สิงคโปร์เป็นประเทศหมู่เกาะ
เป็นประเทศเล็ก ๆ ไม่แตกต่างจากจังหวัดภูเก็ต เป็นแค่ another dot on the map แต่ว่าเป็นประเทศที่พัฒนามาก เป็นประเทศที่ powerful มาก เพราะการเมืองการวางนโยบายที่เข้มแข็ง มีกฏหมายลงโทษนักการเมืองที่โกงกินที่รุนแรง เนื่องด้วยสิงคโปร์เป็นประเทศที่เล็ก สมัยเมื่อปี 1998-2001 ที่เราอยู่ที่สิงคโปร์ สิงคโปร์มีประชากรแค่ 3 ล้านคนเอง 20 ปีผ่านไป ตอนนี้สิงคโปร์มีประชากรมากถึง 6 ล้านคนแล้ว ซึ่งส่วนมากก็ import มาจากประเทศจีนและก็ประเทศอินเดีย เนื่องด้วยคนสิงคโปร์สมัยใหม่ new generation ไม่ต้องการมีลูก ไม่ต้องการมีภาระ รัฐบาลก็เลยต้อง import คนมาจากประเทศอื่น ถ้าพวกเธอไม่ต้องการผลิตลูกออกมา รัฐบาลก็ต้อง import คนมาจากประเทศอื่น ดังนั้นห้ามบ่น ห้าม complain จ๊ะ มันเป็นสัจธรรมของชีวิต ความคิดของคนสังคมเมือง ก็จะเป็นอะไรที่แตกต่างกันออกไป มันเป็นความคิดที่แตกต่าง มันเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป เนื่องด้วยสิงคโปร์เป็นประเทศหมู่เกาะ เป็นประเทศที่เล็ก ที่อยู่อาศัยส่วนมากก็จะเป็นตึกสูง เป็น condominium สูง ถ้าไม่สูงขึ้นฟ้า ก็เจาะลึกลงดิน เรายอมรับในความสามารถของวิศวกรของที่นี่จริง ๆ คือเขาเก่งมาก ทำได้แทบทุกอย่าง ประเทศเขาเจริญจริง ๆ ทางด้าน technology และ living standard นะ นโยบายการถือครอบครองที่ดินของที่นี่จึงมีจำกัด สมัยเมื่อสิงคโปร์ยังไม่ได้พัฒนาถึงขนาดนี้ สมัยก่อนก็ยังมีทุ่งนา มีไร่ มีสวน ตอนนี้ไม่มีแล้ว ที่ดินทุกที่ ที่ดินทุกแปลง ถูกเวนคืนเป็นของรัฐบาลเกือบ 99% จะมีแค่หมู่เกาะเล็ก ๆ รอบนอกที่ยังมีความเป็นทุ่งนา เป็นไร่ เป็นสวน หมู่เกาะเล็ก ๆ รอบนอกเหล่านั้นก็จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้พวกเราไปเที่ยวกัน เสาร์ อาทิตย์ ไปปั่นจักรยานเล่นกัน นั่งเรือจากสิงคโปร์ไปไม่กี่นาที พื้นที่ดินทั้งหมดของประเทศที่ไม่ถูกเวนคืน เราก็จะเรียกว่า freehold ซึ่งหมายความว่าเจ้าของสามารถเป็นเจ้าของที่ดินได้ ปลูกสร้างบ้านได้ และถ่ายเทกรรมสิทธิ์เป็นของตัวเองจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูกได้ ซึ่งราคาจะแพงแสนแพงมาก... ที่ดินที่เหลือนอกนั้นก็จะเป็นของรัฐบาล; 99% รัฐบาลก็จะบริหารที่ดินเหล่านั้นเองบ้าง หรือปล่อยให้เช่าให้กับบริษัทเอกชนบ้าง บริษัทเอกชนก็จะสร้าง condominium และคนที่ซื้อก็สามารถเป็นเจ้าของได้แค่ 99 ปี ซึ่งก็มากเกินพอสำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ นี่เป็นนโยบายที่ประเทศหมู่เกาะหลาย ๆ ประเทศนำมาประยุกต์ใช้กัน การเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ 99 ปี (Fiji เป็นต้น) ที่ดินที่รัฐบาลบริหารเอง สร้างตึกอาคารที่อยู่อาศัยเอง เราก็เรียกว่า HDB; Housing and Development Board คนสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็น citizen หรือ PR (Permanent Resident) จะสามารถมี HDB flat ได้แค่ 1 หลังเท่านั้น หลังที่ 2 หรือหลังต่อ ๆ ไปจะต้องเป็น condominium ที่ซื้อจากบริษัทเอกชนเท่านั้น เราเรียกกันว่า 2nd property 2nd property ก็จะแพงมาก ห้อง unit เล็ก ๆ ไม่กี่ตารางเมตร ก็ 1 ล้าน SGD ขึ้นไป อัตราแลกเปลี่ยนเงิน SGD กับ AUD ปรกติแล้วใกล้เคียง 1:1 มาก แต่ตอนนี้เงินของ AUD อ่อนตัวมาก เงินของ SGD ก็เลยมีค่ามากกว่านิดหนึ่ง แต่ไม่มากนัก จุดประสงค์ของ HDB หรือตึกที่ดูแลโดยรัฐบาลสิงคโปร์ก็เพื่อให้ชาวสิงคโปร์ได้มีที่พักอาศัย ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อให้คนเช่าหรือเก็งกำไร สำหรับใครก็ต้องการใช้เช่าตึก HDB เราก็ต้องทำเรื่องอนุญาตผ่าน HDB ซึ่ง apartment ที่เราซื้อ เราก็ต้องขออนุญาตและทำเรื่องเพื่อปล่อยให้คนเช่าได้ มันก็อาจจะวุ่นวาย มี paperwork เยอะนิดหนึ่ง แต่มันก็ทำได้ ดังนั้น ถ้าคิดจะลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ข้ออ้างอย่าเยอะ มองทุกอย่างให้เป็นโอกาส 2nd property หรือบ้าน/apartment หลังที่ 2 จะต้องจ่ายภาษีในอัตตราที่สูงกว่าปรกติ เพราะรัฐบาลก็ถือว่าคนที่มีกำลังซื้อบ้านหรือ apartment หลังที่ 2 ต้องมีกำลังในการจ่ายภาษีที่สูงกว่า ถึงแม้กฎหมายจะเข้มงวดในการถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่สิงคโปร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำการลงทุน หรือมี passive income จากประเทศนี้ไม่ได้ มันก็มี way ของมันอยู่ ก็อย่างที่บอกแหละ ข้ออ้างอย่าเยอะ คิดแล้วทำ ทำทันที เรากับภรรยาก็มี apartment ที่สิงคโปร์แค่ห้องเดียว; fully furnished 2 bedroom unit, เราก็สามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่ดี เราซื้อมาประมาณ 6 ปีแล้ว เป็น brand new unit เรายังไม่ได้เข้าไปอยู่เลย เพราะเราซื้อตอนที่เราที่ออสเตรเลีย เราก็ปล่อยให้เช่าตลอด ถ้าช่วงไหนที่เราเดินทางมาสิงคโปร์ แล้วเผอิญเป็นช่วงที่ห้องเราว่าง เราก็ได้เข้าไปพัก แค่ไม่กี่วันเอง เพราะบ้านหลังอื่นพวกเราก็มีกัน ที่เป็นของ sister in law เป็นของครอบครัวเรา ดอกเบี้ย home loan ที่สิงคโปร์ต่ำมากเมื่อเทียบเท่ากับดอกเบี้ย homeloan ที่ออสเตรเลีย ดอกเบี้ย home loan ที่พวกเรากู้มา ก็อยู่ที่ 2.99% และกู้เป็นระยะเวลา 29 ปี แต่เราจ่ายทั้งหมดแล้ว เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หมดหนี้หมดสิน จ่ายให้มันจบ ๆ ไป นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แฟนเราและลูกลิงพากันมาสิงคโปร์ summer นี้ เพื่อมาจัดการเรื่อง paperwork เรื่องบ้านด้วย ก็จัดการจ่ายให้มันหมด ๆ ไป ก็ถือว่าพวกเราก็ debt free ที่สิงคโปร์แล้ว จ่ายค่าบ้านที่สิงคโปร์ได้ภายใน 