วันนี้ 31 Aug 2019, เราแวะไปกราบพระอาจารย์ Kevin ที่วัดธัมมธโร Wat Dhammadharo ที่ Canberra
พระอาจารย์ Kevin คือพระฝรั่ง พูดไทยได้ ท่านเป็นพระลูกศิษย์สายหลวงปู่ชา ปีนี้ท่านย้ายมาจำพรรษาที่วัดธมมธโรที่ Canberra เราก็เลยแวะเข้ามากราบท่านซะหน่อย วันนี้เราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากน้อง Mark ACT, และพี่นงค์ ลูกค้าของ "J Migration Team" ทุกคนทำอาหารเผื่อเอาไว้ให้เราถือกลับบ้านที่ Wollongong ด้วย ข้าวเหนียวดำของพี่นงค์ อร่อยมาก หอม นุ่ม checken wings, ลูกลิงชอบอยู่แล้ว และก็น้อง Max, ลูกชายพี่นงค์ ก็ทำวุ้นมะพร้าวกะทิเอาไว้ให้ด้วย อร่อยมากด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อวานวันศุกร์ ทำงานทั้งวันไม่ได้ไปยิมส์ วันนี้ก็ busy ไปวัด และขากลับมาก็แวะที่นั่น นี่ โน่น ไม่ได้ไปยิมส์ วันนี้กินอิ่มอ้วน พรุ่งนี้ต้องเข้ายิมส์แล้วนะ กับอาหารที่ไม่ว่าจะเป็นน้อง Mark, พี่นงค์ และน้อง Max ทำให้ มันคือน้ำใจ สำหรับเราแล้ว อาหารเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะด้วย life style ที่เรามี จะให้เราไปนั่งทำอาหารกินกันเองที่บ้าน มันเป็นเรื่องยากมาก เพราะทุกคน busy ทั้งเราและภรรยา เราฝากปากท้องไว้กับคนอื่น เราขอบคุณทุกคนกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ที่ทำให้เรา สำหรับเขามันอาจจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ เรื่องง่าย ๆ แต่สำหรับเราแล้ว เรื่องอาหารเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าให้เราทำกินเองเหรอ คงได้แค่ไข่ต้ม กับต้มไข่ แค่นี้แหละจริง ๆ อาหารเย็นวันนี้ มันจะเป็นอาหารเย็นที่เรียบง่าย แต่มันจะเต็มไปด้วยความพิเศษ ความรักและน้ำใจที่เพื่อนมนุษย์มีแต่กัน โลกนี้น่าอยู่เสมอ เมื่อวาน (30 Aug 2019) ทานข้าวกับทีมงาน ACT มือซ้ายทั้ง 4
ทุกคนเป็นฝรั่งหมดจ๊ะ ทุกคนเรา train เองมากับมือ หลาย ๆ คนคิดว่าเราเป็นคนไทย แล้วมีฝรั่งเป็นลูกทีม ทำได้ไง เออ... เอาเถอะ เราทำได้ก็แล้วกัน เราก็ต้องไม่ตีกรอบตัวเองสิ ว่าใครจะเชื้อชาติอะไร หากเราก้าวข้ามความคิดตรงจุดนั้นได้ ทุกอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ ความสำเร็จสามารถเกิดขึ้นได้ อย่ากำหนดขอบเขตหรือขีดจำกัดของตัวเอง เมื่อวานเราก็ update เรื่อง scope ของงาน ลูกทีมเรารับผิดชอบขอบเขตของงานที่กว้างขึ้น เราก็จะได้ไม่หนักมาก เราต้องรู้จักที่จะ delegate งานจ๊ะ ลูกทีมทุกคนคือครอบครัว เรารู้จักพ่อแม่ พี่ น้อง ของพวกเขาทุกคน ลูกทีมทุกคนคือคนที่เรารู้จัก แล้วเราดึงมาทำงานด้วย ไม่มีใครเดินมาสมัครสักคน ทุกคนเราเลือกสรรค์เอง ทุกคนเราปั้นเองมากับมือ รักทุกคนเสมอ คนไทยมีทีมงานเป็นฝรั่งได้ คนไทยทำได้ คนไทยอยู่ที่ไหนก็ประสบความสำเร็จได้ คิดถึงเสมอ ทุก ๆ คน
ร่วมสุข ร่วมทุกข์กันมาเยอะ ทุกคนเปรียบเสมือนคนในครอบครัว . ถ้าถามว่าจะกลับไปทำอีกไหม ไม่แล้วจ๊ะ พอแล้ว อิ่มตัวแล้ว กับธุรกิจร้านอาหาร; 03 Feb 2003 - 30 Jun 2014 11 ปีกับชีวิตการเป็นเจ้าของร้านอาหาร; Coconut Thai, 187 Keira St, Wollongong NSW 2500 เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เด็กที่สุดในช่วงนั้น วัย 20s เป็นเจ้าของร้านอาหารคนเดียวที่จบปริญญาในช่วงนั้น (เรียนไปทำไมวะ ถ้าจะต้องมาเปิดร้านอาหาร... หลาย ๆ คนคงคิด) . ทุกคนต่างพากันมองว่า เด็ก ๆ พวกนี้มันจะทำอะไรกัน หลังจากที่เราเปิดร้านมา มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ รุ่นหลังกล้าที่จะออกมาทำธุรกิจร้านอาหาร เจ้าของร้านอาหารไทยแถว ๆ Wollongong ก็หมดยุครุ่นป้า ๆ ลุง ๆ ไปเลยทันที . ได้อะไรบ้างกับ 11 ปีนั้น ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย ได้แทบทุกอย่าง ยกเว้นเงิน . เราได้มีครอบครัวของ TTK TTK ย่อมาจาก Thantanakorn ทีแรกว่าจะใช้เป็นชื่อบริษัท และสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ "ธัญธนากร" ธัญ ที่แปลว่า ธัญพืชผล เพราะร้านอาหารมันเกี่ยวกับของกิน ธนา แปลว่าขุมทรัพย์ กร แปลว่ามือ ประมาณว่าความสำเร็จสร้างได้ด้วยมือ และเก็บเกี่ยวความสำเร็จเอาไว้ในมือ . เดินไปไหนมาไหนใน Wollongong ทุก ๆ คนก็ต้องรู้จักเรา ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คนไทย ฝรั่ง supplier อะไรต่าง ๆ สรุปคือมีหน้ามีตาในสังคม . เป็นเจ้าของธุรกิจ เราก็สามารถจัดเวลาของเราได้ เราก็ได้มีเวลา ไปเรียนอะไรเพิ่มเติม ได้ปริญญามา 4 ใบ ในช่วงที่เปิดร้านอาหาร; 2003 - 2014 . เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร เราไม่เคยต้องเดือดร้อนเรื่องของกิน ภรรยาและเด็ก ๆ สั่ง home delivery ให้คนขับรถเอาอาหารมาส่งแทบทุกวัน เด็ก ๆ ห่อกับข้าวไปทานเองที่โรงเรียน ไม่เคยต้องซื้ออาหารกินที่โรงเรียน . ได้ทุกอย่าง ยกเว้นตังค์ เพราะร้านอาหาร มีรายจ่ายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่เยอะมาก ค่าแรงพนักงานที่ต้องดูแล หลาย ๆ ชีวิตเขาฝากเอาไว้ที่เรา เราก็ต้องดูแล เราก็ดูแลทุก ๆ คน เราดูแลตัวเองท้ายสุด The leaders eat last จริง ๆ . แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะช่วงนี้ ชีวิตเราก็แทบจะไม่มีรายจ่ายในเรื่องของอาหารการกิน แต่เราก็ไม่มีรายได้อะไรเข้ามาเลย ทุกอย่างเป็นเงินหมุน เดือนต่อเดือนจริง ๆ . แต่นั่นมันก็คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ทุกสิ่งอย่างมันคือ stepping stone ทุกสิ่งอย่างมันคือ jigsaw ของชีวิต ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่โชคชะตา หรือฟ้าลิขิต ทุกสิ่งอย่างมันเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของเรา เพราะการกระทำของเรา . จากจุดนั้น มาถึงจุดนี้ เราก็ผ่านอะไรมาเยอะ หากไม่มีวันนั้น เราก็คงไม่มีวันนี้ ทุกสิ่งอย่างมีการเชื่อมโยงเข้าหากันและกัน ทุกสิ่งอย่างมีที่มาและที่ไป ทุก ๆ คนในครอบครัวของ TTK แยกย้ายกันออกไปเติบโตในสาขาอาชีพต่าง ๆ ไปใช้ชีวิตของใครมัน . ที่เหลือไว้ก็คือ connection ที่ดีต่อกัน และความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกัน หลาย ๆ คนในครอบครัวของ TTK เราก็อาจจะสานต่อ ทำ project อะไรกันก็ได้ คนในครอบครัว ไม่ต่อก็ติด . ร้าน Coconut Thai เป็นร้านอาหารไทยร้านแรกในยุคนั้น ที่พนักงานไม่ใส่ชุดไทย เราไม่ชอบ ร้าน Coconut Thai เป็นร้านอาหารไทยร้านแรกในยุคนั้น ที่พนักงานเสริฟส่วนมากเป็นฝรั่งหรือชาวต่างชาติ ถูกต้องจ๊ะ พนักงานเสริฟเราเลือกเอาเฉพาะที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีเท่านั้น . Do you want "lice"? Do you want "rice"? ความหมายต่างกันจ๊ะ rice แปลว่าข้าว lice แปลว่าเหา . พนักงานเสริฟยุคแรก ๆ ปี 2003 & 2004 ทุกคนจะมองว่า P' J มี expectation ที่สูง เด็กเสริฟที่คนไทยจะไม่ค่อยมี หลังจากปี 2004 ก็จะค่อย ๆ มีพนักงานเสริฟที่เป็นคนไทยละ พนักงานที่ Wollongong หาง่ายอยู่แล้ว Uni student, high school student (Wollongong ไม่มี college เหมือน Sydney หรือเมืองใหญ่ ๆ จ๊ะ) คนเราเกิดมาตัวเปล่า ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย
ชีวิตทุกคนเริ่มต้นที่ศูนย์ เหมือน ๆ กัน ที่เหลือนอกจากนั้นคือปัจจัยภายนอกที่แตกต่าง แต่ละคนเกิดมาในครอบครัวที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางการเงิน หรือฐานะทางสังคม คนจนก็เป็นหนี้ได้ คนรวยก็เป็นหนี้ได้ ใช่ว่าคนรวยจะปลอดหนี้ เขาก็มีหนี้ของเขาได้เช่นเดียวกันหากไม่รู้จักการบริหารเงินที่ดี คนจนก็ใช่ว่าจะเป็นหนี้เสมอไป คนที่เขาอยู่กันแบบพอเพียง ไม่ทำอะไรใหญ่เกินตัว เกินกำลัง ชีวิตเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุข เป็นชีวิตที่ปลอดหนี้ได้ ชีวิตปลอดหนี้นั้นทำได้ หามาได้ 10 เก็บเอาไว้เป็นทุนสำรอง 1 เก็บเอาไว้เป็นทุนในการต่อยอดชีวิต ในการลงทุน 2 ที่เหลืออีก 7 ค่อยมาเอาจับจ่ายใช้สอย หากทำได้เช่นนี้ชีวิตเราก็ปลอดหนี้ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับฐานะว่าจะยากจนหรือร่ำรวย มีน้อยเราก็ใช้น้อย ใช้ตามกำลังที่เราหามาได้ หากชีวิตคนเราไม่มีรายได้อะไร เราก็ต้องพยายามที่จะไม่มีรายจ่าย ใช้ชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย ชีวิตของคนชาวป่าชาวเขาที่อยู่บนดอย เขาก็มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ปลูกพืชผักสวนครัวกินเอง ไม่ต้องไปซื้อหา ไม่ต้องมีรายจ่าย แตกต่างจากคนสังคมในเมือง หรือหลาย ๆ คนที่หลอกตัวเอง หามาได้ 10 แต่ใช้ 15-20 เงินไม่มีก็ไปหยิบยืมมา ไปรูดบัตรเครดิตมาก่อน สถาบันธนาคารไม่ได้มีเอาไว้เพื่อช่วยเหลือคน แต่สถาบันธนาคารมีเอาไว้เพื่อทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้น สถานบันธนาคารไม่ใช่ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” สถาบันธนาคารไม่ได้ผิด เขาก็ทำธุรกิจของเขา ผิดที่คนไปกู้ยืมแล้วไม่ประเมินกำลังของตัวเอง ผิดที่คนกู้ยืมไม่ได้วางแผนชีวิตของตัวเองให้รอบคอบ ธนาคารนั้นเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” หากเรารู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันก็จะเป็นเครื่องมือที่สามารถทำเงินให้กับเราได้อย่างมหาศาล แต่เราก็ต้องเรียนรู้ว่าเราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร ไม่ใช่สักแต่จะไปหยิบยืมมา ไปกู้มา เมื่อไหร่ที่เราควบคุมมันไม่ได้ บริหารมันไม่ได้ เมื่อนั้นแหละมันจะหวนกลับมาทำร้ายเรา “ลูกค้าดีเด่น” ของธนาคาร มันไม่มีอะไรที่น่าภูมิใจเลยจ๊ะ ถ้าหากเมื่อไหร่เราเป็น “ลูกค้าดีเด่น” ของธนาคาร เมื่อนั้นแหละเราคือข้าทาสของธนาคาร ข้าทาสผู้โง่เขลา คนที่ไร้ปัญญาเท่านั้นที่ภูมิใจว่าตัวเองเป็น “ลูกค้าดีเด่น” ของธนาคาร ก็เอาเป็นว่า เบื้องบนท่านให้มาไม่เท่ากัน ก็เพราะเขาคิดได้แค่นี้ เขาก็เลยเป็นแบบนี้ เขาทำดีที่สุดแล้ว เท่าที่กำลังเขามี ในเวอร์ชั่นของเขา แต่… แต่… แต่… เราจะต้องไม่โทษธนาคารหรือใครคนอื่น เรานั่นแหละที่จะต้องโทษตัวเราเอง ทุกการตัดสินใจ เราเป็นคนตัดสินใจเอง ธนาคารเขาก็อยู่ของเขาดี ๆ เขามีหน้าที่ทำกำไรให้กับเจ้าของธนาคาร ให้กับผู้ถือหุ้น เราเองต่างหากหละที่ไม่ประเมินกำลังของตัวเราเอง เราต้องไม่โทษธนาคารที่เขาปล่อยสินเชื่อ หรือบัตรเครดิตด้วยความง่ายดาย เราเองต่างหากหละที่ต้องหักห้ามใจเราเอง ไม่ทำอะไรเกินกำลัง ไม่สร้างหนี้ การกู้ยืมธนาคารหรือการใช้บัตรเครดิตมันคือการใช้เงินของอนาคต “เงินในอนาคต” ที่เราอาจจะไม่มีก็ได้ เมื่อเราเอาเงินจากธนาคารมาใช้ เราก็ต้องใช้คืนเขา เพราะนั่นมันไม่ใช่เงินของเรา เมื่อไหร่ที่เราไม่สามารถใช้เงินคืนธนาคารได้ ธนาคารก็จะมีการคิดดอกเบี้ย ต้นทบดอก ดอกทบต้น กลายเป็นหนี้สินรุงรัง ปัญหาของคนหลาย ๆ คน หากคนเรามีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อเป็นการระดมทุนในการดำเนินธุรกิจ มันก็ทำได้ แต่เราก็ต้องมีการวางแผนที่ดี ไม่ใช่แค่ยืมเงินมาแล้วก็คิดว่าทุกอย่างมันจะลงตัว ธุรกิจจะลงเอยด้วยดี ถ้าหากการระดมทุนเพื่อมาใช้จ่ายในธุรกิจจริง ๆ ไม่เอาไปใช้จ่ายอะไรอย่างอื่น อย่างน้อยก็ให้เงินมันหมุนเวียนและหล่อเลี้ยงในธุรกิจ ไม่ดึงเอาเงินจากการบริหารธุรกิจมาใช้จ่ายส่วนตัว ทุกอย่างก็น่าจะลงเอยด้วยดี แต่หลาย ๆ คนก็ตกหลุมพลางของตัวเอง ไอ้โน่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากมี วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ของนอกกาย กิเลสจะนำมาซึ่งปัญหาเสมอ คนเราหลาย ๆ คนบอกว่าต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เราก็ต้องดูตัวเราด้วยว่า บ้านที่เราซื้อ มันใหญ่ เกินกำลังของเราหรือเปล่า รถที่จะต้องผ่อน มันมีความจำเป็นจริงหรือไม่ ขับรถไปทำงาน เพื่อหาเงินมาผ่อนรถ มันก็เหมือนคนที่เขาทำงานหนักเพื่อหาเงินมาซื้อเครื่องสำอางเพื่อที่จะรักษาหน้าที่พังเพราะทำงานหนักหรือเปล่า สรุปมันเป็นวงจรอุบาทว์หรือเปล่า กับคนที่ใส่สูทร ผูกเนคไท ขับรถราคาแพง ๆ แต่มีหนี้สินทางธุรกิจ 100,000,000 ล้านบาท กับชาวไร่ชาวสวนที่มีพืชผักผลไม้เต็มหลังบ้าน ข้าวเต็มยุ้งฉาง มีอาหารกินทุกวัน ไม่ต้องไปซื้อหา ไม่มีหนี้สิน คณิตคิดง่าย ๆ ระหว่างบุคคล 2 คนนี้ สรุปแล้ว ใครรวยกว่ากัน สุดท้ายแล้ว ควาสุขของคนเรามันอยู่ที่ใจ หาใช่สิ่งของ ทุกสิ่งอย่างมันเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของเรา ตัดสินใจผิด ชีวิตเปลี่ยน หลาย ๆ คนติดภาพลักษณ์ กับรสนิยมที่สูงเกินตัว พวกรายได้ต่ำ รสนิยมสูง กับรถที่ต้องคันใหญ่ ๆ เพียงเพราะเรื่องหน้าตา อันนี้ก็อยากได้ อันนั้นก็อยากมี สุดท้ายแล้ว ตัวเราเองนั่นแหละที่จะต้องโทษตัวเราเอง กับความโง่เขลา กับกิเลสที่ไม่มีวันหมดสิ้น แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็ต้องคิดเสียว่า เบื้องบนท่านให้มาไม่เท่ากัน หากเขาคิดได้ หากเขารู้จักที่จะคิด เขาก็คงไม่ทำ หากคนเรามีความรู้เรื่องการเงิน มีความรู้เรื่องการบริหาร บวกกับการมีชีวิตที่เรียบง่าย “ชีวิตปลอดหนี้” นั้นสามารถทำได้ มันไม่ใช่แค่ทฤษฎี ถ้าหากมีคนทำได้ และทำมาแล้ว ก็แสดงว่า “มันทำได้” จริง ทุกสิ่งอย่างในชีวิตที่เกิดขึ้นมันคือบทเรียน เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ไม่ควร “ผูก” อะไรตั้งแต่แรก มีน้อยใช้น้อย อยู่กันแบบพอเพียง ไม่ทำอะไรใหญ่เกินตัว ไม่สร้างภาระในชีวิต ชีวิตนี้ก็ไม่น่าจะเป็นหนี้นะ แค่คิดเฉย ๆ แค่ thinking out loud
