เราบอกน้อง ๆ คนใกล้ตัว "inner-circle" ของเราเสมอ
"Connection" ไม่ต้องวิ่งหา ทำงานเยอะ ๆ มีเงินเยอะ ๆ เดี๋ยว "Connection" วิ่งมาหาเอง สำหรับเราแล้ว อะไร อย่างไรได้หมด เปิดใจเสมอ แต่ "เกลียด" พวก extremist ที่ต้องเอาคนคิดต่างไปแขวน ช่างน่าสมเพช สมองน่าจะมีแค่นี้จริง ๆ อะ... ไม่ว่ากัน ก็ต้องไม่เข้าใกล้!!! มีนิทานจะเล่าให้ฟัง
Once upon a time; around 2005/2006 เรากลับไปเรียนที่ UOW เรียนเพิ่ม ป.ตรีใบที่สอง อักษรศาสตร์ภาษาญี่ปุ่น ตอนนั้นเราเป็นเจ้าของธุรกิจหน้าร้านแล้ว (Feb 2003) มีร้าน 2 ร้านอยู่ติดกัน มีพนักงานมากพอในการทำ roster ที่ Wollongong พนักงานไม่เคยขาดนะครับ เพราะเด็ก UOW เยอะ เราจึงมีเวลากลับไปเรียนได้ ทีแรกก็แค่อยากจะหาอะไรทำขำ ๆ กะจะเรียนแค่เล่น ๆ แค่ 1 เทอม ก็น่าจะพอ ปรากฎว่าผลการเรียนออกมาดี เทอมแรกมี HD เราก็เลยไปต่อเรื่อย ๆ เรียนจนจบ จนได้ป.ตรีเพิ่มมาอีกใบ เรียนไม่จ่ายค่าเทอม ใช้ HECS ในการเรียน ตอนนั้นการเงินเราก็ไม่ได้คล่องมาก ขายของก็เป็นเงินหมุน ขายมาก็จ่ายออกไปค่าแรง ค่าเช่า เยอะมากครับในแต่ละ week ภรรยาเราเลี้ยงลูก เป็น full-time mum 1 รายได้ หากินกัน 4 ปาก 4 ท้อง ไม่ง่ายนะครับ กับการบริหารจัดการเงินที่ไม่เป็น เราทำงาน ไม่เอาค่าแรง เพราะคิดว่าเงินในร้านก็คือเงินเรานั่นแหละ กับรายจ่ายของร้านที่บางทีรายได้ก็ไม่ถึง ก็ต้องพึ่งบัตร credit รูดบัตร credit จ่ายค่าไฟของร้านเพื่อให้ร้านมีเงินหมุนทำธุรกิจไปต่อได้ เราทำมาหมดแล้ว พอถึงเวลาจะจ่าย บางทีมันก็จะมี promotion จากธนาคารต่าง ๆ ที่มีการโอนยอดค้างมาบัตรใหม่ แล้วไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 6 เดือน (0% interest) เราทำมาหมดแล้วครับ เหตุการณ์จำฝังใจ 1. เรียนเสร็จจาก class 2. เดินลงมาจากตึก นั่งอยู่ตรง bench หน้าตึกเรียนเลย คนก็เดินไปมาเยอะแยะมากมาย เราก็โทรหา NAB (National Australia Bank) เพื่อจัดการเรื่องบัตร credit เราจำไม่ได้เรื่องธุรกรรม มันนานมามากแล้ว แต่ภาพมันยังจำฝังใจ เด็กน้อยคนหนึ่ง บริหารจัดการชีวิตตัวเองในออสเตรเลีย ไม่มีใครช่วยเหลือนอกจากตัวเราเอง เราเดาเอาว่าตอนนั้นน่าจะโทรไปปิดบัตร credit ของ NAB เพราะว่าเรามีการทำ credit transfer ไปของธนาคารอื่นแล้ว อะไรสักอย่างนี่แหละ จำไม่ได้ credit card คือการใช้เงินของอนาคตนะครับ ซึ่งเราอาจจะหามาใช้คืนธนาคารไม่ทันก็อาจจะจะเป็นได้ ใครนะเป็นคนคิดค้น concept นี้คนแรกของโลก หากเราใช้ชีวิตแบบคนยุคก่อน ใช้หอยใช้เบี้ยในการแลกซื้อสินค้าเป็น barter trade ก็คงจะดีไม่น้อย ชีวิตเราทุกวันนี้ไม่มีบัตร credit มีแต่บัตร debit ใช้เท่าที่มี ไม่มีก็ไม่ใช้ ไม่ต้องสะสมแต้มไมล์สายการบิน อยากบินก็ซื้อตั๋ว ถ้าบินบ่อย