6 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องทำงานหนัก และ discipline กับการจับจ่ายใช้สอยเงินทอง ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีหนี้ของ apartment ที่สิงคโปร์แล้ว แต่ apartment หลังนี้มันก็เป็น positive cashflow income มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เพราะดอกเบี้ยต่ำ เราจ่าย 2.99% หรือคิดเป็นเดือน ๆ ละ $775 (เราจำง่าย ๆ ที่ $800) และค่าเช่าเราปล่อยให้เช่าที่ $2,250/เดือน ซึ่งยังไงก็ได้กำไรอยู่แล้ว ก็โชคดีที่คนเช่าเราเป็นพวกทำงานแบบ professional มีกำลังในการจ่ายค่าเช่า เราก็เลยสบายหน่อย จ่ายภาษีสิ้นปีทุกปีที่สิงคโปร์ ยังไงก็เหลือกำไร เป็น passive income อยู่ ดังนั้น คนเราถ้าคิดจะมี passive invome ข้ออ้างอย่าเยอะ อย่ามัวแต่คิดว่า ที่ประเทศนั้นทำลำบาก ประเทศนี้ทำลำบาก จริง ๆ แล้วมันสามารถทำได้หมด ถ้าศึกษาให้ดี ๆ มันก็ทำได้ ถ้าคนเราคิดจะทำอะไร ข้ออ้างไม่ต้องเยอะ คิดแล้วทำ ทำทันที อีก 1 blog เกี่ยวกับการลงทุน อีก 1 blog เกี่ยวกับประสบการณ์ตรง อัก 1 blog เกี่ยวกับ passive income ชอบแปลว่า "ใช่" แต่ถ้าถูกใจ ช่วย "แชร์" เราเป็นคน 3 ประเทศ; Thai, Australia & Singapore (ถ้าไม่นับรวม New Zealand ด้วย)
ช่วงนี้เราอยู่ที่สิงคโปร์ ลูกลิงปิดเทอม บวกกับช่วงตรุษจีน Chinese New Year มันก็เลยเป็นโอกาสดีที่เราก็ได้กลับมาหาเพื่อน ๆ เราที่สิงคโปร์ด้วย ที่สิงคโปร์ เราก็ยังมีจดหมาย มีเอกสารทางราชการและเอกสารการลงทุนอะไรต่าง ๆ ส่งมาที่บ้าน ซึ่ง sister in law ก็จะเก็บเอาไว้ให้ กลับมาสิงคโปร์คราวนี้เราก็ได้มีโอกาส clear พวกจดหมายและเอกสารต่าง ๆ อย่างละเอียด เอกสารเรื่องบ้านบ้าง เอกสารเรื่องภาษีบ้าง และเอกสารในการลงทุนบ้าง ที่เราลงทุนและซื้อหุ้นเอาไว้ เมื่อสมัยเมื่อครั้งกระโน้น ช่วงปี 2000 นานมากแล้วจริง ๆ กลับมาคราวนี้เราก็เลยมีโอกาสเปิดดูจดหมายแต่ฉบับอย่างช้า ๆ ปรกติเวลาคนในครอบครัวเราเดินทางไปออสเตรเลีย และพวกเขาถือจดหมาย หรือ statement พวกนี้ไปให้เราที่ออสเตรเลีย แต่เราก็ไม่ค่อยมีเวลาดูเท่าไหร่ แค่เปิดผ่าน ๆ แล้วก็ scan เก็บเอาไว้ ก็ยังดีที่ scan เก็บเอาไว้ ไม่ได้โยนทิ้งไปเลย การลงทุนในตลาดหลักทรัพทย์ของสิงคโปร์; SGX (Singapore Exchange) เมื่อสมัยยังละอ่อน มันเป็นการลองผิดลองถูก มันเป็นการทดลองแบบเด็ก ๆ มันเป็นการทดลองซื้อขายหุ้นแบบคนไม่มีประสบการณ์ เพราะนั่นคือประสบการณ์ครั้งแรกในการซื้อขายหุ้น หรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตอนนั้น vergin มากกับเรื่องแบบนี้ ก็แค่อยากลอง ก็แค่อยากรู้ ก็เพราะเห็นเพื่อน ๆ ซื้อขายกัน ก็เพราะเห็นเพื่อน ๆ เล่นกัน เราก็อยากเล่นบ้าง อารมณ์นั้นเลยจริง ๆ เราด้อยประสบการณ์มากตอนนั้น มือใหม่ เมื่อยังละอ่อน