ณ กาลครั้งหนึ่ง เราเป็นเด็กหนุ่ม ทำงานเป็น programmer
เราได้งานตั้งแต่เรียนอยู่ปี 3 เทอม 2 แล้ว เราได้งาน ได้ job offer ตั้งแต่เราเรียนยังไม่จบ เราถูกจองตัวไปทำงานเอาไว้แล้ว มันดูเหมือนทุกอย่างได้ถูกปูทางเอาไว้อย่างสวยงาม (ตอนนั้นเราคิดแบบนั้นจริง ๆ ) พอเรียนจบ สอบเสร็จ ก็ทำงานเลยทันที ตอนนั้นเราคิดว่าตัวเองเงินสะพัด เพราะ programmer เงินดี รายได้สูง เราไม่เคยต้อง worry เรื่องตังค์ เราเป็นเด็กหนุ่ม ไม่ได้มีภาระอะไรมากมาย โถ พ่อเด็กโง่ ช่างคิดไปได้ว่าตัวเองเงินสะพัด ตอนนั้นเรายังเด็กจริง ๆ ยังด้อยประสบการณ์นัก คิดเอาง่าย ๆ ว่า เป็น programmer ยังไงก็ไม่อดตาย ยังไงก็มีงานทำ เหมือนชีวิตมันได้วาดเอาไว้อย่างสวยงาม รถคันแรกที่เราอยากจะซื้อคือ BMW (แต่ก็ไม่ได้ซื้อ) โถ พ่อเด็กโง่ ตอนนั้นเรายังเด็กนัก เราเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ยังอ่อนต่อโลกมาก ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากลอง อยากลองอะไรด้วยตัวเอง อยากรู้ว่าการซื้อขายหุ้นมันเป็นยังไง เราก็เลยเปิด online trading account กับบริษัท broker ที่สิงคโปร์ เราคิดว่าน่าจะเป็นบริษัทในเครือของ UOB หรือไม่ OUB นะ เราเริ่มซื้อขายหุ้นที่สิงคโปร์ ด้วยก้อนเงินไม่เยอะมาก น่าจะไม่เกิน SGD 5,000 มันนานมาแล้ว เราจำตัวเลขไม่ได้จริง ๆ เราก็แค่บอกกับตัวเองว่า ถ้าขาดทุน ก็ขาดทุนด้วยจำนวนเงินเท่านี้ละกัน เนื่องด้วยเราเป็นเด็ก IT ตอนนั้น บริษัทที่เราถนัดก็จะเป็นด้วย technology stock เราก็จะซื้อหายหุ้นพวก technology stock เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เราไม่มีการซื้อหนังสือการซื้อขายหุ้นอะไรมาอ่านทั้งสิ้น คือลองผิดลองถูกด้วยเงินก้อนนั้นเลย บอกได้เลยว่า เป็นอะไรที่ไม่แนะนำนะครับ มันเป็นการใช้ชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ไม่ดีเป็นอย่างมาก ชีวิตตอนเป็นหนุ่ม มันเป็นอะไรที่โลดโผน เราไม่แนะนำ เราก็คิดเอาง่าย ๆ ว่ามันไม่น่าจะยาก เออ... ตอนนั้นเรายังเด็กนัก แต่ก็คิดเอาง่าย ๆ ว่า เป็น programmer เงินเดือนเราเยอะอยู่แล้ว (คิดเป็นเด็ก ๆ อีกหละ) สมัยเมื่อครั้งกระโน้น เราเป็น trader เราเป็นพวกซื้อมาขายไป หุ้นบางตัวจะเป็นพวก speculate ดึกดื่นเที่ยงคืนเราก็ต้องคอยอ่านข่าวเศรษฐกิจ พวก business news ซึ่งก็ดีนะ เราได้ความรู้ คืออ่านข่าวว่าตลาดโลกวันนี้เป็นยังไงบ้าง เราก็จะเน้นดูตลาด Hang Seng ของฮ่องกง, Nikkei ของ ญี่ปุ่นและ NASDAQ ของสหรัฐ เราก็พอจะเดาได้แล้วว่าวันรุ่งขึ้นจะเกิดอะไรขึ้นที่ตลาดหุ้นที่สิงคโปร์ เพราะความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมันเชื่อมโยงกันหมดเลย ถ้าวันไหนเราจะซื้อหรือจะขายหุ้น เราก็สั่งซื้อหรือสั่งขาย online ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนแล้ว พอตลาดหลักทรัพย์เปิดตอนเช้า เราก็จะได้คิวอยู่หน้า ๆ อะไรประมาณนี้ จากวันนี้ นั่งหวนคิดถึงวันเก่า ๆ เหล่านั้น