"Project ผีตองเหลือง"
Project ผีตองเหลืองที่เมืองไทยได้เริ่มขึ้นแล้ว อันนี้หลังแรก และกำลังทยอยทำหลังต่อ ๆ ไป เมื่อเรา plan จะกลับเมืองไทยบ่อย จะเป็น "ผีตองเหลือง" นอนบ้านนั้นที บ้านนี้ที ไม่เป็นหลักแหล่ง เราจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพราะเราใช้ไฟ ใช้แอร์แทบจะ 24hr จะให้เราประหยัด และเดินปิดไฟทุกหลอดเหมือนหม่อมแม่ เราทำไม่เป็น ลูกเป็นคนเปิด หม่อมแม่ก็จะเดินปิด หรรษามากครับ เราก็เลยจะทำเอาไว้ทุกหลังที่เราจะไปอยู่ ทีแรกเราซื้อที่เอาไว้ 2 ไร่ จ่ายสด 7 หลัก ว่าจะไปสร้างกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่ ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว เอาเงินมาปรับปรุงบ้านหลังต่าง ๆ แล้วอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ดีกว่า อบอุ่นกว่า เราก็คงต้องขายที่ผืนนั้น - เสื้อผ้าที่เมืองไทยมีแล้ว ไม่ต้องหอบไป - Chromebook มีพร้อมทุกที่ ลากกระเป๋า hand carry 1 ใบเล็ก ๆ พอ เราหนะพร้อมโบยบินแล้ว แล้วท่านหละ... พร้อมหรือยัง วันนี้ติด solar cell ที่บ้านหม่อมน้า
บ้านหลังแรกที่เราติดที่เมืองไทย เหลืออีก 2 หลัง กำลังทยอยทำ เมื่อเราทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ ทำงานเหมือนเป็นหนี้ (เราไม่มีหนี้สินอะไรนะครับ) ทำงานแบบ no สน no care comment อะไรแย่ ๆ ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราไม่มีเวลาใส่ใจ เอาเวลา เอา energy มาทำงาน แล้วเราก็จะมีเหลือ เผื่อแผ่ไปให้ครอบครัวที่เมืองไทย ทุกคนอยู่ดีกินดี เป็นต้นไม้ใหญ่ ให้นกกาได้อาศัย (แต่ไม่แบก หรือไม่ให้แบบไร้สาระ) ใครรักใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราเป็นสุขก็เป็นพอ ใช้ชีวิตในแบบที่เราเป็น Living a HAPPY life is a true revenge. ทำงานสุจริต เส้นทางการเงินตรวจสอบได้ ไม่เอาเปรียบใคร เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ทุกอย่างสร้างเองจากสมองและสองมือที่มี 24/10/2024 เราไม่แน่ใจว่าพระอาจารย์ที่มาจำพรรษาที่วัดป่าที่ Wilton ชื่อว่าอะไร ไม่ "เอก" ก็ "เอ็กซ์" นี่แหละ
เราก็เลยขอใช้คำสรรพนามแทนท่าว่า "พระอาจารย์" ก็แล้วกัน เราไปที่วัดป่าที่ Wilton บ่อย เราก็ได้มีโอกาสสนนาธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ กับพระอาจารย์บ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นแบบ small talk มากกว่า มีอยู่วันหนึ่งที่วัดน่าจะมีงานอะไรสักอย่าง แล้วญาติโยมมาเยอะ ท่านก็เลยสนทนาธรรมนานหน่อยในห้องโถง พระอาจารย์เล่าถึงเรื่องราวการมาบวชเป็นพระของพระอาจารย์ เราก็เดาเอาว่าน่าจะเป็นวัดหนองป่าพง เพราะปัจจุบันพระอาจารย์ก็ประจำอยู่ที่นั่น เราก็เดาเอาว่าพระอาจารย์น่าจะเป็นมาจากเมืองหลวง เรียนจบป.