แต่นั่นมันก็คือประสบการณ์ ทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น ถึงแม้ว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของเราที่ SGX จะไม่ค่อย work เท่าไหร่ อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้วิธีการลงทุน วิธีการซื้อขายหุ้น ทุกเหตุการณ์ดีเสมอ เราต้องมองหาข้อดีของแต่ละเหตุการณ์ให้ได้ ที่ SGX เราก็เหลือแค่ protfolio เล็ก ๆ เหลือแค่ 3 บริษัท ก็มี 2 บริษัทที่ไม่ค่อย work เท่าไหร่ อีก 1 บริษัท ก็รู้สึกว่า OK อยู่นะ 3 บริษัทที่ว่านี้: - เป็นบริษัทที่สิงคโปร์ 1 บริษัท (ไม่ work) - เป็นบริษัทที่ประเทศจีน 2 บริษัท (เขามา trade ที่ SGX เพราะที่สิงคโปร์ก็ถือว่าเป็น financial hub ของ Asia) ถึงแม้ 3 บริษัทนี้ มูลค่ามันอาจจะไม่ได้เยอะอะไรมาก แต่ 2 บริษัทจากประเทศจีนก็มีการแบ่ง dividend บ้าง อะไรบ้าง ก็ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ อีก 1 บริษัทที่สิงคโปร์ ก็เป็นพวกบริษัท dotcom ที่บูมตอนปี 2000 และก็มาเจอ dotcom burst เมื่อฟองสบู่แตก ทุกอย่างก็จบ ตอนนี้บริษัทซื้อขายหุ้นกันอยู่ที่ $0.350 SGD บ้าไปแล้ว จะขายทิ้งก็คงไม่ได้อะไรหรอก ก็เลยเก็บเอาไว้นั่นแหละ เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกราคาแพง ส่วนอีก 2 บริษัทจากประเทศจีน ก็เป็นบริษัทก่อสร้างพวก infrastructure อย่างเช่น สร้างเขื่อน สร้างถนนที่ประเทศจีน ซึ่ง 1 บริษัทก็ work อยู่นะ trade อยู่ที่ $2.38 SGD และก็มีการแบ่งปันผล (dividend) อีกบริษัทหนึ่ง ก็ไม่ค่อย work เท่าไหร่ แต่ก็มีการแบ่งปันผลบ้างเล็กน้อย ไม่เยอะมาก อย่างน้อยก็ถือว่า 2 ใน 3 บริษัทมีการแบ่งปันผล ก็ยังถือว่า OK เราก็จะเก็บ 3 บริษัทเอาไว้นี่แหละ ไม่ขาย และไม่มีการซื้อเพิ่ม เราไม่ได้อยู่ที่สิงคโปร์แล้ว ไม่ได้ศีกษาตลาดของที่นี่แล้ว และพวกบัญชีธนาคารต่าง ๆ เราก็จำ password Internet banking ไม่ได้แล้ว รู้แต่รหัส ATM ของตัวเอง ซึ่งก็เหลือเงินอยู่ไม่มากเท่าไหร่ เรายังจำได้สมัยเมื่อเรายังลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่สิงคโปร์ เราเคยต้องไปเข้าคิวสั่งซื้อหุ้นที่ตู้ ATM ตอนเที่ยงคืน เรามันเปิดให้จอง IPO ตอนหลังเที่ยงคืน ประสบการณ์แบบนี้เราก็ทำมาแล้วจ๊ะ สั่งซื้อหุ้นที่ตู้ ATM ตอนเที่ยงคืน ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของชีวิต นอกจากการลงทุนในตลาดหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ เราก็ยังมี Unit Trust ของ UOB ด้วย ตอนนี้ก็มี 4 Unit Trust ที่ซื้อเอาไว้ การลงทุนใน Unit Trust ที่เมืองไทยก็เรียกว่า "กองทุนสะสม" หรือออสเตรเลียหรือหลาย ๆ ประเทศก็เรียกว่า Mutual Fund หรือ Managed Fund กองทุนสะสมของ UOB ที่เราซื้อเอาไว้ก็มี - United E-Commerce Fund - United Global