ก็ได้แต้มเอง ก็แค่นั้นเลยจริง ๆ มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ หากใครที่มีปัญหาเรื่องการเงิน เราเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่เราไม่มีเงินให้ใครยืมนะครับ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ปัญหากันไป ทำงานที่ตอบโจทย์คนหมู่มาก ให้ความรู้กับคนหมู่มาก ให้แบบฟรี ๆ ไม่ต้องหวังผลอะไรตอบแทน เมื่อคุณเป็นผู้ให้ก่อน คุณจะกลายเป็นผู้รับเอง เมื่อเวลามาถึง อย่าจมอยู่กับปัญหาที่มี คิดวนเวียนมันไม่ช่วยอะไรได้ ออกมาจากวังวนและความคิดเดิม ๆ ออกมาจากห้อง 4 เหลี่ยมบ้าง เจอแสงแดดแสงอาทิตย์ ออกมานั่งดื่มชากาแฟข้างนอกบ้าง มองดูคนเดินไปมา rat race แล้วมันจะทำให้เรารู้ว่า "เออ คนที่แย่กว่าเราก็ยังมี เขาก็ยังไม่ตาย เขาก็ยังสู้และดิ้นรนกันต่อ" ที่เขียนมาทั้งหมด ก็แค่อยากจะบอกว่า: - เราเอง สมัยก่อนก็ชักหน้าไม่ถึงหลังเหมือนกันครับ พึ่งบัตร credit เหมือนกันครับ - ใครที่เจอปัญหาเรื่องการเงินอยู่อย่าท้อ ค่อย ๆ แก้กันไปทีละเปราะ Note: เพื่อความอรรถรส เรานั่งแล้วก็เขียนอะไรไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ proofread โปรดให้อภัย (วันนี้ต้องส่งงาน UTS!!!) ครบจบ RAMS Home Loan accounts ที่เรามี
เหลือ $0 กันหมดแล้ว; 20 March 2025 จากที่เราให้เวลาตัวเองถึงสิ้นเดือนหน้า; April 2025 แต่ตอนนี้เราทำได้แล้ว; 20 March 2025 เร็วกว่ากำหนด 1 เดือน 10 วัน ถ้าเอา redraw facility จาก RAMS Home Loan accounts มารวมกัน เราก็สามารถถอนอออกมาซื้อบ้านที่ Sydney ให้ลูกได้เลย ซื้อสด แต่เรากับภรรยาก็ไม่ทำหรอกครับ อันนี้ก็เก็บเอาไว้เพื่อความสบายใจ ฉุกเฉินอะไร พวกเราก็ถอนออกมาได้ ส่วนที่จะซื้อบ้านให้ลูก (ให้เราด้วยแหละ เวลาไป Sydney) พวกเราก็คงกู้ตามปรกติ แต่ก็อาจจจะไม่ต้องกู้มาก ไม่จำเป็นต้องกู้ 80% เมื่อ Home Loan accounts พวกนี้เหลือ $0 เราก็ใช้ชีวิตแบบชิล ๆ ได้ ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องรีบ ลูกคนโตก็เรียน year 4 UNSW แล้ว คนเล็กก็เรียน year 12 ปีสุดท้ายของ high school แล้ว จริง ๆ เราก็ชิลมานานแล้ว ถ้าไม่คิดจะซื้อบ้านให้ลูกที่ Sydney เราก็ไม่ฮึดขึ้นมารับงานเยอะแบบนี้แน่นอน ก็จะชิล ๆ ไป ลอยไปลอยมา เป็น "ผีตองเหลือง" กระเป๋า hand carry ใบเดียวใช้ชีวิตไปเรื่อย เรื่องซื้อบ้านที่ Sydney/เมืองใกล้เคียง ตอนนี้เราแค่รอ contract จาก developer เพราะว่าซื้อเป็น off-the-plan; 2-bed, 2-bath เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องการซื้อบ้านที่ Sydney/เมืองใกล้เคียง เราก็จะยังคงซื้อบ้านเพื่อการลงทุนตามปรกติของเราต่อไปครับ อันนี้เรากับภรรยาไม่ได้เครียดอยู่แล้ว เพราะเรามี