ตรีแล้วมาบวช และก็อยู่ยาวยังไม่สึก พระอาจารย์เล่าว่า: 1. ที่บ้านพระอาจารย์ คุณแม่จะตื่นตอนเช้าสวดมนต์ทุกวัน ลูก ๆ เดินผ่านห้องสวดมนต์คุณแม่ทุกเช้า ก็ซึมซับอะไรเข้าไปบ้าง 2. พระอาจารย์คิดว่า รอให้เรียนจบ แล้วค่อยไปบวช พอบวชเสร็จค่อยเริ่มหางานทำ ไม่อยากทำงานก่อนแล้วลางานไปบวช แบบนั้นจะมีความกระวนกระวายใจเรื่องงาน 3. พระอาจารย์เลือกบวชที่ภาคอีสาน เดาเอาว่าคงเป็นวัดหนองป่าพง 4. สิ่งที่อาจารย์พบเห็นคือ - คนแก่ ชาวบ้าน บางทีไม่มีอะไรมาใส่บาตร มีกล้วยแก่ ๆ สุกงอมอยู่ไม่กี่ลูก เขาก็แบ่งเอามาใส่บาตร คนแก่ชาวบ้านต่อให้เขาไม่มีจะกิน อะไรที่เขามี เขาจะแบ่งให้พระก่อน ให้พระได้ฉัน แล้วพวกเขาก็ค่อยพากันออกไปทำไร่ไถนา - ช่วงที่ฝนตก พระอาจารย์ออกบิณฑบาตร มีคนถือร่มกันฝนให้ แต่ญาติโยมแก่ ๆ ที่มาตักบาตร ที่ภาคอีสาน ญาติโยมถอดรองเท้า คุกเข่าลงนั่ง ฝนตกก็นั่งตากฝน (ชาวบ้านไม่ได้มีเงินมาก) บางคนคนแก่ ๆ มีรอบบาดแผลที่ข้อเท้า พวกเขาก็ค่อย ๆ ขยับตัวเข้าใกล้พระ เพื่อเอื้อมมือให้ถึงบาตร เพราะอาจารย์เห็นแบบนั้น ก็ถึงกับร้องไห้ น้ำตาไหล เอาสบงปาดน้ำตาเดินกลับวัด พระอาจารย์ก็เกิดคำถามต่าง ๆ นานาขึ้นในใจว่า "แล้วเราเป็นใครเนี่ย มาเดินถือร่มกันฝน" และอีกหลาย ๆ คำถามต่าง ๆ นานาเกิดขึ้นในใจ นั่นเป็นครั้งแรกที่พระอาจารย์ไปภาคอีสาน จนถึงทุกวันนี้พระอาจารย์ก็ยังเลือกที่จะที่ภาคอีสาน ไม่หนีไปไหน และยังคงปฏิบัติธรรม เพื่อค้นหาคำตอบของอาจารย์ สิ่งที่พระอาจารย์พูดมาทั้งหมดไม่เกินจริง คนที่เคยเข้าไปสัมผัสกับวิถีชาวบ้านถึงจะรู้ ผู้รู้ได้ก็รู้ได้เฉพาะตน ตัวเราเองสัมผัสมาแล้ว เดินน้ำตาเอ่อ ปริ่ม ๆ กลับวัดมีอยู่จริง Note: วิถีชาวบ้าน ไม่มีหรอกตักบาตรไปด้วยถ่ายรูปพระ อัด video ทำ content ไปด้วย วิถีชาวบ้านเรียบง่ายมาก แล้วเราคงได้เจอกันอีก ตอนนี้รอแค่เวลา กับความรับผิดชอบ หน้าที่และการงาน
การดำเนินชีวิตทุกสิ่งอย่างก็ไม่ง่าย อาทิตย์ที่ผ่านมาเรามาทำงานที่ Melbourne - เราต้องบินวันอาทิตย์ เพราะวันอาทิตย์บ่ายเราถูกเชิญมาเป็น guest speaker; Q&A เรื่องวีซ่าออสเตรเลีย - เสร็จแล้วตามด้วยงาน face-to-face consultation; จันทร์ - อังคาร - พุธ - พอดีเป็นช่วงที่ลูกสาวเรา school holiday ที่ NSW พอดี และลูกลิงทั้ง 2 ไป holiday ครั้งล่าสุดที่ Melbourne ก็ April 2018 นานมาแล้ว (Melbourne + Mansfield) - ก่อนหน้านั้น ลูกลิงมา Melbourne หลายครั้งแล้วหละ แต่ตอนนั้นเด็กมาก อาจจะจำอะไรไม่ได้มาก; Great Ocean Road + Ballarat ไปแล้ว, Australian Open (Tennis) มาแล้ว - ครั้งล่าสุดที่มา ในเวอร์ชั่นที่โตแล้ว ก็น่าจะ April 2018 ซึ่งก็นานมาแล้ว 6 ปี เราก็ชวนทุกคนให้มาเที่ยว Melbourne ด้วยกัน ด้วยที่ daddy ก็ต้องทำงาน ลูกลิงตัวเล็ก ปิดเทอมก็จริง แต่เขาอยากจะ hang around กับเพื่อนเขาที่ Wollongong มากกว่า (อิหยังวะ) ส่วนลูกลิงตัวโต ก็กลับบ้านแค่ ศุกร์ - จันทร์ ปรกติเขาเรียนถึง 4pm วันศุกร์ก็จะนั่งรถไฟกลับบ้าน (เดี๋ยวคงได้ขับรถของตัวเองแล้ว) ดังนั้นการเดินทางของพวกเราก็จะเป็นต่างคนต่างบิน itinerary จึงเป็นแบบนี้: 1. Daddy บินก่อน วันอาทิตย์เช้า เพราะ 3:30pm ก็มีงาน guest speaker 2. Mummy + ลูกลิงตัวเล็ก ก็บินวันพุธเย็น เพราะ daddy ทำงานเสร็จแล้ววันพุธเย็น เวลาที่เหลือที่อยู่ด้วยกันที่ Melbourne ก็จะเป็นเวลาของครอบครัว 3. ลูกลิงตัวโต เรียนเสร็จ 4pm วันศุกร์ ก็บินตามมาสมทบวันศุกร์เย็น คนนี้เขา OK แล้ว บินแบบนี้บ่อย โดยเฉพาะบินไปสมทบครอบครัวเวลาลูกลิงตัวเล็กมีเรียน ballet ที่ Brisbane เขาจึง OK กับการเดินทางคนเดียว เรียนเสร็จที่ UNSW ก็ไปที่สนามบินเลย อะไรประมาณนี้ 4. ทุกคนบินกลับวันอาทิตย์ เวลาไล่เลี่ยกัน จอง flight เดียวกันไม่ได้ เพราะที่นั่งค่อนข้างจำกัด แต่ก็ได้นั่งอยู่ที่ lounge ด้วยกัน เวลาบินก็ห่างกันแค่ 15 นาที ไม่เป็นไร โชคดี Qantas มีบินบ่อย ปรกติก็ทุก ๆ 30 นาที เที่ยวบินเขาค่อนข้างเยอะ เกิดเป็น "ครอบครัว J" ไม่ง่าย ทุกคนต้องจัดการชีวิตของตัวเอง ต้อง independent so far so good, ครอบครัวชอบ this kind of arragement คือทุกคนมีอิสระในการบริหารและจัดการชีวิตของใครมัน รู้แค่ว่า destination อยู่ที่ไหน เอาตัวเป็น ๆ ไปอยู่ที่นั่น วันนั้น เวลานั้น เดินทางใครมัน ไม่ต้องเดินทางพร้อมกัน ชีวิตมันง่ายมากขึ้นเลยครับ ไม่จุกจิก แล้วยิ่งมีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นด้วยนะ เขาก็ชอบทำอะไรด้วยตัวของเขาเอง ตัวไม่ต้องติดกันตลอดเวลา สำหรับเราแล้ว มันดีมากเลย ขอบคุณทุกคนในครอบครัวที่เข้าใจ ภรรยาเรารู้ว่าเราทำงานหนัก เราทำเพื่อใคร ลูก ๆ ทั้ง 2 คนรู้ว่าที่เราทำงานหนัก เราทำเพื่อใคร เราก็ทำเพื่อเขาทั้ง 2 นั่นแหละ เราปูทางเอาไว้ให้หมดแล้ว ชีวิตพวกเขาจะได้ไม่ต้องลำบาก เกิดเป็น "ครอบครัว J" ต้องอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตาย วันนี้รับรถ EV
จ่ายสด คนที่กระดี๊กระด๊าก็น่าจะเป็นลูกชายที่เรียนอยู่ที่ UNSW เพราะเขาก็จะเอารถ daddy ไปใช้ในเมืองแล้ว ทุกวันนี้เขากลับบ้านมาเสาร์-อาทิตย์ ก็จะถามเราตลอดเลยว่าเราจะใช้รถไหม ถ้าไม่ใช้เขาก็เอาไปใช้ ไปโน่นไปนี่อะไรของเขา วัยรุ่นธุระเยอะมาก ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เราก็หลับตาแล้วนึถถึงภาพเราตอนอายุเท่าเขา ว่าตอนนั้นเรากำลังทำอะไรอยู่ ตอนที่เราอายุเท่ากับเขา เราก็เป็นเหมือนเขาแหละ งั้น OK เลย daddy เข้าใจ เราก็เลยจะยกรถของเราให้เขาไปเลย เพิ่งซื้อมา 4 ปี; Hybrid เรารักษาดีมาก ยังไม่มีรอย ยังไม่มี tattoo ลูกลิงจะเอาไปขับแล้ว โอ๊ยยยย ไม่อยากนึก daddy ก็ได้แต่บอกให้ขับอยู่แถว ๆ มหาลัย แถว ๆ Randwick พยายามอย่าขับเข้า CBD แถวนั้นคนหัวร้อนเยอะ แต่นั่นแหละ เราก็คงบอกได้เท่าที่บอก ตอนนี้เขาเป็นหนุ่มแล้ว เราปล่อยอิสระตั้งแต่จบ year 12 เราก็ได้แต่ดูเขาตาปริบ ๆ ดูเขาเติบโต Note: เราเลือกที่จะไม่ซื้อรถมือ 2 ถูก ๆ ให้ลูกเพราะไม่อยากให้รถเสียกลางทาง เอารถ daddy ไปใช้นี่แหละ เพื่อความสบายใจ เปลี่ยนเป็นชื่อเขา เขาต่อ rego เอง ความรักเราไม่เท่ากัน #ฉันรักเขา 07/10/2024 Note: เลื่อนจากวันที่ 07 เป็นวันที่ 09 October 2024 เพราะพนักงานขาย's day off ไม่มีเวลากับเรื่อง "ไร้สาระ"