Technology Fund - United Global Telecoms Fund - United Greater China Fund เออ ดูสิ สมัยก่อนเราเป็นเด็ก IT เราก็จะลงทุนใน Unit Trust แต่ของพวก IT หรือพวก telelcommunication อะไรประมาณนี้ ก็ไม่ค่อย diversify เท่าไหร่นะ แต่ช่วงนั้นมันก็ dotcom boom จริง อะไรจริง แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็ได้เรียนรู้ เพราะทุกวันนี้เราก็เลิกลงทุนในพวกกองทุนสะสมเหล่านี้แล้ว ทั้งที่สิงคโปร์และที่ออสเตรเลีย เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ได้ตังค์คือพวก fund manager ตอนนี้เราชอบลงทุนในพวก index fund มากกว่า พวก LIC; Listed Investment Company เพราะพวก index fund ค่าบริการ management fee จะไม่แพงมาก ไม่เหมือนของพวกกองทุนสะสมที่เราต้องจ่าย management fee ให้กับ fund manager เยอะเกินความจำเป็น หุ้นขึ้น fund manager ก็ได้ตังค์ หุ้นลง fund manager ก็ได้ตังค์ (ปัญหาหลักของ superannuation ที่ออสเตรเลีย) index fund เขาก็ charge management fee เหมือนกัน แต่ก็ต่ำมากเมื่อเทียบเท่ากับ management fee ของพวกกองทุนสะสม Unit Trust หรือกองทุนสะสมของเรากับ UOB เราก็เก็บเอาไว้นี่แหละ ก็เก็บมาแล้วตั้งนาน ก็เก็บมันต่อไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ คนคิดว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เราจะต้องลงทุนใน 1 ตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นนะ ถ้าคนเราคิดจะลงทุนในระยะยาว เป็นพวก Value Investor (VI) ไม่ใช่พวก Trader ที่ซื้อมาขายไป ถ้าหากเราอยากจะลงทุนแบบระยะยาว แบบ VI เราก็ต้องศึกษาหาข้อมูล และก็ลงทุนกับบริษัทที่เราชอบ ที่เราคิดว่ามันจะมั่นคงในระยะยาว ไม่ได้ผันผวนกับสภาวะของตลาด ที่ออสเตรเลีย การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของเราตอนนี้ เราก็เน้นที่ LIC; Listed Investment Company ตอนนี้เราก็คิดว่าเราซื้อมาได้จำนวนโควต้าที่เราต้องการแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้ ก็ไม่แน่ เราอาจจะเลือกซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ เป็นบริษัทไปก็ได้ ตอนนี้ก็แอบ ๆ ศึกษาดูหุ้นบางตัวที่ออสเตรเลียอยู่ แต่ก็ต้องดูว่าเราจะสู้ราคาได้หรือเปล่า เพราะหุ้นเหล่านั้นที่เราสนใจ ราคามันก็ไม่ค่อย friendly กับกระเป๋าตังค์เท่าไหร่ นี่ก็เป็นอีก 1 blog อีก 1 investment diary ของเรา ชอบแปลว่า "ใช่" แต่ถ้าถูกใจช่วย "แชร์" สำหรับใครที่เป็นนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น stock market ที่ไหน ใครมีประสบการณ์ในการลงทุน อะไร ยังไง comment เข้ามาแชร์ เข้ามาแบ่งปันกันได้นะครับ "ตลาดหุ้นที่เมืองไทย"
ใครลงทุนในตลาดหุ้นที่เมืองไทยบ้างเอ่ย มี online broker อันไหนน่าใช้บ้าง แนะนำกันเข้ามาได้นะครับ มีอะไรเรามาแชร์ เอามาแบ่งปันกัน กับชีวิตที่เลือกแล้ว