. เราไม่มีความรู้ทางด้านร้านนวดหรอก แต่ก็เห็นลูกค้าเขาทำไมมันเปิดกันง่ายดายจัง ถ้าเราไปเปิดที่ Bowral ร้านเล็ก ๆ 2-3 เตียงหละ . นวดจริง ๆ จ๊ะ ไม่เอาแอบแฝง สกปรก เราไม่เอา . แล้วหา manager ที่ไว้ใจได้ มาดูแลให้ ใครสนใจบ้าง ยกมือขึ้น เราไม่ต้องการกำไรอะไรมากมายหรอก ถ้าบวก ลบ คูณ หาร แล้ว ขอแค่ได้กำไร week ละ $100- $200 เราก็พอใจแล้ว เพราะไม่คิดจะไปนั่งเฝ้าอยู่แล้ว เพราะเราก็ต้องทำงานของเรา "J Migration Team" ของเรา . ถ้ามันทำกำไรก็เก็บ ถ้าทำไม่ได้ ก็เท ก็แค่นั้นเอง . ก็แค่คิดว่า เปิดร้านที่ Bowral, เขต regional แล้วเราก็ช่วยคนที่เขามาทำงานให้เราได้วีซ่า ได้ PR ใจซื้อใจ ไม่ต้องการอะไรมาก เห็นบางคนเขาเปิดกันตั้งหลายสาขา . มันจะ work หรือเปล่านะ หรือว่ามันจะเป็นการหาหัวใส่หัว . เห็นเขาขายกันถูก ๆ อะไรประมาณเนี๊ยะ คนอยากจะมาดูแลร้านให้เราบ้าง you ดูแลร้าน (เพราะเราไม่เข้าไป) เราดูแล you ในเรื่องวีซ่า . เธอช่วยฉัน ฉันช่วยเธอ เราจะต้องไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน . แค่คิดเฉย ๆ นะ แค่ thinking out loud ทุกคนคิดว่ามันจะ work มั้ย หลาย ๆ คนที่ follow เราใน page, ใน blog ทำงานร้านนวดกันมาเยอะ ทุกคนคิดว่าไงเอ่ย . หรือว่ามันจะกลายเป็นการหาเหาใส่หัว เพราะจริง ๆ แล้วเราไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรเลยก็ได้ ในวันที่เหนื่อย
ในวันที่ท้อ ในวันที่บางทีเรามองไปทางไหน มันเหมือนไม่มีทางออกที่ดี เราก็ต้องหาที่พักใจ . เมื่อวานวันพระ แวะมาพักใจที่วัดป่าพุทธลาวัล (สะกดถูกหรือเปล่านะ) Wat Pah Buddhalavarn วัดป่าของคนลาว . พี่น้องชาวลาว เรียบง่าย เป็นกันเอง ที่สุด ทุกครั้งที่มาที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บ่อยมาก แต่เราก็รู้สึกสบายใจ พี่น้องชาวลาว เรียบง่าย, no judgemental เราหลงรักพวกเขาไปแล้วหละ . ณ กาลครั้งหนึ่ง ประเทศไทยกับประเทศลาว คือประเทศเดียวกัน เราคือ "สยามประเทศ" จนถึงรัชกาลที่ 5 ที่เราต้องเสียดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงให้กับประเทศฝรั่งเศส . จริง ๆ แล้วพวกเราคือประเทศเดียวกันมาก่อน ถ้าหากประเทศไทยสามารถรวมกันประเทศลาวได้อีกครั้ง มันก็คงจะดีไม่น้อย อนาคต เป็นสิ่งไม่แน่นอน ก็ไม่แน่นะ วันหนึ่งเราอาจจะไปทำงานเป็นจิตอาสาที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงก็ได้ ใครจะรู้ . เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น . ที่วัดลาว การปฏิบัตอาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่ concept เบื้องลึกคล้าย ๆ กัน สายวัดป่า อันไหนที่เราทำไม่เป็น ป้า ๆ ยาย ๆ เขาก็ช่วยสอดส่องดูแล ทุกคนน่ารักมาก คุณยายก็นึ่งข้าวเหนียวมาเผื่อ พี่กิ๊ก ก็เตรียมพานใส่บาตรให้ . พี่ไอ่ & พี่นาง ก็ร่วมทำบุญกับน้องด้วย . เมื่อวาน วันพระ วันพฤหัส วันทำงาน เราอยู่นานไม่ได้ ทานข้าวเสร็จก็ต้องรีบวิ่งกลับมาทำงานต่อ . เรารู้สึกสบายใจขึ้น รู้สึกมีแรงและกำลังใจในการทำงานต่อ . ชีวิตคนเราที่มันไม่เที่ยง ชีวิตคนเราที่เกิดมาตัวเปล่า ตายไปก็ตายไปตัวเปล่า . คนเรามันจะอะไรมากมายกับชีวิตนะ . ชีวิตที่เหลือ เราไม่ต้องการอะไรมากมายแล้ว หลาย ๆ อย่างในชีวิตลงตัว มีพออยู่ พอกิน ชีวิตปลอดหนี้ เรามีความสุขแล้ว เราพอแล้ว . ชีวิตที่เหลือขออยู่ดูแลครอบครัวและคนรอบข้าง อยู่เป็นต้นไม้ใหญ่ให้นกให้กาได้อาศัย . ชีวิตที่เหลือเราขออยู่เพื่อการนี้ ขออยู่เพื่อทำความดี ขออยู่ทำงานเพื่อสังคมส่วนใหญ่ ขออยู่ต่อเพื่อดำรงพระพุทธศาสนาต่อไป . ชีวิตต่อจากนี้ ทุกอย่างคือกำไร . เราไม่ต้องการอะไรมากแล้วกับชีวิตนี้ . วันนี้เราหยุดแล้ว แล้วท่านหละหยุดหรือยัง . #จอห์นเผ่าเพ็ง #เพราะฉะนั้น #มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ คนเราเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ต้องสู้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา เราต้องจัดการชีวิตนั้น ๆ ของเราเอง ด้วยตัวเอง
เหมือนดั่งเช่นชาวประมง เมื่อเกิดมาเป็นชาวประมง เราก็ต้องหาปลาของเราเอง ไม่ใช่ขอปลาจากคนอื่น ถ้าเราหาปลาไม่เป็น เราก็ต้องเรียนรู้ ถ้าสถานการณ์ในการหาปลามันเปลี่ยนไป ทิศทางของน้ำเปลี่ยน ฤดูเปลี่ยน เราก็ต้องเรียนรู้ เมื่อพฤติกรรมของปลามันเปลี่ยนไป การทำงานของเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเรียนรู้ เกิดเป็นชาวประมง จะมามัวหาปลาแบบวิธีเดิม ๆ มันก็คงไม่ได้ เราอาจจะมีคู่แข่งใหม่ ๆ เข้ามาในน่านน้ำ คู่แข่งที่เขามีเรือและเครื่องมือที่ใหญ่กว่า เมื่อมีเรือหลายลำ เมื่อมีชาวประมงมากขึ้น แต่จำนวนปลาในเขตน่านน้ำนั้นไม่ได้มากขึ้นตามไปด้วย ชาวประมงเองก็ต้องไหวตัวให้ทัน เราต้องมีการเปลี่ยนวิธีการหาปลาของเราหรือเปล่า เราต้องขยายขอบเขตน่านน้ำหาปลาของเราหรือเปล่า อย่าปล่อยให้ข้ออ้างอะไรต่าง ๆ นานามาหยุดเราได้ ถ้าคนเราคิดจะทำอะไรสักอย่าง เราต้องสามารทำได้ ถ้าข้ออ้างเราไม่เยอะ อย่ามัวอ้างว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น มันคงไม่ work หรอก ทุกอย่างเป็นข้ออ้างทั้งนั้น คนเราจะสำเร็จ มันสำเร็จตั้งแต่อยู่ในหัวแล้ว ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ มันก็ทำได้ เราจะหาวิธีของเราเอง ถ้าเราคิดว่าเราทำไม่ได้ เราก็จะทำไม่ได้จริง ๆ เพราะสมองมันสั่งการเอาไว้แล้วว่าเราทำไม่ได้ สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับวิธีการคิดของเรานี่แหละ เกิดเป็นชาวประมง เราก็ต้องเรียนรู้วิธีการหาปลา และต้องหาปลาด้วยตัวเอง ถ้าวิธีการเดิม ๆ ที่เราทำกันมาตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ สืบทอดกันมามันไม่ work แล้ว เราก็ต้องปรับเปลี่ยน ปรับปรุงและแก้ไข คนที่ไหวตัวทันตามสถานการณ์เท่านั้นที่จะมีชิวิตรอดอยู่ได้ มีวิชา มีความรู้ ไปน่านน้ำไหนก็ไม่อดตาย สุดท้ายแล้วก็ต้องแล้วแต่ชาวประมงว่า เขาอยากจะหาปลาของเขาเองหรือเปล่า แล้วคุณหละ เป็นชาวประมงแบบไหน กับสังคมที่วุ่นวาย
กับสังคมที่เต็มไปด้วย คนที่มีแต่อยากจะได้ กับสังคมที่ทุกคนต้องการอะไร "ตอนนี้" "เดี๋ยวนี้" "เลยทันที" "I need it now." กับโลกปัจจุบันที่ดูช่างโกลาหล กับโลกปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่คิดถึงตัวเขาเองก่อน กับโลกปัจจุบันที่มันดูเล็กและแคบลงไปทุกขณะ กับโลกปัจจุบันที่ใครนึกอยากจะพิมพ์อะไรไปก็พิมพ์ไป ใครนึกอยากจะพิมพ์อะไรมาก็พิมพ์มา กับโลกปัจจุบันที่ใคร ๆ นึกอยากจะโทรอะไรก็โทร 24 ชั่วโมง (เราก็ต้องฉลาดเปิดมือถือเป็น flight mode บ้าง อะไรบ้าง) กับโลกปัจจุบันที่คนเราสามารถเทสาดเทเสียใส่กันได้ง่าย กับโลกปัจจุบันที่คนเราทะเลาะกันเพราะต้องการไปหาที่เก็บเห็ด กับโลกปัจจุบันที่คนเราทะเลาะกันเพราะการโกงกันเรื่องแชร์ลูกโซ่ ก็ตัวเองไปเล่นเองนี่นา