มันช่างเป็นภาพที่ไม่ค่อยมีความสุขเสียนี่กระไร มันเป็นอะไรที่วน ๆ เวียน ๆ อยู่แบบเดิม ๆ ตลอดแทบทุกวัน เราก็ไม่ต่างจากหนูที่วิ่งอยู่ในกลงล้อ หมุนอยู่อย่างนั่นแหละ แต่ก็วิ่งอยู่กับที่ หลาย ๆ ครั้งเราจะเป็นพวกรีบซื้อมา แล้วรีบขายออกไปภายใน 3 วันก่อนทำการ settlement ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราสั่งซื้อหุ้น SingTel (Singpore Telecommunication) วันนี้ $2.00 เราซื้อสัก 3,000 หุ้น หรือ 3 lots ที่สิงคโปร์ หุ้นจะต้องซื้อขายเป็น lot 1 lot = 1,000 หุ้น ไม่เหมือนออสเตรเลีย ที่ออสเตรเลียจะซื้อกี่หุ้นก็ได้ ไม่ได้บังคับให้ซื้อเป็น lot สมมุติว่าเราสั่งซื้อหุ้น SingTel ที่ $2 ต่อหุ้น เป็นจำนวน 3 lots = $2 x $3,000 $6,000 ค่า broker $15 (เดาเอา มันนานมาแล้ว) ก็แสดงว่าเราต้องโอนเงินเข้าบริษัท broker $6,000 + $15 = $6,015.00 และเราก็ต้องจ่ายภายใน 3 วันทำการ แต่ถ้าเราอ่านข่าวมาแล้ว ทำการศึกษามาแล้วว่าหุ้น SingTel มีโอกาสขึ้น สมมุติว่าวันที่ 3 หุ้น SingTel ซื้อขายกันอยู่ที่ $2.15 ถ้าเราเทขายออกหมด 3 lots $2.15 x 3,000 = $6,450 ค่า broker $15 เราก็มีเงินในบัญชี $6,450 - $15 = $6,435 ซึ่งเราซื้อมาที่ $6,015 แล้วเรารีบขายออกภายใน 3 ทำการ ก่อนที่ทำการ settlement $6,435 เราก็จะได้กำไร $6,435 - $6,015 = $420 นี่คือกำไร $420 ที่ได้มาภายใน 3 วัน นี่คือหุ้นแค่ตัวเดียวนะ ถ้าเรามีหุ้นหลาย ๆ ตัวหละ มันก็น่าจะสนุกนะ แต่เราก็ซื้อขายอยู่ไม่กี่ตัว ช่วงนั้น เราเพิ่งเริ่มต้น เพิ่งเริ่มหัดซื้อมาขายไป Note: หุ้นของ SingTel คือหุ้นที่เราเคยซื้อขายจริง ๆ จ๊ะ นี่แหละเป็นกลไกที่เราเริ่มเรียนรู้ เรียนรู้เองโดยไม่มีใครสอน เราก็อาศัยจากการฟังเพื่อน ๆ ที่เป็น programmer ในบริษัทที่เขาซื้อขายกัน เพื่อนร่วมงานเราหลาย ๆ คนตอนนั้นเล่นหุ้น เราก็เลยไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่ก็อย่างว่าแหละ ทุกคนก็ยังเด็กนัก ตอนนั้น ยังเลือดร้อน ยังคึกคะนอง ยังคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเจ๋งกว่าใคร ๆ เป็น programmer พวกเราเดินไปไหนมาไหนกันอย่างสง่าผ่าเผย คิดว่าโลกทั้งใบเป็นของเรา โถ พ่อเด็กน้อย พวกสูเจ้ายังเด็กนัก ช่วงนั้นเหรอ การซื้อหุ้นเพื่อเก็บ มันเป็นอะไรแค่ทฤษฎีสำหรับพวกเรา คนรอบข้างเราไม่ค่อยมีใครทำ เราก็เลยไม่ได้สนใจ ส่วนมากเราก็ซื้อมา ขายไป กะว่าจะซื้อถูก ขายแพง ว่างั้นเถอะ หารู้ไม่ว่าทุก ๆ คนเขาก็คิดกันแบบเดียวกันนี่แหละ ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่คิดแบบนั้น ตอนที่เราทำงาน และก็ซื้อขายหุ้นไปด้วย บอกได้เลยว่าเราไม่มีสมาธิในการทำงานเลย เพราะทำงานไปด้วย เปิดหน้าจอดูหุ้นขึ้นลงไปด้วย ดู real-time มันเป็นอะไรที่ไม่มีสมาธิในการทำงานเลยจริง ๆ ที่สิงคโปร์ เราสามารถซื้อ IPO (Initial Pubic Offering) ได้จากตู้ ATM เราก็มีซื้อมาเก็บไว้ด้วย 4-5 บริษัท เพราะคิดง่าย ๆ ว่าราคาของ IPO มันถูก เดี๋ยวมันก็จะค่อย ๆ ขึ้น แล้วเราก็จะขาย