ทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกันนะครับ
ไม่มีถูก ไม่มีผิด ตัวเราเองเป็นคนไม่มี new year resolution เพราะถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร คือเราก็ "ทำเลย" ไม่ต้องรอปีใหม่ เราก็แค่ใช้ปีใหม่ เป็น "time reference" หรือ "date reference" เฉย ๆ เพราะจำง่าย - คนเขา ถ้าอยากจะเลิกเหล้า เขาเลิกไปนานแล้วครับ ไม่ต้องรอปีใหม่ - คนเขา ถ้าอยากจะเลิกบุหรี่ เขาเลิกไปนานแล้วครับ ไม่ต้องรอปีใหม่ - คนเขา ถ้าอยากจะเข้า gym เขาเข้าไปนานแล้วครับ ไม่ต้องรอปีใหม่ และต่าง ๆ นานา เอาเป็นว่าเราไม่ judge ใคร แค่ยกตัวอย่าง เราจัดการชีวิตเราก็พอ โดยส่วนตัวแล้ว ช่วงสิ้นปีแบบนี้ 1. เราก็ review life insurance ของเรากับ HostPlus เราเป็นคนไม่คิดเยอะ ไม่คิดนาน เพิ่มค่า cover เลยทันที ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เตรียมการเอาไว้ เราไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนใคร ถ้าเราไปก่อน คนอยู่ข้างหลังก็ไม่ต้องลำบาก 2. เพิ่มค่าแรงให้ตัวเองหน่อยละกัน ที่ผ่านมาก็รับค่าแรงจากบริษัทตัวเอง ต่ำเตี้ยเลียดินเหลือเกิน ทุกอย่างเราเข้าบริษัท เพิ่มค่าแรง จะได้เพิ่มค่า superannuation จะได้ไปจ่ายค่าประกันชีวิต ทุกอย่างมันก็จะวน ๆ กันไปแบบนี้แหละ ไม่ว่าใครจะมี new year resolution หรือเปล่า ก็ขอให้มีความสุขกันนะครับ สุขในทุก ๆ วัน ไม่ต้องรอปีใหม่ สุขในสิ่งที่มี อย่างแรกเลย เราไม่สนับสนุนการทำงานแบบ overwork หรือ workaholic นะครับ...
ปรกติ 10pm เราหัวถึงหมอนแล้ว งานของเราประมาณ 97-98% จะเป็น online application ซึ่งเรา manage และบริหารจัดการเวลาได้ ทำได้จากที่ไหนก็ได้ทั่วโลก ซึ่งบอกเลยว่า "สุข ณ จุดที่เป็น" เราก็จะมีงานแค่ประมาณ 2-3% ที่เป็น paper-based applications ซึ่งต้องมีการเซ็นฟอร์ม แล้วส่ง application ไปทางไปรษณีย์ บาง case ที่ส่งไปที่ Sydney office หลาย ๆ case ก็จะส่งไปที่ Perth office (Family Visas) พอดีวันศุกร์ 15 December 2023 เรามีธุระต้องไป somewhere ตั้งแต่ตี 4; 4am เราก็อยากจะเร่งงานนี้ให้เสร็จ ๆ ไป ไม่เร่งก็ได้ เราไปทำธุระของเราก่อนก็ได้ แต่นั่นหลายถึงการยื่น application ก็ยืดออกไปอีก ซึ่งก็คงไม่ดีแน่ ๆ เลย ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น เราไม่โทษใครทั้งสิ้น เราโทษตัวเองนี่แหละ บางทีรับงานก็คิดว่า "ตัวเองไหว" เราถึงบอกไงว่า "ธุรกิจ ต้องกินแต่พอดีคำ" อ๊ะ.. ไม่ว่ากัน เรียนรู้กันไป anyway... วกมาที่เรื่องนี้ เนื่องด้วยเรามีธุระที่ต้องไป 15 December 2023; 4am แต่เช้าเลย แล้ว 14 December 2023 ก็ดันยุ่งทั้งวัน Child Visa (Subclass 101): x 2 cases นี้ น้องทีมงานเตรียมอะไรไว้หมดแล้ว เราแค่ print เอกสารและฟอร์มออกมา doule check แล้วก็ส่ง post ทางไปรษณีย์ น้องทีมงานทำงานดีมากเลยครับ 110% มันมาช้าที่เรานี่แหละ เพราะต้อง check เองหมดทุกอย่างเลยก่อนยื่น ทุกอย่างต้องผ่านมือเรา ปรกติเราจะส่งเป็น Express Post