กับชีวิตการลงทุน ถ้าหากจะเดินทางสายนี้ เราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองไทยหรือที่ไหน ๆ วันอาทิตย์ของเรา เราก็จะ dedicate เพื่อการ tidy up หรือ follow up เรื่องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของเรา ทุกสิ่งอย่างในชีวิตจะต้องไม่มีข้อแม้ ข้ออ้างไม่ต้องเยอะ วันอาทิตย์ ถ้าเราไม่ได้ติดต่อใครเรื่องบ้าน เรื่อง apartment ก็ต้องหาเวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ วันอาทิตย์ เป็นอะไรที่พยายามจะทำเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เราอาจจะไม่มีเวลามากเหมือนชาวบ้านเขา แต่เราก็มีวันอาทิตย์นี่แหละ ที่หัวสมองไม่ได้คิดเรื่องงาน ก็จะเอามาคิดเรื่องพวกนี้กัน ช่วงที่อยู่ที่เมืองไทย เราก็ได้มีการพูดคุยกับลูกพี่ลูกน้องเราว่า ปีหน้า target ในการซื้อ condo ของเราจะออกมาในรูปแบบไหน ปีที่แล้ว + ปีนี้ target ของเรา OK คือเราอยากจะได้ condo ปีละ 1 ห้อง ซึ่งก็ทำได้มาประมาณ 3 ปีติดต่อกันแล้ว ทุกอย่างก็เป็นที่น่าพอใจ ทุกห้องเราซื้อด้วยเงินสด วันนี้ 19 Jan 2020 เราก็ยังอยู่ที่เมืองไทย ก็เที่ยวบ้าง ทำงาน ติดต่อประสานงานกับลูกค้ากับทีมงานบ้าง แต่วันนี้วันอาทิตย์ ก็ยังคงเที่ยวบ้าง จัดการเรื่องอสังหาและการลงทุนของเราบ้าง ก็โชคดีที่เราเป็นคนตื่นแต่เช้า เราก็มีเวลาทำนั่น นี่ โน่น ก่อนที่ลูกลิงทั้งหลายจะตื่นออกมาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ก่อนที่จะออกเที่ยวเตร็ดเตร่ขับรถเล่นแถวนี้ ชีวิตเราก็ยังไม่ได้สบายอะไรมาก ก็ยังคงต้องสู้ แต่ก็ดีหน่อย เราก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก ถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ เขา เราก็คงไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เราก็จะยังคงทำอะไรของเราต่อไปเรื่อย ๆ passive income จนกว่าเมื่อเวลามาถึง เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น เราก็มี time line ของเราอยู่ในใจนี่แหละ การวางเป้าหมายทุกอย่างในชีวิต เราจะต้องวางเป้าหมายให้เป็นรูปธรรม ให้ชัดเจน จับต้องได้ ต้องการอะไร เท่าไหร่ ใช้เวลานานแค่ไหน ทุกอย่างต้องเป็นรูปธรรม ไม่ใช่ตั้งเป้าหมายแบบลอย ๆ เป้าหมายเราค่อนข้างชัดเจน ต้องการอสังหา xyz หลัง, positive cashflow เดือนละ $xyz, ภายในระยะเวลา xyz ปี เราต้องกำหนดเวลาให้ชัดเจน ไม่วาดฝัน ทุกอย่างต้องจับต้องได้ measure ได้ วันนี้เราก็จะชีวิตเปื้อนฝุ่นของเราต่อไปที่เมืองไทย เหนื่อยได้ ท้อได้ พักได้ แต่อย่าหยุด ...LOVE... 19 Jan 2020 ที่นี่ประเทศไทย แต่ละคนมีหลักการในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างกันออกไป