หุ้น IPO ที่เราซื้อมา ไม่ใช่หุ้น Technology เพราะหลังจากนั้น เราก็หลงตัวเอง แอบคิดไปเองว่า ตัวเองเก่งแล้ว คิดว่าไม่น่าพลาด เราก็ไปซื้อหุ้นพวกบริษัทก่อสร้างของประเทศจีน ที่เขาเข้ามา trade ที่ตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ แต่หลังจากที่เราซื้อได้ไม่นาน มันก็เกิดเหตุการณ์ 9-11 ขึ้น หุ้นตกทั่วโลก เราก็โดนไปด้วย หุ้นที่เราซื้อมาจาก IPO ขายไม่ออก เราก็เลยเก็บเอาไว้จนทุกวันนี้ ทุกวันนี้เราก็ยังได้รับเงินปันผล dividend จากหุ้นพวกนี้ แต่บอกได้เลยว่าน้อยมาก แต่ก็ต้องกัดฟัน กลืนเลือดตัวเอง เพราะราคามันต่ำมาก มันขายไม่ได้ เราก็เลยเก็บมันเอาไว้อย่างนั้นแหละ เหมือนจะเป็นหุ้นสูญ แต่ก็ยังได้ค่า dividend บ้าง ไม่มาก เราก็เก็บมันเอาไว้เตือนใจตัวเอง เตือนใจความเจ็บปวด เหตุการณ์เมื่อสมัยนั้น กับสมัยนี้มันเปลี่ยนไป ตอนนี้เราตั้งใจว่าจะลงทุนเป็น long term เป็น "Value Investor" หรือ VI เลิกแล้วกับการ trade หุ้น ซื้อมา ขายไป เหนื่อยมาก ไม่มีสมาธิในการทำงานเลยตอนนั้น เราเป็นคนรักการอ่านอยู่แล้ว เราก็เลยมีเวลาศึกษาและอ่านหนังสือมากขึ้น เราก็เลยเริ่มรู้ว่า อ๋อ Value Investor มันมีจริง ๆ นะ มันทำได้จริง ถ้าเรามีเวลาหน่อย เราก็ศึกษาและเลือกลงทุนกับบริษัทที่มัน match กับ investment profile ของเราได้ คราวนี้แหละ มันจะเป็นการลงทุนระยะยาว มันจะเป็นการลงทุนแบบ VI; Value Investor พอกันทีกับการซื้อมาขายไปแบบเดิม ๆ ที่เราเคยทำมา แบบนั้นมันเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืนเลย เดี๋ยวเรามาเริ่มต้นใหม่ ยังไม่สาย หุ้นที่สิงคโปร์ ก็ทิ้งไว้นั่นแหละ เดี๋ยวคราวนี้เรามาลงทุนกับหุ้นของออสเตรเลียละกัน... ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่า นี่คือความเห็นส่วนตัวของเรา และมันเหมาะกับสถานการณ์ของเรา
ความคิดของเรา อาจจะไม่เหมือนกับของคนอ่าน สถานการณ์ของเราอาจจะไม่เหมือนกับสถานการณ์ของคนอ่าน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ คนไทยหลาย ๆ คนเลือกที่จะใช้ home loan คนไทยเพราะว่าพูดจาภาษาเดียวกัน ติดต่อกันง่าย ซึ่งก็ไม่ผิด แต่โดยส่วนตัวแล้ว อาจจะด้วยหน้าที่การงานของเรา เราทำงานกับคนไทยเยอะ ลูกค้าเราเป็นคนไทยเยอะ เราไปไหนมาไหนก็เจอแต่คนไทย ดังนั้นเราก็ต้องระวังนิดหนึงในเรื่องการเงิน และเรื่องส่วนตัวของเรา เราไม่ต้องการให้ใคนมารู้เรื่องของเรามาก โดยเฉพาะเรื่องการเงิน หลาย ๆ คนก็อาจจะบอกว่า ทุกคนทำงาน ก็ต้อง professional อยู่แล้ว ซึ่งเราก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน แต่สังคมคนไทยมันก็แคบ ๆ โดยเฉพาะคนไทยใน Sydney และ Wollongong ลูกค้าเราหลาย ๆ คนก็ใช้ home loan broker คนไทย เราไม่ต้องการใช้ home loan broker คนเดียวกันกับลูกค้าของเรา เราไม่ต้องการไปเดินชนกัน จ๊ะเอ๋กันที่ Thai Town หรือที่วัดอะไรประมาณเนี๊ยะ anyway นี่เป็นความคิดส่วนตัวของเรานะครับ สุดท้ายแล้ว home loan broker คนไทย