ถ้าคิดจะเดินทางสายนี้ ชีวิตการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทุกที่ที่เราไปถ้าเห็นอะไรที่เกี่ยวกับ real estate เราก็ต้องหยิบมาดู
เมื่อวาน (27 July 2019) เราพาลูกไปแข่ง dance ที่ UNSW เราเห็น brochure บ้านให้คนเช่า เราก็หยิบมาดู เพื่อที่จะได้รู้ว่าตลาดแถว ๆ นี้มันเป็นยังไง แถว ๆ UNSW มันก็ต้องมีนักเรียนเช่าอยู่แล้ว แต่เราอยากจะให้นักเรียนเช่าหรือเปล่า นักเรียนจะดูแลตึกหรือบ้านเราหรือเปล่า อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่ใครจะ target ตลาดหรือ segment แบบไหน เราไม่จับตลาดในเมืองอยู่แล้ว มันมีเช่าก็จริง แต่ราคาก็สูงเกิน ตอนนี้ขอทำเป็นพวก "ป่าล้อมเมือง" ไปก่อนละกัน ขอจับอะไรที่เมืองรอบนอกก่อน อะไรที่เราสามารถจับต้องได้ พอตอนเที่ยง เราไปทานข้าว Kingsford (ไม่อร่อยเลย) ซึ่งเต็มไปด้วยคนจีนและคนเอเชีย เราก็เดินดู list อะไรต่าง ๆ ที่ real estate agent เขาแป๊ะไว้ตรง window ด้วย hmm... ราคาตึกแถวนี้แพงจริง อะไรจริง ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็แค่อยากจะรู้เฉย ๆ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ทำอะไรให้เป็นนิสัย เดิน ๆ ดู window listing เพื่อให้ได้ feel ของเมือง ๆ นั้นว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์แถว ๆ นี้อยู่ที่เท่าไหร่ ก็แค่นั้นเอง ทุก ๆ ที่ที่เราไปใน Adelaide เราจะเห็นป้าย "Polites" เต็มไปทั่วเมือง
เขาก็เลยถามคนขับ Uber ว่า "Polites" มันคืออะไรเหรอ อ๋อ... สรุปมันคือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทนี้เป็นเจ้าของตึก เขาเป็น landlord นั่นเอง แทบทุกมุมเมืองของ Adelaide จะเห็นตึกของ Polites แทบทุกถนนจะต้องมีตึกของ Polites เขาก็แอบคิดในใจ ถ้าสักวันเรามีแบบนี้ก็คงจะดีสินะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน ทุกคนมีเป้าหมายของชีวิตที่แตกต่าง แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะเดินทางไปถึงจุดหมายนั้นได้ยังไง ก็แค่นั้นเอง เอาเป็นว่า ตอนนี้เราหัดเดินก่อน ก่อนที่เราจะวิ่งก็แล้ว ทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น ถ้าเราเดินไปเรื่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ มันก็จะถึงจุดหมายเอง ไม่ช้าก็เร็ว แต่ถ้าเราไม่มีจุดหมายเลย เดินสะเปะสะปะ เราก็เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ถึงจุดหมายซะที เราก็แค่บอกกับตัวเองว่า "OK นะ เรามาถูกทางแล้ว ค่อย ๆ ทำไป เดี๋ยวทุกอย่างก็จะค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างเอง" ทุก ๆ คนมีสิทธ์จะคิด มีสิทธ์จะฝัน มีสิทธ์รู้สึก เราหนะมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนแล้ว และก็รู้ว่าจะต้องทำอะไร ยังไงบ้างถึงจะไปถึงจุดปลายนั้นได้ แล้วเธอหละ... วันนี้ได้ทำอะไรในกับชีวิตของตัวเธอเองและครอบครัวของเธอแล้วหรือยัง... July 2019, ตอนนี้เราก็มี portfolio การลงทุนในตลาดหลักทรัพทย์ของออสเตรเลียตามที่เราต้องการแล้ว มันก็ยังเป็นอะไรที่ใหม่กับการลงทุนแบบ Value Investor (VI) เพราะแต่ก่อนเราเคยเป็นแค่ trader คือพวกที่ซื้อมาแล้วขายไป ตอนนั้นซื้อขายที่ตลาดหลักทรัพทย์ของสิงคโปร์ ตอนนี้ลงมาเล่นที่ตลาดหลักทรัพย์ของออสเตรเลียแล้ว และคราวนี้จะลงทุนแบบระยะยาว คือเป็น Value Investor เราจะไม่เป็นพวกซื้อมาขายไปแล้ว