They don't pay my bills. เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่สำคัญกับชีวิต - ทำงาน หยอดกระปุก - เรียนหนังสือ ปริญญาใบที่ 7 (จะรอดไหม แต่เรียนช้า ๆ 3 ปี) - ดูแลครอบครัว ทั้งที่นี่และที่เมืองไทย - กำลังทำ project สุดท้ายให้กับครอบครัวที่เมืองไทย ก่อนที่เราโบยบิน หลังจาก project นี้เราก็หมดห่วงครอบครัวที่เมืองไทยแล้ว ที่เหลือก็คงจะพาคนแก่เที่ยว ตอนที่เขายังสามารถเดินทางได้อยู่ - ที่ประเทศออสเตรเลีย เหลืออีก 1 project สุดท้าย คือซื้อ 2-bedroom apartment แถว ๆ Sydney เอาไว้ให้กับลูกลิง 2 ตัว เราก็จะนอนตายตาหลับแล้ว ก่อนที่เราจะโบยบิน ไปใช้ชีวิตของเรา แต่ project นี้ต้องหยอดกระปุกเยอะอยู่ แต่คิดว่าเอาอยู่ หลังจากนี้เรา 2 คนกับภรรยาก็น่าจะเป็น "ผีตองเหลือง" ได้อย่างเต็มตัวแล้ว ทำงาน remotely ค่ำไหนนอนนั่น - September 2024 ยอดขายถึงเป้าตั้งแต่ 2 อาทิตย์แรก - 06 October 2024 ยอดขายได้ 50% ของเป้าที่วางเอาไว้ของแต่ละเดือนแล้ว ทำงานหนัก ตื่นก่อนนอนทีหลัง ทุกอย่างต้องออกมาดี 06/10/2024 ธุรกิจหน้าร้าน; Feb 2023
เราทำมาหมดแล้วครับ วิ่งเข้าออกธนาคาร เอาเงินเข้า เขียน cheque ให้ suppliers ต่าง ๆ นานา ทำงาน 7 วัน ไม่มีค่าแรง ตอนนั้นเราเด็กมาก ความรู้ในการทำธุรกิจคือ 0 จาก programmer เงินเดือนอู้ฟู่ สู่เจ้าของธุรกิจไส้แห้ง ทำอยู่ 11 ปี มีเงินในบัญชีไม่ถึง $10K จน accountant บอกว่ามันคือการเสียโอกาส ที่ปล่อยวันเวลาไปแบบนี้เรื่อย ๆ แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจ มันก็ทำให้เรามีเวลากลับไปเรียน เอาวุฒิการศึกษานั้น ๆ มาต่อยอดชีวิต - ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ - มาเป็น J Migration Team ทุกวันนี้ สมัยก่อนไม่มี social media แบบนี้ ไม่มีที่ให้เรียนรู้ รู้แค่ว่าอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ รู้แค่ว่าอยากเจริญรอยตาม @Robert Kiyosaki รู้แค่ว่าหนังสือที่อ่านแล้วใช่คือหนังสือ "Retire Young, Retire Rich" ของ Robert Kiyosaki เงินหมุน ต่างจากเงินเก็บ หรือกำไรนะครับ โปรดแยกกันให้ออก จะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีก ลงถัง recycle ไปสะ... ...ย้ายบ้าน ก็จะเจอความหลังต่าง ๆ นานา... บ้านหรือ apartment ที่เรากับภรรยาซื้อร่วมกันที่ Singpore คือบ้านหลังแรกของพวกเรา