หรือคนไม่ไทย เราคิดว่าการบริการหรืออะไรทุก ๆ อย่างก็เหมือนกันแหละ เพียงแต่เราต้องการ a bit of privacy และรายละเอียดเรื่องการเงินของเราก็แค่นั้นเอง เราต้องการ dealing กับ home loan broker ที่เจอกันที่ office ก็พอ ไม่ต้องการไปเดินชนกันตามงานสังคมหรืองาน gathering ที่ไหนก็แค่นั้นเอง เพราะเราเข้าไปเจอ home loan broker ของเราเฉพาะช่วงแรก ๆ แค่นั้นเอง หลังจากนั้นเราก็ติดต่อกับเขาทาง email ตลอด เราไม่ได้เจอกันอีกเลย ดังนั้นเราไม่ต้องไป bump into เขาตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไป เราก็เลยเลือกที่จะไม่ใช้ borker คนไทยก็แค่นั้นเอง แต่ถ้าใครเลืกที่จะใช้ broker คนไทยก็ไม่ผิดอะไรนะครับ นี่ก็เป็นแค่เหตุผลส่วนตัวและความคิดส่วนตัวของเรา ก็แค่นั้นเอง วันที่ 5 Arp 2019, เราไปทำงานที่ Canberra office
ช่วง break พักเที่ยงเราก็นัดกับ realestate agent เพื่อไป inspect บ้านที่ Quenbeyan เรานัดเอาไว้ 12:45pm บ้านหรือ apartment หลังนี้ เราก็ดูมาแล้วจาก Domain.com.au และ Realestate.com.au ว่ามัน match กับ investment profile ของเรา: - มี 2 ห้องนอนขึ้นไป - พื้นที่อยู่อาศัย 60 ตารางเมตรขึ้นไป - มีคนเช่าอยู่แล้ว - ค่า strata management ไม่แพงมาก ประมาณ $400/quarter การ inspect บ้านของเรา ไม่เคยเกิน 5 นาที เพราะเราทำการบ้านมาก่อนอยู่แล้ว ก่อนที่เราจะนัดเจอกับ realestate agent บ้านทุกหลังที่เราไปดู ที่เราไป inspect คือเราพร้อมที่จะซื้อ พร้อมที่จะจ่าย down payment เลยทันที เพียงแต่ที่เราไปดู ที่เราไป inspect เราก็อยากจะเห็นสินค้าที่เราจะซื้อด้วย ว่าสภาพตึกเป็นยังไง สภาพบ้านเป็นยังไง ตึกมันน่าอยู่มั้ย in the long term ถ้าเราเป็นคนเช่า เราจะชอบมั้ย อะไรประมาณนี้ ทุกอย่าง ทุกแง่มุม เราจะมองจาก perspective ของคนเช่า เพราะบ้านพวกนี้จะเป็น cash cow สำหรับเรา เราไม่กะจะไปอยู่เองอยู่แล้ว และก็ไม่คิดที่จะขาย ไม่ได้หวัง capital gain ตราบใดที่เราไม่ขาย เขาก็ไม่มี capital gain เราก็ไม่ต้องเสียภาษีตรงจุดนั้น ก็ปล่อยให้มันเป็น cash cow ผลิตเงินให้เราทุก ๆ อาทิตย์ เป็น passive income บ้านหลังนี้ เรา OK เราพร้อมที่จะ offer เรากลับถึงบ้าน เราคุยกับภรรยา แล้วก็ SMS ไปหา realestate agent เพื่อ put in the offer เราเสนอราคาไปต่ำกว่าราคาขาย $6,000 เรา text ไปวันศุกร์ real estate agent text กลับมาวันจันทร์ หรือวันอังคารนี่แหละ บอกว่าเจ้าของตึกต้องการ $***,*** ซึ่งสูงกว่าราคาที่เราเสนออยู่ $5,000 ถามว่า $5,000 เพิ่มให้ได้มั้ย เพิ่มให้ได้นะ เราซื้อได้นะ แต่เราไม่รีบ เราก็บอกไปว่า ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าของตึกเปลี่ยนใจ อะไรยังไง ก็แจ้งเรามาละกัน เราต้อง stick to investment principle ของเรา ไม่เอา emotional เข้ามา involve ก็ไม่เป็นไร เราก็หาหลังที่ 3 ของเราเรื่อย ๆ ต่อไป |
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
September 2024
|