เราต้องการลงทุนระยะยาว เราต้องการเงินปันผล เราต้องการ passive income เพราะตอนนี้เรามี life goal ที่แน่นอน ที่เด่นชัดว่าเราต้องการอะไรในชีวิต ว่าเราต้องการ semi-retire เมื่อไหร่ การลงทุนของเราในตลาดหลักทรัพทย์คราวนี้ เราก็จะลงทุนเฉพาะพวก LIC; Listed Investment Company เราจะไม่ไปซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ เพราะแบบนั้นเราบริหารลำบาก (ณ ตอนนี้นะ อนาคตไม่แน่) เราก็ปล่อยให้บริษัทลงทุนเขาจัดการไปก็แล้วกัน น่าจะดีกว่าที่เราจะต้องไปเลือกซื้อหุ้นเอง ณ ตอนนี้เรายังไม่มีเวลาขนาดนั้น โอกาสหน้าก็ไม่แน่ เราใช้ SelfWealth เป็น online broker ในการซื้อหุ้นในออสเตรเลีย ทุก ๆ อาทิตย์ SelfWealth ก็จะส่ง summary มาให้ว่าอาทิตย์นี้ value ของหุ้นที่เราลงทุนไป ได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ เราก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเราจะต้องไม่ไขว้เขวไปกับตัวเลขพวกนี้ เพราะตัวเลขพวกนี้เป็นอะไรที่ short-term gain หรือ short-term loss ไม่เกี่ยวกับการลงทุนแบบ long-term goal แบบระยะยาวอย่างที่เราต้องการ เวลาที่เราได้รับ email summary จาก SelfWealth เราจะไม่อ่าน เราจะลบ email ทิ้งเลยทันที เราไม่ต้องการรู้ว่าแต่ละอาทิตย์หุ้นขึ้นลงมากน้อยแค่ไหน เรารู้แต่ว่าเราต้องการที่ซื้อสะสมหุ้นของ LIC ไปเรื่อย ๆ เราก็เริ่มลงทุนในหุ้นของออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง เงินลงทุนมันก็ยังไม่เยอะมาก ยังอยู่ที่ 5 หลัก เราก็คิดว่าจะซื้อสะสมไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ ต้นเดือนจนกว่าจะมีเงินลงทุนในนั้นสัก 6 หลัก มันก็น่าจะ OK ในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะหันเหไปลงทุนหรือทำอะไรที่อื่น ทุกอย่างจะค่อย ๆ ก้าวไปทีละ step jigsaw ของการลงทุนจะค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง การเดินทางของ passive income ไม่ง่าย แต่เราก็คิดว่าทุกคนทำได้ เราอยากจะให้แนะนำให้ทุกคนไปลองอ่านหนังสือ "The Richest Man in Babylon" ดู "Part of my earning is for me to keep" หมายความว่าเงินส่วนหนึ่งที่เราหามาได้ เราควรจะต้องเก็บก่อน ก่อนที่จะเอาไปใช้จ่าย หลาย ๆ คนไม่มีการแบ่งเงินรายได้ออกมาเป็นสัดส่วน หลาย ๆ คนเงินรายได้ที่ได้มา ถูกนำเอามาใช้จ่ายหมดเลย ไม่มีการเก็บออม หรือเก็บเอาไว้เพื่อการอื่น ปรกติเราจะหักเงินส่วนหนึ่งเอามาลงทุน แยกออกมาอีกบัญชีหนึ่งเลยทุก ๆ เดือน ที่เหลือก็จะเป็นเงินค่าใช้จ่ายประจำวัน ที่เราจะแยกไปใส่ในพวก Daily Transaction Account ดังนั้นการที่เราหักเอาเงินจากรายได้เราส่วนหนึ่งมาเก็บออม หรือลงทุนนั้น ทุกคนสามารถทำได้ ไม่เกี่ยวกับว่ารายได้จะมากหรือรายได้จะน้อย