อยู่แล้ว และจะส่งเป็น "Singnatue on Delivery" ซึ่งต้องไปส่งที่ AustPost; 8:30am - 5:30pm แต่ครั้งนี้คงแค่ไป drop ที่ post box แล้วคอย check tracking number เอา ที่ผ่านมา เอกสารที่ถึงหมด ยังไม่เคยตกหล่น อะไร ใด ๆ กว่าจะได้เริ่มทำ เริ่ม print เริ่ม check ก็ช้า เพราะ 14 December 2023 ก็ยุ่งหัวหมุนมาก โน่นแหละได้เริ่มทำก็ 7pm แล้วมี 2 cases ด้วยนะ พี่กับน้อง paper-based เอกสารทุกอย่างต้องเป็น true certified เดชะบุญ เราเป็น JP ก็เลยรอดไป (JP; Justice of the Peace) เราสามารถเซ็น JP ให้กับลูกค้าได้ เอกสารเยอะ ก็เซ็นเยอะ มันก็ช้าตรงนี้แหละ paper-based application ไม่เหมือน online application ลูกค้าโปรดเข้าใจ (99.99% เข้าในนะครับ ทำงานมา 15 ปี มี "xyz" cases ที่เรา say goodbye) เอกสารเยอะ ก็ต้อง print เยอะ มันก็ช้าตรงนี้แหละ 1 case ก็ประมาณ 3 ชั่วโมงนะครับ กว่าจะเสร็จ ไม่ใช่ง่าย ๆ 3 ชั่วโมง นี่คือทุกอย่างอยู่ในมือเราแล้วนะครับ ไม่รวมอีกหลายชั่วโมง หลาย emails ที่ทีมงานเราต้องติดต่อกับลูกค้าอีก ไม่ง่ายนะครับ บอกเลย ของพวกนี้ อย่าดูแค่ที่ราคา กว่าจะ JP certified เสร็จก็โน่นแหละ 12:30am หลังเที่ยงคืน หลังเที่ยงคืน ขับรถยามวิกาล ออกไป drop เอกสาร ก็ 12:42am เวลา ณ ที่ตู้ Express Post Box ขับรถ ถนนโล่ง อีกหนึ่งประสบการณ์ของชีวิต มันเงียบอะไรเยี่ยงนี้ drop เอกสารลง post box 12:42am (ครั้งเดียวพอนะ จะมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ จะไม่ทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก) นอกเรื่อง: 1. อาบน้ำ นอน 1am 2. ตั้ง alarm clock เอาไว้ 3am เพราะ 4am ต้องออกแล้ว 3. 2 ชั่วโมง 1am - 3am; 2 ชั่วโมง มันนอนไม่หลับหรอกครับ มันห่วงหน้า พะวงหลัง และมันเลยเวลานอนของเราแล้ว ปรกติเรานอน 10pm พอมานอน 1am มันนอนไม่หลับ ก็ได้หลับตา พลิกตัวไปมา 3am ลุกขึ้นมาอาบน้ำ 4am ก็มีธุระหน้าที่อื่นที่ต้องทำ สรุป 2 ชั่วโมงก็ไม่ได้หลับ แต่ได้เอนตัว เกิดเป็น J ต้องอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตาย กราบขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกัน แต่ละคนได้เรียนรู้อะไรบ้างครับ สำหรับเราแล้ว: 1. เราได้เรียนรู้อะไรในการทำงานเยอะ จริง ๆ ก็เรียนรู้อะไรเยอะอยู่แล้ว ทำงานมาตั้ง 15 ปีแล้ว แต่หลาย ๆ อย่างขอ "เก็บเอาไว้ในใจ" แต่ที่แน่ ๆ คือ "สัจจะ" นั้นสำคัญกว่าเงินทอง ถ้ารับงานมาแล้ว รับปากมาแล้ว ก็ต้องทำ กัดฟันแล้วกลืนเลือด เชิดหน้าแล้วยิ้ม ปัญหาอะไร เก็บไว้ในใจ รับรู้และเรียนรู้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอะไร บอกเล่าเก้าสิบ ชีวิตการทำงานของเราไม่ได้สบายอย่างที่หลาย ๆ คิดนะครับ แล้วคนอ่านหละครับ ได้เรียนรู้อะไรจากความโป๊ะป๊ะของเรามั่ง กราบขอบคุณทุกคนที่ร่วมสนุกใน facebook ส่วนตัว ไม่มีใครตอบถูกเลย... อิ อิ Note: เราเขียนแบบรีบ ๆ ยังไม่ได้ proofread เดี๋ยวกลับมาแก้คำผิด |
AuthorJohn Paopeng Archives
December 2024
Categories |