแกรมเมอร์ ทุกสิ่งอย่างมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้เราต่างคนต่างแยกย้าย แล้วไปเติบโตในสายงานต่าง ๆ ของตัวเอง ทุก ๆ ปีเราก็มีอะไรให้กับพี่คนนี้เสมอ ปีนี้เราก็ได้มีโอกาสทำอะไรเดิม ๆ ให้พี่เขาเช่นเดียวกัน เพราะอนาคตก็เป็นสิ่งไม่แน่นอน เราก็ไม่รู้ว่าใครจะย้ายไปจาก Wollongong ก่อนใคร กับใครสักคนที่เขาเคยช่วยเหลือเรามา ถึงแม้จะอยู่ในฐานะนายจ้างและลูกจ้าง เราก็มีมิตรไมตรีจิตให้พี่เขาเสมอมา เราไม่เคยลืมว่าเรามาถึงจุดนี้ได้เพราะใคร เพราะทุก ๆ คนคือฟันเฟืองของชีวิต เราไม่เป็นวัวลืมตีน ปีใหม่ปีนี้ บางคนเราก็เลิกที่จะเข้าไปสวัสดีปีใหม่ นั่น นี่ โน่น เพราะบางคนเราก็ไม่ได้มีอะไรต่อกันมากมาย "ก็แค่" เป็นเหมือนคนไทยรุ่นแรก ๆ ที่เรารู้จักเมื่อครั้งแรก ๆ ที่เรามาเรียนที่นี่ บางทีเราการที่เราเข้าไปหาเขาแทบจะทุกปี เหมือนเรามีใจให้ แต่เขาก็ไม่ได้อีนังขังขอบอะไรกับเรา บางทีชีวิตคนเรามันก็ต้องมีการ "จัดลำดับความสำคัญ" ของเขาคนนั้นใหม่ บางทีการที่เราเป็นเด็ก เราก็ทำตัวลำบาก แต่เราก็แอบเข้าข้างตัวเองว่า เขาเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เราเคารพเป็นพิเศษ งั้นก็ขอจัดลำดับความสำคัญของเขาใหม่ก็แล้วกัน เราจะได้เอาเวลาของเราไปใช้อยู่กับคนที่เขาคู่ควร เราเป็นคนคนไม่ชอบที่จะไปยึดติดกับอะไรมาก บางทีก็ดูเหมือนเย็นชา
ที่เราเลือกที่จะไม่ยึดติดกับอะไร เพราะการยึดติดคือทุกข์ มันไม่ใช่หนทางแหล่งการหลุดพ้น อีกอย่างเราก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ก่อนปีใหม่ โชคดีเราไหวตัวทัน เหมือนเช่นปีก่อน ๆ คือ เรา post ที่หน้า page และก็ Timeline ของ "J Migration Team" ว่าไม่ต้องส่งพวก video clip อะไรต่าง ๆ มา เพราะส่วนมากแล้วก็จะเป็นพวก forward กันมา เปลือง data, เปลือง bandwidth และเปลือง battery มือถือเฉย ๆ ดังนั้นปีใหม่ปีนี้จึงเป็นอีกหนึ่งปีที่สงบ ไม่เหมือน 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่มีคนส่งอะไรมาเยอะแยะมากมาย มันเยอะมากจนเรามีความรู้สึกว่าว่าเนี๊ยะ มัน intrude space ของเราละ จริง ๆ แล้วการที่เราได้มีโอกาสอยู่กับตัวเองนั้น ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ เราจึงเลือกเอาแบบนี้ดีกว่า รู้สึกว่าชีวิตมันสงบและมีความสุข |
AuthorJohn Paopeng Archives
April 2025
Categories |