รายได้มาก เราก็เก็บเอามาลงทุนมาได้มาก รายได้น้อย เราก็เก็บเอามาลงทุนได้น้อย แต่มันทำได้อยู่แล้ว ถ้าเราวินัยในการใช้เงินมากพอ ถ้าเราไม่เก็บเงินที่เราหามาได้ไว้ในบัญชีเดียว มีอะไรก็กดออกมาใช้ แบบนั้นหนะแย่ passive income และ semi-retire หรือ early retire ทุกคนสามารถทำได้ ถ้าหากเรามีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน ที่เหลือก็เป็นแค่การเดินทาง ว่าใครจะเดินทางถึงจุดหมายช้าหรือเร็ว เราจะเดินทางตรงหรือทางอ้อม ก็แค่นั้นเอง ทุกคนสามารถทำได้ เรามาเดินไปด้วยกัน จับมือกันไป กับชีวิตของการลงทุน
กับชีวิตที่ต้องการ passive income กับชีวิต goal-oriented มันก็มีบ้างเป็นบางที ที่ทำให้เราอาจจะเผลอโอนอ่อนผ่อนตามเงิื่อนไขของการลงทุนบางสิ่งบางอย่างที่เราตั้งไว้ บางทีเราก็ต้องบอกกับตัวเองว่า "ช้าก่อน" "ใจเย็น ๆ " อสังหาตัวนี้ ไม่ match กับ investment portfolio ของเรา แทบทุกอาทิตย์เราก็จะได้รับ new listing notification จาก realestate.com.au และก็จาก domain.com.au อยู่แล้ว ก็อาจจะมีบ้างที่ราคาของบ้านหรือ apartment อยู่ range ที่เราสามารถจ่ายได้ ก็อาจจะมีบ้างที่บ้านหรือ apartment นั้นมีคนเช่าอยู่แล้ว เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการหาข้อมูลเพิ่ม แต่พอ dig deep ลงไป apartment บางหลัง พื้นที่ใช้สอยก็เล็กเกิน อย่างเช่น 50 ตารางเมตร เป็นต้น เราคิดว่ามันแคบไปหนะ เราต้องการ apartment ที่มันมีพื้นที่ใช้สอย 60 ตารางเมตรขึ้นไป แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ปัจจัยใหญ่โต เพราะยังไงเสียมันก็มีคนเช่าอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องการไกลด้วยว่า ถ้าเผื่อวันหนึงคนเช่าคนนี้ย้ายออก แล้วเราจะหาคนเช่าได้ไวมากน้อยแค่น้อย ถ้าพื่นที่ใช้สอยมันแค่ 50 ตารางเมตรเอง ส่วนอีกหลังหนึง ค่า strata manaement fee ตกอยู่ที่ $795/quarter บ้าไปแล้ว แพงมาก ถ้าเราต้องจ่าย strata managment fee $795 ทุก ๆ 3 เดือน เงินที่ได้จากค่าเช่าก็คงสูญหายไปหมด เราคิดว่าเป็นอะไรที่ไม่คุ้ม strata managent fee ของ apartment แถว ๆ Queanbeyan ที่เราเห็นก็ประมาณ $500 - $575/quarter ซึ่งไม่ได้แพงอะไรมาก เราพอสู้ไหว เราเห็น apartment บางหลังราคาถูก มีคนเช่าอยู่แล้ว เราก็ต้องหักห้ามใจ เพราะหลังจากนั่งคำนวณอะไรคร่าว ๆ แล้ว เราคิดว่าคงเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม Robert Kiyosaki ก่อนที่เขาจะซื้อ apartment หลังแรก เขาต้องทำการบ้าน ทำ research ทำ analysis บ้านหรือ apartment 100 หลังก่อน ก่อนที่เขาจะซื้อ apartment หลังแรก เมื่อเปรียบเทียบกับเราแล้ว เรายังทำไม่ถึง 100 หลังเลย เราก็เลยได้แต่บอกตัวเองว่า ช้า ๆ ก่อน เอาที่มัน match กับ investment profile ของเราจริง ๆ ก่อน แล้วค่อยซื้อ ถ้ามันยังไม่ match กับ investment profile ของเรา เราก็อย่าเพิ่งรีบร้อนไปซื้อเลย (จะหักห้ามใจได้หรือเปล่านะ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเราเห็น apartment หลังหนึง ราคาจับต้องได้ น่าซื้อมาก) Great book from Robert Kiyosaki