ของเราเป็นแบบนี้ ของคนอื่นเป็นยังไง เราไม่รู้ และเราก็ไม่ขอ judge ใครทั้งสิ้น แต่เราก็พร้อมที่รับฟังความคิดเห็น และ strategy ของแต่ละคน ที่เราเลือกที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะเราต้องการมี passive income เราไม่ต้องการทำงานไปจนแก่เฒ่า ถ้าจะยังทำงานต่อไปก็คงเป็นเพราะใจรัก ไม่ได้ทำเพราะเป็นห่วงเรื่องปากท้องหรือเงินทอง เราต้องการใช้ passive income เป็นเครื่องมือในขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตของเรา เราต้องการ financial freedom ไม่ต้องรวย ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ และเราก็ไม่กะที่จะทิ้งมรดกอะไรไว้ให้ใคร ลูกเราก็ต้องหากินกันเองหนะจ๊ะ เราเลี้ยงลูกกึ่งไทยกึ่งฝรั่ง ไอ้การที่เราจะทำงานหนักเพื่อลูกเหรอ เราไม่รู้จักจ๊ะ มันหมดยุคไปแล้ว ตายละ ใครเกิดเป็นลูกเรา ชีวิตท่าทางลำบากน๊อ ไม่จ๊ะไม่ ก็ลองเอาชีวิตพวกเขาไปเปรียบเทียบกับชีวิตของคนที่มาจากประเทศที่ด้อยพัฒนาหละก็ ชีวิตพวกเขาดีมากเลยแหละ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง :) กลับเข้าเรื่อง passive income เราไม่ได้กะจะ retire เราก็จะยังคงทำงานที่เรารักต่อไป แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องมา stress เรื่องของรายได้ อยากจะ semi-retire ไม่ต้องทำงานหนักมากจนเกินไป ทำอะไรช้าลงบ้าง ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองอีกหน่อย อยู่กับสายลมและแสงแดด ทะเลและภูเขา อะไรประมาณนี้ semi-retire ทำงานไปด้วย เที่ยวไปด้วย เราว่ามันเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ชีวิตเรา passive income ทำได้หลายแบบ อสังหาริมทรัพย์ที่เรามี เรามีหลักการเลือกซื้อง่าย ๆ คือ "ต้องเป็น positive cashflow ตั้งแต่วันแรก" เราไม่ต้องการที่จะควักเงินออกจากกระเป๋าทุก ๆ week เพื่อที่จะ topup ส่วนต่างของ negative cashflow income บางคนชอบ negative gearing เพื่อที่จะลดหย่อนภาษี แต่เราคิดว่า long-term มันเป็นอะไรที่ไม่ work เราชอบ positve cashflow income ตั้งแต่วันแรกที่ซื้อเลย ดังนั้นอสังหาริมทรัพย์ที่เราซื้อที่ออสเตรเลีย จะต้องมีคนเช่าอยู่แล้วเท่านั้น เราจะไม่ซื้อพวกที่ไม่มีคนเช่าอยู่แล้ว เพราะเวลาที่เราต้องมาลงประกาศหาคนเช่า นั่นมันคือเวลาที่เสียไป การที่เรามี positive cashlow income ตั้งแต่วันแรกที่เราซื้อเลย มันก็เป็นการดี เป็น peace of mind คือซื้อแล้วก็ลืม (buy and forget) เราจะได้เอาสมองและเวลาของเราไปคิดเรื่องอย่างอื่น เวลาที่เราไปดูบ้านหรือ apartment ที่เราซื้อเพื่อการลงทุน มันก็มีวิธีการคำนวณ ROI; Return of Investment ง่าย ๆ คือ: รายได้จากค่าเช่าต่อปี ลบรายจ่ายทั้งหมดต่อปี หารด้วยราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เราซื้อ แล้วคูณด้วย 100 