กับโลกปัจจุบันที่คนเราทะเลาะกันเพราะฝากกันหิ้วของกลับเมืองไทยหรือหิ้วมาจากเมืองไทย เออ แล้วเธอไปฝากเขาหิ้วทำไม แล้วที่ post ด่ากันนั้น เราจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนว่ามันเป็นเรื่องจริง สรุปแล้วเขาผิด หรือเธอโง่?? กับโลกปัจจุบันที่บางทีเราก็โดนตำหนิ เพียงเพราะตอบคำถามไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการจะรู้ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ ก็เพราะสมองเขามีแค่นั้น ความคิดเขามีแค่นั้น เขาถูกเลี้ยงดูมาแบบนั้น กับการเลี้ยงดูที่แตกต่าง เขาก็เลยคิดได้แค่นั้น ถ้าหากเขาคิดได้แบบเรา เขาก็ต้องเป็นแบบเราแล้วสิ เอานะ ไม่ว่ากัน เบื้องบนท่านสร้างมาไม่เท่ากัน กับสังคมที่คนแต่งตัวไม่มิดชิดออกมาทำ facebook LIVE หรือ Video clip ขายของ สรุปเธอขายของหรือขายนม กับสังคมที่คนแต่งตัวด้วยซื้อผ้าขาด ๆ ออกมาทำ facebook LIVE หรือ video clip ขายของ สรุปเธอดู sexy หรือ you look cheap ก็ไม่เป็นไรนะ ก็แค่มองต่างมุม เราเคารพความคิดเห็นต่าง Agree to disagree. กับสังคมที่ดูสกปรก กับสังคมที่เน่าเฟะ กับสังคมที่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ได้ ทุกคนคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะเราก็ต้องรักตัวเราเองก่อน ก่อนที่เราจะไปรักคนอื่น แต่เราก็ต้องไม่เอาเปรียบใคร ทุกสิ่งที่ทำในชีวิต มันควรจะเป็น WIN-WIN ไม่ใช่ WIN-LOSE, LOSE-WIN หรือ LOSE-LOSE เราขอกราบขอบคุณ "someone" ที่ส่ง inbox เข้ามาเมื่อวาน; 10 Aug 2019 มันอาจจะเป็นข้อความสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่มีความหมายสำหรับคนอ่าน มันมีความหมายสำหรับเรามาก ทุกวันเป็นวันที่ดีเสมอ ทุกเหตุการณ์ดีเสมอ แล้วแต่มุมมองของใครที่จะเลือกมอง แล้วแต่ประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่าง แล้วแต่การเลี้ยงดูที่แตกต่าง ทุกคนความคิดไม่เหมือนกัน ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เหรีญมี 3 ด้าน เลือกมองแบบไหน ก็เห็นแบบนั้น ทุกสิ่งอย่างในชีวิตไม่มีถูก ไม่มีผิด แล้วแต่มุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคน เปิดใจให้กว้าง ลองมองจากมุมที่แตกต่างดู ออกมาจากสระเล็ก ๆ ลองมาว่ายน้ำในมหาสมุทรดู แล้วความคิดความอ่านเราอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ทุกวันเป็นวันที่ดีเสมอ วันนี้คุณบอกรักใครสักคนแล้วหรือยัง วันนี้คุณทำอะไรให้ใครสักคนให้หัวใจเขาพองโตแล้วหรือยัง วันนี้คุณบอกรักคนข้างกายแล้วหรือยัง พวกเขาไม่ใช่ "ของตาย" ขอบคุณ ขอบคุณ กับ message เมื่อวาน ง่าย ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง จอห์น เผ่าเพ็ง; เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ 11/08/2019 ในวันที่ต้องไปทำงานที่ Sydney office, lunch break ก็จะเป็นพวก fruit salad จาก Soul Origin หรือไม่ก็จาก Newzealand Natural ตรง Townhall Station