พลาดได้ไงหละครับ Robert Kiyosaki คือ mentor ที่จุดประกายเรา เปลี่ยน mindset จากการเป็นลูกจ้าง (Employee) E จาก cashflow quadrant มาเป็น S (Self-Employed, Professional), ตอนนี้เราก็กำลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวเองจาก cashflow quadrant ด้านซ้าย ไปเป็น cashflow quadrant ด้านขวา (Business owner & Investor) ทุกอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ทุกอย่างมีที่มาและที่ไป Robert Kiyosaki คือแรงบันดาลใจคนแรกของเราในชีวิต ตั้งแต่อ่านหนังสือ Retire Young, Retire Rich เมื่อปี 2002 แล้ว mindset shift ก็เกิดขึ้น ความคิดก็เปลี่ยนไป เมื่อความคิดเปลี่ยน การกระทำก็เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมก็เปลี่ยน เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น Robert Kiyosaki retires ตอนอายุ 47 (Kim, ภรรยาอายุ 37) ถ้าเราสามารถ early retire หรือ semi-retire ได้ก่อน 47 ได้ก่อน Robert Kiyosaki ผู้ซึ่งเป็น mentor และแรงบันดาลใจ เราก็คิดว่า เราก็ไม่ต้องการอะไรมากแล้วในชีวิตนี้ ชีวิตที่เหลือ ขอ paying forward ให้ความรู้ ช่วยเหลือคนอื่นก็น่าจะพอแล้วมั้ง :) แอบคิดเสียงดังอีกแล้วเรา Financial education, financial knowledge เป็นเรื่องที่สำคัญ ความรู้เรื่องการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เสียดาย... ความรู้เรื่องการเงินไม่มีสอนในโรงเรียน เพราะครูเองก็ไม่มีค่อยมีความรู้เรื่องการเงินกัน พวกเราต้องอ่านหนังสือและก็ศึกษากันเอง นอกระบบการศึกษา... According to Rebert Kiyosaki, income ของเรา หรือรายได้แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ:
- ordinary income - portfolio income - passive income Ordinary income: คือรายได้ที่ได้จากการทำงานทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นรายได้หรือเงินเดือนของลูกจ้าง (จ่ายภาษีเยอะ) Portfolio income: คือรายได้ที่มาจากการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สิน ที่เราซื้อมาแล้วขายไป อย่างเช่นซื้อบ้านมาในราคา $400,000 ขาย $450,000 ผลต่างหรือกำไรที่ได้รับก็คือ portfolio ซึ่งก็คือ $50,000 หรือถ้าเราซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพทย์ ถ้าเราซื้อหุ้นมาหุ้นละ $2 แล้วขายออกไปที่ $2.10 ดังนั้น $0.10 ต่อหุ้นก็คือ portfolio income หรือเราเรียกกันว่า capital gain Passive income: คือรายได้ที่มาจาก asset ที่เรามี คือรายได้ที่มีเข้ามาเรื่อย ๆ ต่อให้เราทำงานหรือไม่ทำงานก็ตาม อย่างเช่น ค่าเช่าที่จากคนเช่าบ้าน คนเช่า apartment, ค่าลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา (หนังสือ, เพลง) โดยส่วนตัวแล้วเราชอบ passive income มากที่สุด แน่นอน passive income มันก็ต้องมีการลงทุนลงแรงในช่วงแรก แต่มันก็สบายไปตลอดชีวิตได้ |
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
December 2024
|