บ้านหลักแรกในชีวิตที่เป็นชื่อเรา บ้านหลักแรกในชีวิต ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย ไม่ได้อยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย แต่อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ จากการไล่ดูเอกสารอะไรต่าง ๆ ซึ่งเราก็ไม่ค่อยได้เก็บเอาไว้เลย.. oops!!! บ้านหลังนี้ซื้อมาตอน 2011 สำหรับเราแล้ว ตอนปี 2011 ภรรยาเรายังเป็น full-time mum เราหารายได้คนเดียว เลี้ยงกัน 4 ปาก มันยากมากเลยครับกับบ้านหลังแรก แต่พวกเราก็เทกันหมดหน้าตัก พวกเราใช้เงิน CPF (Central Provident Fund) ในการซื้อ เงิน CPF ก็เหมือนกับเงิน Superannuation ของประเทศออสเตรเลีย เดชะบุญ พวกเรากู้ได้ 2.99% กู้ 30 ปี ผ่อนอยู่ที่เดือนละ $880 SGD ตอนนั้น Apartment 2 ห้องนอน พวกเราก็ปล่อยเช่าตอนนั้นเดือนละ $2,500 SGD $2,500 - $880 SGD = $1,620 SGD ต่อเดือน หักนั่น นี่ โน่น แล้ว ยังไงก็ได้กำไร การปล่อยบ้านให้เช่าที่สิงคโปร์ ก็ง่ายครับ มี property management agent เหมือนประเทศออสเตรเลีย เราก็ปล่อยทุกอย่างให้ property management agent เป็นคนดูแล ซึ่งเราก็คือเพื่อนสนิทเราเอง ก็เลยง่ายไป บ้านหรือ apartment หลังแรกในชีวิตที่ประเทศสิงคโปร์ ทุก ๆ สิ้นปี เรากับภรรยาจะกลับสิงคโปร์ แล้วก็เอาเงินไปโปะ ตอนนั้นเหนื่อยมาก บอกเลย ต้องคอยดูอัตราการแลกเปลี่ยนเงินออสเตรเลีย-สิงคโปร์ตลอดเวลาเลย และเรากับภรรยาก็ผ่อนกันเอง ทำอะไรกันเอง ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากใคร เราก็น่าจะผ่อนอยู่ 5-6 ปี ถ้าจำไม่ผิด เราก็ผ่อนหมด เพราะ November 2017 เราซื้อบ้านหลังแรกที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว ก็แสดงว่าบ้านที่สิงคโปร์ผ่อนหมดก่อน November 2017 แล้ว บ้านที่สิงคโปร์ เราปล่อยให้ภรรยาเราจัดการ เพราะเขาก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่น ทำอะไรก็ง่าย ตอนนั้นเราก็มีหน้าที่แค่หาเงิน แล้วรีบ ๆ โปะให้เสร็จ พอโปะหมด พอไม่เป็นหนี้มันก็โล่งครับ หลังจากนั้นเรากับภรรยาก็ตั้งหน้าตั้งตาซื้อและลงทุนในอสังหาที่ออสเตรเลียกัน หลังแรกก็ 14 November 2017 (ผ่อนหมด March 2018) ที่ NSW เราไม่มีหนี้แม้แต่หลังเดียว บ้านที่สิงคโปร์ เราไม่ปล่อยให้คนเช่าแล้ว ปล่อยว่างทิ้งเอาไว้ เพราะเรากับภรรยาก็คงจะเริ่มกลับไปใช้ชีวิตที่สิงคโปร์และเมืองไทยมากขึ้น ตอนนี้ก็ให้คุณแม่ภรรยามานอนที่นี่ทุก ๆ วันอาทิตย์ apartment ในตึกเดียวกันกับเรา ตอนนี้ก็ปล่อยเช่าที่ประมาณ $4,500 GSD ต่อเดือน เพราะ location ค่อนข้าง OK ไม่ไกลจากตัวเมืองมาก แต่ก็นั่นแหละ พวกเราจะเก็บเอาไว้อยู่เองเวลากลับสิงคโปร์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปพักบ้านน้องสาวหรือว่าอะไร ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ลูกลิงคนโตก็ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ เขาที่สิงคโปร์ ก็ไปพักที่บ้านเรา เด็ก ๆ ก็ประหยัดค่าโรงแรมไป เพื่อนลูกลิงบางคนก็ไปเที่ยวสิงคโปร์คนเดียว ก็ไปพักที่นี่มาแล้ว