ขากลับบ้าน ส่วนมากเราก็จะซื้ออะไรง่าย ๆ พวก BreadTop (ตรง Townhall Station) แล้วทานในรถไฟ สาเหตุที่เราไม่ออกไปเดินโต๋เต๋หรือหาอะไรทานในเมือง ก่อนที่จะกลับ Wollongong ก็เพราะว่า ถ้าประมาณ 5pm หรือหลัง 5pm คนจะเยอะมากที่ train station และรถไฟก็จะแน่น นั่งไม่สะดวก เราชอบที่จะเดินทางกลับบ้านก่อน rush hour... ก่อน a mad race ปรกติเราจะซื้อ BreadTop แล้วก็ทานอยู่บนรถไฟ เพราะ BreadTop เป็นอะไรที่ทานง่าย เมื่อวานก็เลยคิดว่า เออ ไม่ซื้อ BradTop ละ ขนมปังมันก็เป็นแป้งที่ผ่านการผลิต ผ่านการ process เราอยากกินอะไรที่ทำสด ๆ มากกว่า เดินไปทำงานจาก Townhall station เราก็ไม่เคยสังเกตุร้านอื่นเลย ถ้าชอบ BreadTop ก็ซื้อ BreadTop กันอยู่เป็นปี ๆ เพราะมันง่ายดี อะไรที่มันเดิม ๆ เราก็ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องใช้หัวสมองเยอะ แต่เมื่อวาน (8 Aug 2019) เราก็เลยลองเดินเข้าร้าน Hero Sushi ดู ซึ่งก็ติดอยู่กับร้าน BreadTop นั่นแหละ เราก็ซื้อ vegetarian box มากล่องหนึ่ง ก็มี vegetarian sushi หลากหลายในนั้น หลายชิ้น $8.80 ราคาไม่แพง เราก็ซื้อมา 1 กล่อง ไม่รับถุง plastic เพราะเราถือถุงผ้าไปด้วยจากบ้าน เราก็หยิบตะเกียบอะไรมาด้วย เวลากินจะได้ไม่เปื้อนมือ พอขึ้นรถไฟที่ Townhall station เราก็เริ่มทาน sushi แล้วมันก็เกิด moment ที่ว่า "อะไรกันเนี๊ยะ เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้อยู่บนรถไฟเหรอ" เราเห็นหลาย ๆ คนตอนเช้า โดยเฉพาะจากสถานี Sutherland มาในเมือง คนจะนั่งทำงานใน laptop หรือผู้หญิงบางคนก็นั่งแต่งหน้าไปด้วยในรถไฟ มันช่างเป็นภาพที่เราเห็นแล้วก็รู้สึกว่า มนุษย์เราสุดท้ายแล้ว เราวิ่งวุ่นวายทำโน่น ทำนี่อะไรกับชีวิตเรานักหนานะ ชีวิตที่ต้องนั่งทำงานไปด้วยในรถไฟ (เราเป็นเด็กดี เลิกทำแบบนี้ไปนานแล้ว เราจะฟัง audiobook มากกว่า) ชีวิตที่ต้องนั่งแต่งหน้าในรถไฟ เราคิดว่ามันเป็นชีวิตที่ไม่ค่อยบรรเจิดนะ ชีวิตที่เร่งรีบแบบนี้ ชีวิตแบบ rat race แล้วเราหละ เราก็ไม่ต่างอะไรไปจากพวกเขานะ เรากำลังทาน sushi ในรถไฟ มันก็ทำให้เราฉุกคิดขึ้นได้ว่า เรารับ book ลูกค้าเยอะเกินไปหรือเปล่า เราใจอ่อนมากจนเกินไปหรือเปล่า เพราะหลัง ๆ มานี้ถ้าเราไปทำงานที่ Sydney เราก็ไม่ได้รับ book ลูกค้าจนถึง 5pm เหมือนปีที่แล้ว เหมือนสมัยก่อน ๆ เราก็พยายามเลิก 3pm บ้าง 4pm บ้าง จริง ๆ แล้วเมื่อวานเราก็จัดตารางเอาไว้ดีแล้วนะ แต่พอลูกค้าบางคนติดต่อมา เราก็ใจอ่อน สงสารเขา ยอมรับ book เขามา มันก็เลยกลายเป็นว่าเราต้องเลิกงานเย็น ต้องมานั่งทานอะไรในรถไฟ สรุปเราก็คงไม่ต่างอะไรจากพวก rat race ทั้งหลายที่นั่งทำงานใน laptop หรือหลาย ๆ คนที่นั่งแต่งหน้าในรถไฟตอนเช้าใช่มั้ย มันก็ทำให้เราฉุกคิดขึ้นได้ว่า อะไรที่เราไม่ชอบ เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงนะ อดีตอันไหนที่มันผ่านไปแล้ว ให้มันแล้วไป แต่เดี๋ยว face-to-face consultation ครั้งต่อ ๆ ไปเราต้องจัดตารางให้ดีกว่านี้ เราต้องรู้จักที่จะปฏิเสธคน เราต้องดูแลตัวเราเองก่อน เราถึงจะดูแลและช่วยเหลือคนอื่นได้ ...อะไรที่เราไม่ชอบ เราก็ต้องเปลี่ยนแปลง... เมื่อเห็นในสิ่งที่ไม่ชอบ บางทีสิ่งที่เราควรทำมากที่สุดก็คือ "เดินจากไป"
ไม่ต้องพูดอะไร ไม่ต้อง comment อะไร อะไรที่ออกมาจากปากเราแล้ว เราไม่สามารถเอามันกลับคืนเข้าไปได้ ดังนั้นเราต้องระวังในเรื่องของคำพูดและอารมณ์เป็นที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดคือ "ความเงียบ" เพราะความเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเราคิดอะไร คิดการใหญ่ ใจต้องนิ่ง |
AuthorJohn Paopeng Archives
September 2024
Categories |