buyer agent ที่ดูแลเราอยู่แล้ว ทำงานกับ buyer agent ค่อนข้างง่าย "ใช้เงินแก้ปัญหา" พวกเราก็ซื้อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไร เราเน้น positive cashflow income เราเน้น passive income ซึ่งตอนนี้ก็ OK แล้วมาสักระยะ บวกลบคูณหาร ก็ได้ positive cashflow income ทุก ๆ week เป็นที่น่าพอดี ใช้ชีวิตอยู่กับ spreadsheet นะครับ ทำการบ้านกันให้ดี ๆ เราซื้อ investment property ครั้งล่าสุดก็เมื่อ September 2024 ซื้อที่ SA หลังจากนั้นก็หยุดทุกสิ่งอย่าง เพื่อเตรียมตัวซื้อบ้านที่ Sydney ครอบครัวเราก็จะยังคงเดินหน้าลงทุนในอสังหาและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กันต่อไป: 1. ทุกอย่างใช้ระบบ Trust ดังนั้นทรัพย์สินทุกอย่างไม่ใช่ของเราคนเดียว มันคือทรัพย์สินของครอบครัวเรา 4 คน 2. เอกสารยาก วุ่นวาย ปวดหัว แต่เพื่อความสบายใจ มันเป็นการทำ asset protection ที่ดี เรายอมปวดหัวตอนทำเรื่อง ดีกว่าจะไปปวดหัวตอนหลัง 3. ทรัพย์สินที่เป็นชื่อเรามีแค่รถ และเงินในบัญชีส่วนตัว มีไม่ถึง $5K ใครจะมาฟ้องร้องอะไร แตะต้องทรัพย์สินของพวกเราที่อยู่ใน Trust ไม่ได้ เพื่อคุณมีลูก คุณจะเข้าใจ มันทำให้คุณ sleep at night ว่าเออเราได้ provide อะไรไว้ให้เขาแล้วนะ เขาไม่ต้องลำบากเหมือนเรากับภรรยา ไม่ต้องเริ่มจาก 0 Retire Young, Retire Rich ทำได้นะครับ จากสมองและสองมือที่มี เมื่อเรามีอิสระภาพทางการเงิน ชีวิตเราก็จะง่าย จริง ๆ เรา reached that point ตั้งแต่ 01 July 2020 แล้ว เรากับภรรยาแค่รอลูกสาวคนเล็กเรียนจบ high school ก็แค่นั้นเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นจากสมองและสองมือนะครับ เรากับภรรยาเริ่มทุกอย่างจาก 0 พวกเราไม่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องเงินจากครอบครัวทั้งที่ไทยหรือที่สิงคโปร์แต่อย่างใด ทุกอย่างต้องหากันเองหมด หนังสือแนะนำนะครับ: - Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki - The Richest Man in Babylon - 4-Hour Week ของ Tim Ferris บางทีก็มีความรู้สึก annoy และ irritaing ที่เราโดนเอาเปรียบ นั่น นี่ โน่น
เราอยู่ในสื่อ เราอยู่ในที่แจ้ง บางทีก็เป็นการง่ายกับการโดน take advancetage กับ expectation ของคนที่ email เข้ามาอยากใช้บริการ กับ expectation ที่ต้องการให้เราตอบ email แบบ endlessly ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่ commit บางทีเราก็อธิบายไปเกือบหมดแล้ว ข้อมูลที่ blog ก็มีให้ ข้อมูลที่หน้า page ก็มีให้ ทุก case ก่อนเสนอราคาไป เราได้ทำการ assess แล้วเรียบร้อยก่อนเสนอราคาไป ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เสนอราคาไป บางทีเราต้อง "ปัดตก" รู้สึกว่า "ศีลไม่เสมอ" รู้สึกเปลืองพลังงานที่ต้อง deal ด้วย เราจะ lost focus กับเรื่องพวกนี้หรือคนเหล่านี้ไม่ได้ มันดูดพลังมากเลย เรามีเป้าหมายของเรา เรามีภาพรวมของเราว่าที่ทำไปทุกวันนี้ทำไปเพื่อใคร และกำลังทำอะไรอยู่ เรายังมีบ้านที่ต้องซื้อให้ลูกชายที่ Sydney/เมืองใกล้เคียง เรายังมีครอบครัวที่เมืองไทย ที่เรายังต้อง support อยู่ เราจะไม่เสียเวลากับคนที่ "ไม่ใช่" มันยากนะที่บางทีก็ต้องสะบัดและเบน focus ไปที่อื่น บางทีเราก็คิดว่า เออคนเราก็มีทุกรูปแบบจริง ๆ เราพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว ก็ถือสะว่ามองอะไรกันคนละมุม ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เรา focus มาที่งานของเราดีกว่า focus มาที่คนที่ "ใช่" ดีกว่าจมอยู่กับคนที่ทำให้เรา annoy เมื่อวาน; ศุกร์เช้า 9:45am เรามีนัดคุยโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ Student Advisor จาก UTS
นี่แค่ O-Week เองนะ ยังไม่เปิดเรียน เปิดเรียนอาทิตย์หน้า week 1 เราคุยกันหลายเรื่องกับ Student Advisor ก็ประมาณว่า take accountability เพราะเทอมที่แล้วเราถอนไปตอน Week 1 เขาก็คงกลัวเราถอนอีก เพราะถ้าเราถอน UTS ก็ขาดรายได้ เราก็น่าจะได้ academic warning ด้วยหละมั๊ง ถ้าจะถอนบ่อยขนาดนั้น เราก็เลยจะมี appointment ทางโทรศัพท์กับ Student Advisor ทุก ๆ วันจันทร์ 10am - เขาบอกเราว่า นักเรียนหลาย ๆ คนอ่านและทำแบบฝึกหัดล่วงหน้าไปแล้วถึง Week 2 - ป๊าดดดด มันต้องขนาดนั้นเลยหรือ นี่แค่ O-Week เองนะ ยังไม่ Week 1 ด้วยซ้ำ - OK... เดี๋ยวตามไปติด ๆ เมื่อ make decision แล้ว ก็ต้องไปต่อ ทุกการเรียนรู้ "ดี" เสมอ อาทิตย์นี้เป็น O-Week ของ Term 2 ที่ UTS
เทอมที่แล้วเราพลาดมากที่ปล่อยปละละเลยจนต้องรีบถอนก่อนที่จะต้องจ่ายค่าเทอม เรียนเป็น Term ไม่เหมือนเรียนเป็น Semester เรียนเป็น Term ทุกอย่างจะอัด ๆ กันภายใน 6 weeks เรียนเป็น Semester มันก็จะชิล ๆ หน่อย 13 weeks; assignment ก็จะกระจาย ๆ กันออกไป นักเรียนเองก็ต้องปรับตัวใหม่ ระบบ Term, Intake, Trimester, Semester อะไรต่าง ๆ มันเปลี่ยนแปลงไปหมด Term 1 พลาดมาก login เข้าไปในระบบวันอาทิตย์ของ Week1 กะว่าจะดูว่ามีอะไรต้องทำบ้าง ปรากฎว่า: - Quiz กำหนดส่งไปแล้ววันศุกร์ของ Week1 แสดงว่าเราส่งไม่ทันแล้ว - Short anwer กำหนดส่งคืนวันอาทิตย์ คืนนั้น จริง ๆ ก็ทำทันนะครับภายใน 1 วันไม่ยาก แต่มันพลาดตรงที่ Quiz มันส่งไม่ทันแล้วเมื่อวันศุกร์ ก็เลยต้องรีบถอน ก่อนที่จะต้องจ่ายค่าเทอม ซึ่งก็ $3.9K ต่อวิชา จากสัจจริง ใครจะคิดว่ามี assignment หรือ quiz dues week1 ด้วย ตั้งตัวไม่ทัน แต่ Term นี้ Term2 ตั้งรับ พร้อมลุย 1. Graduate Diplomas ไม่ใช่ Diploma นะครับ มันคืออนุปริญญาโท หมายความว่าคุณต้องจบป.