แต่ถ้าบางทีชีวิตมันยุ่งเหยิง ก็คิดง่าย ๆ ว่า รายได้จากค่าเช่าต่อปี หารด้วยราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เราซื้อ แล้วคูณด้วย 100 (แล้วค่อยมานั่งคำนวณแบบ version แรกทีหลัง) ยกตัวอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ราคา $190,000 ค่าเช่า $300/week ROI = ($300 x 52)/$190,000 x 100 = 8.21% ดอกเบี้ยธนาคาร ถ้าเป็น investment property มันก็จะสูงกว่าบ้านที่เราซื้อเพื่ออยู่เอง สมมุติว่า Low Docs Home Loan ของ RAMS ดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.47% ดอกเบี้ย Low Docs Home Loan ของ RAMS อาจจะไม่ถูกมาก แต่ ROI 8.21% ยังไงก็มากกว่า 4.47% อยู่ดี แต่อย่าลืมนะครับ ถ้าจะคำนวณแบบจริงจัง ก็ให้ใช้ version แรก คือเราต้องเอาค่าเช่าตลอดปี (52 weeks) แล้วเอารายจ่ายทั้งหมดของทั้งปีมาลบออกด้วย รายจ่ายของทั้งปีก็จะมี: - council rate - strata fee (ถ้าเป็น apartment) - agent fee (เราเลือกที่จะให้ agent ดูแล property ของเรา เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น agent fee แถว ๆ NSW จะอยู่ที่ 8% ของค่าเช่า ที่รัฐอื่นเราไม่ค่อยรู้) ดังนั้นเพื่อเป็นการคำนวณแบบคร่าว ๆ และเร็ว ๆ ว่าอสังหาริมทรัพย์ตัวนี้จะเป็น positive cashflow income หรือเปล่า ให้เราบวกอัตราดอกเบี้ยของธนาคารเข้าไป อีก 1% เพื่อที่จะ cover ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นรายปีด้วย ดังนั้นใน case study แบบนี้ Low Docs Home Loan จาก RAMS 4.47% + 1% = 5.47% และ ROI จากการคำนวณคร่าว ๆ ก็เป็น 8.21% ยังไงเสีย 8.21% ก็ยังมากกว่า 5.47% ดังนั้น property หลังนี้ก็เป็น positive cashflow income นั่นคือ property หลังนี้สามารถทำเงินได้ตั้งแต่วันแรกที่ซื้อเลย Please note: - เรากู้ธนาคารไม่เกิน 80% เพราะถ้าเรากู้เกิน 80% เราต้องจ่ายค่า mortgage insurnace - ดังนั้น เราก็ต้องมีตังค์เอาไว้จ่ายค่า deposit อยู่แล้ว 20% Anyway, นี่คือการคำนวณคร่าว ๆ ของเรานะครับ ใครจะลองเอาไปประยุกต์ใช้ดูก็ได้ เราก็ได้แต่หวังว่า blog ของเราที่เขียนไป ประสบการณ์ที่เราแชร์ออกไป จะได้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คนนะครับ ทุกบาททุกสตางค์ที่เราใช้ในการซื้อ property เราหามาเองด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา ดังนั้นการทำงานหนัก ก็เป็นอีก key factor เพราะเรไม่ได้ขอเงินจากทางเมืองไทยเลย ทุกอย่างเราสร้างมาเอง ด้วยสมองและสองมือที่มี เราไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ถ้าเราทำได้ คนอื่นก็ต้องทำได้ เราขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ จอห์น เผ่าเพ็ง 12/01/2020 |
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
December 2024
|