เด็ก ๆ Uni ยิ่ง budget กันอยู่แล้ว พอไปสิงคโปร์แล้วไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก พวกเขาก็เที่ยวสนุกกันมากขึ้น เมื่อลูกลิงตัวเล็กจบ high school ปีหน้า เรากับภรรายาก็คงจะได้กลับมาใช้บ้านหลังนี้บ่อยมากขึ้น ความชอบของเราไม่เท่ากัน ไม่มีถูกไม่มีผิด มันแล้วแต่ช่วงวัยของชีวิต เราทำงานหนักมามากพอแล้ว ช่วงนี้คือช่วง harvest Plant, Grow, Harvest ที่เขียนมาทั้งหมด ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากเขียนเอาไว้เป็นความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิต ทุกอย่างสร้างเองได้ จากสมองและสองมือที่มี จบแล้วหนาวนี้ เหลืออีก 1 หนาว
เราก็จะหมดภาระที่ Australia แล้วครับ ลูกสาวก็จะเรียนจบ high school แล้ว เรากับภรรยาก็จะหวนคืนสู่บ้านนา; Singapore & Thailand แล้ว อีกแค่หนึ่งหนาวนะ อดทนนะ อีกไม่นาน บ้านที่ออสเตรเลียก็จะเป็น forever home ส่วนสิงคโปร์กับเมืองไทย ก็จะเป็นแบบกระเป๋า hand cary 1 ใบ บินไปมา ช่วงนี้เราทำการเก็บกวาดโต๊ะทำงานนิดหน่อย ย้ายบ้าน
หลายสิ่งอย่างก็เป็นอีกหนึ่งความทรงจำของชีวิต นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ ณ เวลาในช่วงหนึ่งของชีวิตที่เราอยากจะทำ คือการเรียนต่อปริญญาเพิ่มอีกสักใบ เป็นใบที่ 7 อันนี้ก็เป็น PhD application ของ UOW กลับไปเรียนคณะเดิม มหาวิทยาลัยเดิม; Computer Science เลือก topic ที่อยากจะทำแล้ว; Cyber Warfare เลือก professor แล้วคร่าว ๆ แต่ก็เขียน proposal ไปได้แค่ประมาณ 250 words เราก็ save เอาไว้ ไม่ได้เขียน proposal ต่อ ช่วงปี 2020 เราเลือกที่จะทำงานต่อ เพราะถ้าเรียน PhD ไปด้วย เราอาจจะจัดสรรค์เวลาลำบาก เพราะช่วง 2020 เป็นช่วงที่ธุรกิจของเราค่อนข้าง peak ช่วง 2020 (01 July 2020) การเงินเรา OK แล้ว รายได้มากกว่ารายจ่าย และ passive income ที่ invest เอาไว้ก็ค่อนข้าง OK ตอนนั้นก็เลยคิดอยากจะเรียน แต่เราก็ตัดสินใจที่จะทำงานต่อ ไม่ได้กลับไปเขียน PhD proposal ไม่ได้ submit เราก็เลือกทำงานของเราต่อมาจนถึงปัจจุบัน หลายปากท้องยังคงต้องอยู่ต้องกิน เมื่อเป็นต้นไม้ใหญ่ นกกาก็ได้อาศัย ที่เลยยังคงทำงานเรื่อยมาจาก 01 July 2020 จนถึงปัจจุบัน หน้าที่มาก่อนสิทธิ ส่วนเรื่องที่จะกลับสานต่อในส่วนของ PhD นั้น ก็คงปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะแต่ละช่วงแต่ละวัยของชีวิต ความสุขในชีวิตของคนเราก็แตกต่างกันออกไป ตอนนี้เราก็ยังมีความสุขและสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ ก็จะยังคงทำต่อไป ชีวิตทุกวันนี้ "คุ้ม" แล้ว เล่าสู่กันฟัง Note: เราจบ ป.ตรี Computer Science (UOW) และ ป.โท IT Security; Digital Forensics (CSU) และเลยกะจะต่อ PhD Computer Science; Cyber Warfare 04/08/2024 |
AuthorJohn Paopeng Archives
October 2024
Categories |