1 ปีที่ผ่านมามันได้สอนอะไรเราบ้างนะ
กับธุรกิจ หน้าที่และการงานที่เหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่เราก็ต้องไม่ take it for granted เราต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท กับการทำงานที่ต้อง deal กับผู้คนหลากหลาย ร้อยพ่อพันแม่ รู้หน้าไม่รู้ใจ แต่ละคนมี background และเบื้องหลังที่แตกต่าง เขาจะบอกเราเฉพาะในส่วนที่เขาต้องการให้เรารู้ แต่ละคนที่เข้ามาในชีวิตเรา เราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาหวังดีหรือหวังร้ายอะไรกับเรา เราเองก็ต้องคอยระวังตัว และวางตัวอะไรต่าง ๆ ให้เหมาะสมด้วย โดยเฉพาะการที่คนรู้จักเรามากขึ้น เราก็ต้อง be more approachable มากขึ้นด้วย เวลาคนเจอเราในสถานที่ต่าง ๆ เราต้องพร้อมที่จะหยุดและก็ต้องมี small talk ด้วยเสมอ เมื่อมันมี spotlight ส่องลงมาที่เรา เราก็ต้องรับกับสถานะนั้นให้ได้ ไม่มีสิทธิ์บ่น อิดออดไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันมาเป็น package เหมือนสุภาษิตภาษาอังกฤษที่ว่า If you cannot take the heat in the kitchen, don't become a chef. ฉันใดก็ฉันนั้น กับงานที่เราทำ เมื่อคนรู้จักเรามากขึ้น เวลาเราไปไหนมาไหน เราก็ต้องพร้อมที่จะยิ้มและทักทายเสมอ ก็เลือกที่จะเป็นคนของสังคมแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น คนในครอบครัวเราเองก็ต้องพร้อมรับด้วย ซึ่งทุกคนก็ OK เวลาที่ลูกลิงไปวัด ทุกคนก็ต้องถามลูกลิงเสมอว่า "Are you John's son/daughter?" ซึ่งลูกลิงชินแล้ว และลูกลิงกับภรรายาเราก็ต้องรับให้ได้ เวลาที่เราหยุดและพูดคุยกับใคร บางทีมันก็จะลากยาวไปเกินกว่าเวลาที่กำหนด ซึ่งมันก็เป็นมารยาทที่เราจะต้องพูดคุยและทักทายกับคนที่เขามาทักเรา ปี 2018 สอนอะไรเราได้เยอะ กับการที่เรามีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาหรือว่าลูกค้าที่มาทำ case กับเรา ทุกคนมาจากหลากหลาย background ร้อยพ่อพันแม่ มันก็เลยทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น มันทำให้เราไม่ judge ใคร... มากขึ้น อะไรหลาย ๆ สิ่งอย่างในชีวิต เราก็พยายามมองจากมุมที่เขาเป็น จากจุดที่เขายืน หลาย ๆ คนต้องทำมาหากิน มีอาชีพที่แตกต่างกันออกไป เราก็ไม่ค่อย judge ใครแล้ว เพราะทุกคนต้องทำมาหากิน ปากกัดตีนถีบ จากแต่ก่อนเราจะเป็นคนที่ vocal มาก เราเป็นพวก stand up and speak up เป็นพวกที่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่แคร์สื่อ แต่ทุกวันนี้ เราก็หัดเป็นผู้ฟังที่ดีมากขึ้น ฟัง คิด นึก และไตร่ตรอง และเข้าใจสภาพชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่าง สิ่งที่เราเห็นเขา มันอาจจะเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของตัวตนของพวกเขาก็ได้ หรือแค่ด้านหนึ่งของเขา มันอาจจะมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเขาคนนั้นที่เรายังไม่รู้ก็ได้ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะไม่ judge ใครทั้งสิ้น ทุกวันนี้ เราจึงไม่ค่อยตัดสินใคร จริง ๆ แล้วเราไม่มีสิทธิ์ไม่ก้าวก่ายชีวิตของใครทั้งสิ้น เราไม่ต้องการที่จะไปพาดพิง หรืออ้างอิงถึงใคร เราเลือกที่จะไม่ judge ใคร พอเราเลือกที่จะไม่ judge ใคร ชีวิตเราก็นิ่งมากขึ้น สงบมากขึ้น ชีวิตเรารู้สึกว่ามีความสุข ความเป็น "อัตตา" ของเราลดลง เมื่ออัตตาของเราลดลง ความเป็นตัวตนของเราก็ลดลง เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น มันไม่มีอะไรที่จะต้องทำให้เราโกรธหรือหงุดหงิด (ถ้าหงุดหงิด ก็แป๊บเดียวหาย) ปี 2018 ก็เป็นอีกหนึ่งปีที่ดี เราไม่มี New Year Resolution เพราะเรารู้เป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรกับชีวิตนี้ แต่ละปีเราต้องทำอะไรบ้าง แล้วอายุช่วงนี้ ช่วงนั้นเราต้องการอะไรกับชีวิต เรา set เป้าหมายของเราเอาไว้หมดแล้ว ดังนั้นเรารู้ว่าภายใน 1 ปีเราต้องทำอะไรบ้าง เป้าหมายคืออะไร แล้วเราก็จะ break down ลงมาว่า งั้นภายใน 1 เดือนเราต้องทำอะไร แล้วเราก็สามารถ break down ลงไปว่าภายใน 1 week เราควรต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างเราได้มาจากการอ่าน การอ่านช่วยเปิดโลกทัศย์เราจริง ๆ เราเป็นหนอนหนังสือมาแต่ไหนแต่ไหนแล้ว โดยเฉพาะหนังสือพวก self-help, selp-improvement และก็พวกหมวดหมู่การเงินและการทำธุรกิจด้วย "Readers are Leaders" ดังนั้นเรื่องการ set goal ของเราจึงไม่มีปัญหา เราจึงไม่มี New Year Resolution เราเป็นพวก อยากทำอะไรทำเลย ไม่ต้องรอปีใหม่ ไม่ต้องรอ new year แต่เราก็ใช้พวกวันเหล่านี้เป็นตัวชี้วัด เป็น measurement ว่า 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้บ้างเกี่ยวกับชีวิต เราได้ปรับปรุงข้อบกพร่องอะไรของเราบ้าง เราได้พัฒนาตัวเราเอง ไปยังไงบ้าง แต่ถ้าใครจะมี New Year Resolution อะไร เราก็ไม่ judge ใครเช่นเดียวกันจ๊ะ ขอบคุณกับทุกสิ่งอย่างที่เกินขึ้นกับชีวิต ทั้งปีของ 2018 You either win or learn!!! |
AuthorJohn Paopeng Archives
December 2024
Categories |