ตรีมาก่อน คุณถึงจะเรียนได้ อนุปริญญาไท สูงกว่าป.ตรี แต่ต่ำกว่าป.โท ก็เหมาะสำหรับคนที่เปลี่ยนสายเรียน ปูแนวทางก่อน ก่อนที่จะไปเรียนป.โท ถ้าคิดจะไปต่อ 2. Graduate Diplomas in Psychology เราเรียนเพราะอยากรู้ แค่อยากจะเข้าใจวิธีคิดและกลไกการคิดของคนของมนุษย์ ก็แค่นั้นเองจริง ๆ ไม่คิดจะเปลี่ยนอาชีพหรืออะไร ใด ๆ ทั้งสิ้น จริง ๆ คือพร้อม semi-retire และนี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งใน bucket list ที่เราอยากจะทำก็ได้ และภรรยาก็ OK กับสิ่งที่เราอยากจะเรียนอยากจะรู้ ปรกติภรรยาเราจะคัดค้านเรื่องการเรียนต่อ เพราะเสียเงินเสียเวลา และที่เรียนมาก็หลายใบแล้ว แต่สำหรับ Graduate Diplomas in Psychology นี้ ภรรยาเราไม่คัดค้าน เมื่อภรรยาไม่คัดค้าน เราก็ไปต่อได้อย่างสบายใจ 3. Graduate Diplomas in Psychology ที่ UTS เป็น 100% online ไม่มีการเข้าห้องเรียน มีแค่ Zoom session 2 ครั้งแต่เทอม ออกแนว tutorial กันมากกว่าว่าใครมีปัญหาอะไรตอนทำ assignment อะไรหรือเปล่า... etc..etc.. เราชอบการเรียน online นะครับ เหมาะกับคนทำงาน full-time แบบเรา แต่การที่เราได้เจอหน้าคนที่เขาเรียนด้วยกันกับเราจะดีมากเลย สักทุก ๆ 2 weeks อะไรประมาณนี้ แต่ก็น่าเสียดายที่มันไม่เป็นอะไรแบบนั้น 100% online ก็คือเรียนเอง อ่านเอง และ interacts กัน online กับโลกและสังคมปัจจุบันที่ใคร ๆ ก็สามารถสร้างชื่อเสียง สร้างตัวตนให้กับตัวเองจากโลก online ได้
Fame & Glam ถ้าเราโสด ก็สบายไป อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องสนใจคนอื่นมาก Fame & Glam ถ้าเราไม่โสด อย่าลืมถามหรือสังเกตคนข้างกายเราด้วยนะครับว่าเขา OK ไหม กับการประกาศแยกกันอยู่ของ online instagram star; ที่ผู้หญิงเป็นคนฟิลิปปินส์ชื่ออะไรไม่รู้ เราไม่ได้ติดตาม แล้วสามีเป็นออสซี่ และมีลูกยังเด็กอยู่เลย 2 คน ที่น่าสงสารก็คือลูกยังเล็กอยู่ Note: เราไม่ได้ติดตาม เพราะดูค่อนข้างไร้สาระ แต่ภรรยาเราติดตาม บางทีภรรยาเราก็เอามาโชว์นั่น นี่ โน่น เรามองดูว่าไม่มีแก่นสาร อันนี้เราเดาเอานะครับ ดู ๆ แล้วสามีเขาที่เป็นฝรั่ง ก็ไม่ได้ต้องการ spotlight คนที่ต้องการ spotlight ดู ๆ แล้วน่าจะเป็นภรรยาซึ่งพอมีเชื่อเสียง สิ่งที่ตามมาคือ plastic surgery และสินค้า brandname สิ่งของนอกกายล้วนแล้วฉาบฉวย ทุกอย่างล้วนแล้วไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดติดกับมันมาก เราก็จะเป็นทุกข์ เงินทองเอื้ออำนวยความสะดวกเราได้ แต่ทุกอย่างต้องตั้งมั่นอยู่ในความ "พอดี" Fame & Glam ถ้าเราไม่ manage มันให้ดี ๆ มันทำลายเราได้นะครับ ก่อนที่จะสนใจ noise ที่มาจากข้างนอกที่มันเป็นแค่ภาพลวงตาและฉาบฉวยมาก ๆ เราต้องสังเกตปฏิกิริยาของคนใกล้ตัวก่อนว่าเขา "OK" ใหมกับจุดที่เป็นและยืนอยู่ ถ้าคนข้างกายไม่ OK คือต้องหยุด ถ้าดันทุรังก็คือพัง บางคนเขาอาจจะต้องการชีวิตเงียบ ๆ เรียบง่าย สบาย ๆ ก็ได้ Fame & Glam นำมาซึ่งชื่อเสียงและเงินทอง แต่ต้อง manage ให้ดี ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างเดินทาง "สายกลาง" ดีเสมอ เอาแต่พองาม ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป "หยิน" กับ "หยาง" ต้องอยู่ด้วยกันได้ ทุกวันนี้ คนมายืมเงิน เราก็จะ refer ให้ไปคุยกับภรรยาเราเอง
ครบจบที่เดียว เราจะไม่หักหลังภรรยาเรา เราจะไม่หักหลังลูก ๆ เราทั้ง 2 คน อยากจะช่วยเหลือนะ แต่ส่วนมากไม่เป็นไปตามที่สัญญาจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่หน้าที่เราที่ต้องมาทวงเงินคน เราควรต้องเอาเวลาเหล่านั้นไปทำงาน หาเงิน วันอาทิตย์ 02 March 2025
1. ตื่นนอน 3am (อ่านไม่ผิดนะครับ) นั่งทำงานเงียบ ๆ ไปจนถึง 9am; ก็ประมาณ 6 ชั่วโมง submit application ไป 6 applications (6 applications เล็ก ๆ นะครับ ไม่ใช่ 6 cases เพราะบาง case ก็มีหลาย stage) เสร็จแล้วก็ hit the gym around 10am 2. ทุกเดือนเรามี target ตายตัวอยู่แล้วว่ายอดขายควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ เดือนนี้แค่วันที่ 2 และนี่ก็ weekend; เสาร์-อาทิตย์ ยอดของเดือนนี้ก็เกินครึ่งที่ตั้งเป้าไปแล้วครับ ทุกความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ มันผ่านการทำงานหนัก มีใครตื่นขึ้นมาทำงานตอน 3am บ้าง เราไม่ได้บ้างานนะครับ พอดีเมื่อวานระบบของอิมมิเกรชั่นมีการปิดบำรุง เราก็เลยเข้านอนตั้งแต่ 8pm ก็แค่นั้นเอง เดี๋ยว this week ไป infrared sauna ช่วงนี้ปั่นเงินเพื่อซื้อบ้านให้ลูกน้อย project สุดท้ายของเรากับภรรยาที่ประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่ลูกสาวเราจะจบ year 12 ก่อนที่เราและภรรยาจะออกโบยบิน ทุกอย่างมี target และ timeframe ไม่ใช่ target แบบเรื่อยเปื่อยไม่มีเวลากำหนด เมื่อมองไปไกล ๆ เห็น target ไกล ๆ มันทำให้เรามีพลังในการฮึดสู้ เงินทองไม่ได้หล่นลงมาจากฟากฟ้า เราไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ทุกอย่างเราสร้างเอง จากสมองและสองมือที่มี บวกกับความเพียร ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยัน... และ.... อดทน 5 อย่างนี้ ทุกอย่างต้องออกมาดี ...อะไร ใด ๆ เราไม่ยึดติดอยู่กับความสำเร็จเดิม ๆ เราพัฒนาและปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ น้ำครึ่งแก้ว... 02/03/2025 |
AuthorJohn Paopeng Archives
March 2025
Categories |