แต่ละคนมีความฝันที่แตกต่างกัน
แต่ละคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เราก็ไม่ต้องเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับใคร หลาย ๆ คนเริ่มต้นลงทุนในอสังหาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งก็ดีไป เรายินดีด้วย บางคนอยู่ในวงการอสังหา 10+ ปี ซึ่งเราก็ยินดีด้วย เราเริ่มต้นค่อนข้างช้า หาเงินคนเดียว แต่กินกัน 4 ปาก และอีกหลาย ๆ ปากที่เมืองไทย ชีวิตไม่ง่าย ภรรยาเราเพิ่งมาช่วยงานบริษัทเมื่อตอนลูก ๆ เข้าเรียน high school เอง ก่อนหน้านั้นเขาก็ทำหน้าที่ดูแลลูก ๆ แบบ full-time มีช่วยงานบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เต็มตัว บ้านหลังแรกที่เราซื้อ 14 Nov 2017 เพิ่งซื้อได้ไม่นาน ก็เพิ่งจะมีบ้านหลังแรกในออสเตรเลียเมื่อแค่ 5-6 ปีที่แล้วนี่เอง asset อะไรต่าง ๆ อาจจะไม่ได้เยอะเท่าคนที่เขาอยู่ในวงการมานานกว่าเรา ทุกคนมีความฝันที่แตกต่างกัน หลาย ๆ คนอาจจะอยากเป็นบ้านหลังใหญ่ ๆ โต เป็นคฤหาสน์ แต่เราไม่ต้องการ เราต้องการบ้านที่อยู่กันแค่ 2 คนเรากับภรรยาก็พอ เพราะเราไม่ต้องการอยู่เป็นหลักแหล่ง ชีวิตที่แพลนกันเอาไว้คือ: - 3 เดือนออสเตรเลีย - 3 เดือนเมืองไทย - 3 เดือนสิงคโปร์ - 3 เดือนเที่ยวต่างประเทศ ไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ดังนั้นบ้านหลังใหญ่ไม่เคยมีอยู่ในหัว เพราะไม่เคยคิดอยู่เป็นหลักแหล่ง และอยากจะใช้เวลาอยู่ที่วัด ปฏิบัติธรรมมากกว่า ขอให้มีเงินบัญชีเยอะ ๆ หรือมีเงินไหลเข้ามาในบัญชีเรื่อย ๆ ทุก ๆ 2 weeks เป็น passive income เราก็พอใจแล้ว เราค่อนข้างมีตัวเลขที่ชัดเจนอยู่ในหัวว่าเราต้องการ passive income ต่อ week อยู่ที่เท่าไหร่ และ plan ค่อนข้างชัดเจนว่าจะต้องทำอะไร step-by-step; 1-2-3-4 เพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น ทุกอย่างมีการวางแผน เป้าหมายสำหรับการลงทุนของเราตอนนี้คืออยากมี investment property ที่เป็น duplex ซักหลัง สองหลัง บ้านติดกัน ปล่อยให้คนเช่าทั้ง 2 ได้ 2 income แต่ตอนนี้เรายังเดินไปไม่ถึงจุดนั้น ตอนนี้เก็บเล็กผสมน้อยไปก่อน ทำตัวเป็น "ป่าล้อมเมือง" ไปก่อน ภาพนี้จะเป็นภาพที่เราแปะเอาไว้ Googe Keep เก็บเอาไว้ดูเป็น "เป้าหมาย" เอาไว้พุ่งชน วันนี้เราอาจจะเดินยังไม่ถึงจุดนั้น แต่เราจะเดินไปเรื่อย ๆ เหนื่อยเราก็จะพัก แต่เราจะไม่หยุดเดิน ซักวันมันก็จะถึงเป้าหมายของเราเอง เราก็ set เวลาเอาไว้อยู่ว่าต้องถึงจุดนั้น ๆ ภายในกี่ปี ...ซักวันมันก็ต้องมีวันของเราบ้างแหละ... จากศูนย์ถึงหมื่นร้อยพัน From Zero to Hero การลงทุนของเราค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น
เราไม่ได้เน้นที่ capital growth เพราะเราไม่ได้กะจะขายอยู่แล้ว แต่ถ้ามี capital growth เข้ามาก็ดี เราก็สามารถดึง equity ออกมาเพื่อใช้ equity ตัวนี้ในการซื้อบ้านหลังต่อไป เมื่อเราไม่ได้เน้นที่ capital growth มากนัก เราก็ต้องหักห้ามใจจากการซื้อบ้าน off the plan ซื้อได้ แต่อย่าเยอะมากจนเกินไป เราก็ต้องหักห้ามใจ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการตลาด ต้องไม่โดนป้ายยาบ่อย :) การซื้อบ้าน off the plan คือการซื้อสินค้าในราคาปลีก ซื้อสินค้าในราคา at the end of the line product ซึ่งหมายความว่า: - developer ทำกำไรไปแล้ว - real estate agent ทำกำไรไปแล้ว เราเน้น positive cashflow income ตั้งแต่ day 1 นั่นคือซื้อ established home ที่มีคนเช่าอยู่แล้ว อาจจะหายากหน่อย แต่มันก็มีครับ ดูไปเรื่อย ๆ ที่ realestate.com.au สาเหตุที่เราเน้นที่ positive cashflow income ก็เพราะเราต้องการให้ positive cashflow income เหล่านี้เข้ามาแทนที่ active income ที่เราได้จากงานประจำหรือธุรกิจที่เราทำอยู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่ positive cashflow income เหล่านี้สามารถ replace income ที่เราได้จากงานประจำหรือการทำธุรกิจ นั่นก็หมายถึง positive cashflow income เหล่านี้สามารถ fund lifestyle เราได้แล้ว เราสามารถมีชีวิตอยู่แบบไม่ต้องทำงานก็ได้ เพราะทุก ๆ 2 weeks เราก็ได้ positive cashflow income เข้ามาในบัญชี การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศออสเตรเลีย เราสามารถบอกให้ agent โอนเงินเข้าบัญชีเราเดือนละครั้งหรือเดือนละ 2 ครั้งได้ เราก็ให้ agent โอนเงินเข้าบัญชีเดือนละ 2 ครั้ง ก็วันที่ 15 ของเดือนและสิ้นเดือน (30/31, 28/29) ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดีมากที่ทุก ๆ 2 อาทิตย์เรามีเงินเข้ามาในบัญชี แต่อย่าลืมว่าเราก็ต้องจ่าย mortgage นะครับ ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ค่าเช่าต้อง cover ค่า mortgage ถ้าไม่ cover มันก็จะกลายเป็น negative cashflow เลยทันที ซึ่งเราไม่ต้องการ negative cashflow คือเราต้องควักเงินเพิ่ม ซึ่งเราจะไม่ทำเป็นอันขาด เราไม่ต้องการซื้อบ้านมาเพื่อเป็นภาระ ซื้อมาเพื่อรอให้ราคาขึ้นแล้วขายต่อ แบบนั้นไม่ใช่ เราซื้อเพื่อเก็บและก็เพื่อเอา passive income จะมากจะน้อย ก็ต้องเป็น positive cashflow ต่อให้เป็น positive cashflow แค่ $1/week ก็ยังถือว่าเป็น positive cashfow คือมีเงินเข้ามาในบัญชี ไม่ใช่ negative cashflow ที่เงินออกจากบัญชี ที่เราต้องไป top up แบบนั้นไม่เอา ส่วนใครที่ซื้ออสังหาแล้วต้อง top up เงินทุก ๆ week หรือเป็น negative gearing ก็ไม่ว่ากัน สะดวกใครสะดวกมัน established homes ที่เราซื้ออาจจะไม่ได้ flashy เหมือนบ้านใหม่ บ้าน off the plan ที่หลาย ๆ คนลงโอ้อวดกันใน social media ว่าบ้านตัวเองสวย บ้านตัวเองหรู แต่มันทำเงินครับ เราซื้อมาเพื่อเป็น passive income ไม่ได้ซื้อมาเป็น trophy ไว้โอ้อวดคน หรือถ้าจะมีก็มีแค่ 1-2 หลังพอ อย่าเยอะมาก ของเราก็แอบมีเหมือนกัน ที่ซื้อไว้ที่ Surfers Paradise (7-Star hotel) อันนี้ให้รางวัลชีวิต เอาแค่ 1-2 หลังพออย่างที่บอก :) Anyway... investment strategy ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครที่ชอบซื้อมาขายไป ก็ไม่เป็นไร ก็ทำไป ใครก็ชอบ passive income เพื่อ fund your lifestyle ก็ทำไป เราต้องการแบบหลัง ต้องการ semi-retire ต้องการใช้ชีวิตแบบ worry free เรายังมีอะไรหลายอย่างในชีวิตที่เราอยากจะทำ แบบไม่ต้องมา worry เรื่องการทำงาน ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องมานั่งโดนกดดันจากลูกค้าเรื่องการทำ case อะไรต่าง ๆ นานา ชีวิตเรือจ้างก็ใช่ว่าจะสบายนะครับ งานของ "J Migration Team" เงินมันเยอะจริง ไม่เถียง แต่เราก็โดนกดดันหลายอย่างจากลูกค้าเหมือนกัน ชีวิตไม่ง่าย ไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่คนภายนอกคิด แต่... anyway... นั่นมันคือชีวิตของ "เรือจ้าง" ถ้าเป็น chef แล้วทนความร้อนของกระทะ ของไฟไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็น chef ฉันใด ถ้าทนแรงกดดันของชีวิต "เรือจ้าง" ไม่ได้ หรือไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ บางทีเราก็ต้องหาอะไรอย่างอื่นทำ แต่ก่อนที่จะหาอะไรอย่างอื่นทำ เราก็ต้องหา income ตัวใหม่ ซึ่งก็อาจจะเป็น passive income ก็ได้ เข้ามา replace income ตัวปัจจุบันอยู่ เพราะชีวิตก็ยังคงต้องกินต้องใช้ passive income ลองศึกษาหาความรู้ดูนะครับ หนังสือดี ๆ มีให้อ่านเยอะ โดยส่วนตัวเราก็อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ มันได้อรรรสในการอ่าน มันได้อ่านจาก original หนังสือไทยที่แปล ๆ กันออกมา ส่วนมากก็จะออกมาค่อนข้างช้า และบางทีเวลาแปลก็ใช้คำศัพท์แปลก ๆ ซึ่งเราไม่อิน Real estatement agent คือคนขายบ้านนะครับ หน้าที่ของเขาคือ "ขายบ้าน" เขาไม่ใช่ financial advisor ต่อให้เป็น financial advisor ก็ตามเถอะ เราก็ต้องดูด้วยว่า "เขาทำได้ในสิ่งที่เขาแนะนำแล้วหรือยัง" โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบศึกษาเองครับ เดินไปที่ Dymocks แล้วซื้อหนังสือมาอ่านเอง อ่านเองศึกษาเอง เพราะเราเป็นคนชอบอ่าน อ่านเสร็จก็นำเอามมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง หนังสือบางเล่ม อ่านเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจจจะไม่เข้าใจ ไม่ get เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างยังไม่พร้อม พอเราได้เริ่มลงทุน แล้วกลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิม เออ... เฮ้ย... มันเข้าใจ มัน make sense แบบนี้ก็มีเหมือนกันครับ :) passive income จากอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่ง tool ที่หลาย ๆ คนใช้ในการ retire หรือ semi-retire จริตของใครมันอาจจะแตกต่างกัน ก็ลองศึกษากันดูนะครับ เราก็ได้แต่หวังว่า blog นี้ post นี้จะเป็น inspiration ให้กับใครหลาย ๆ คน ไม่มากก็น้อย ก่อนสิ้นปี 2022, ในที่สุด สุดที่รัก
หลังที่ 2; VIC 23/12/2022; ก่อน Christmas จะเป็นหลังสุดท้ายที่ออกสื่อ แต่จะไม่ใช้หลังสุดท้ายที่จะซื้อ ปี 2023 ก็จะยังทยอยซื้อไปเรื่อย ๆ เท่าที่แรงเรามี ไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นเข้าซื้อกันราคาเท่าไหร่ ได้ equity กันเท่าไหร่ post โอ้อวดกันเท่าไหร่ เราก็ซื้อเท่าที่แรงเรามี VIC ก็ยังเอื้อมได้อยู่ และเราก้ไม่ได้ซื้อในเขตหรูหราหมาเห่าอะไร หลังเล็ก ๆ 3 ห้องนอน VIC ก็น่าจะซื้อเก็บได้ปีละหลังอยู่ ก็มีคนดูแล portfolio ที่ VIC ที่เขารู้ requirement ของเรา ไม่ต้องคุยกันเยอะ VIC ก็น่าจะทยอยซื้อได้เรื่อย ๆ ทุกปี ถ้ายอดขายของ "J Migration Team" ยังเป็นแบบที่เป็นอยู่ ก็ต้องยอดขายไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ เดือน นอกจาก VIC เราก็คงเบนเข็มไปที่ WA WA มีก็แล้ว 2 หลังและก็จะทยอยเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ diversify ไปเรื่อย ๆ ที่โพสต์มาทั้งหมดเราไม่ได้หวังจะอวดอ้างใคร เราโพสต์ใน blog และพื้นที่ของเรา; johnpaopeng.com เพื่อที่จะเป็น inspiration ให้กับหลาย ๆ คน From Zero to Hero นั้นทำได้ ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยัน และอดทน แล้วฟ้าจะประทานพร ชีวิตคนเราหากมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้
ทุกการศึกษาหาความรู้ จะนำเราออกจากวงจรเดิม ๆ เราจากเด็ก IT; Computer Science ผู้ที่ไม่เคยคิดจะออกมาทำอะไรเองเลย ก็คิดว่าจะเป็นพนักงานในบริษัทไปเรื่อย ๆ ทำงานไปเรื่อย ๆ ไต่ corporate ladder ไปเรื่อย ๆ เพราะตอนที่ทำงานตำแหน่งสุดท้ายก็คือ Senior Software Enginner ได้ title "Senior" เพราะว่าทีม computer programmer มีแต่เด็ก ๆ จบใหม่ คนที่อยู่มาก่อนก็เลยต้องเป็น "senior" และเราก็ได้เป็น manager ของ IT department สรุปคือตำแหน่งสูงสุดของ IT department มีลูกน้องที่แก่กว่าเราถึง 10 ปี และก็บินไปสัมนาได้ทั่วโลก นึกอยากจะไปญี่ปุ่นก็ไป นึกอยากจะไป San Francisco ก็ไป ตอนนั้นเขามีงานสัมนา JavaOne ถ้าใครได้ไปนะ เท่มาก เพราะเป็นการรวมตัวของ Java programmer จากทั่วโลก สัมนา 1 อาทิตย์ สัมนาด้วย เที่ยวด้วย ทุกอย่างบริษัทออก เงินเดือนสูง มีบัตร credit สีทองใช้ คือมันเท่มากตอนนั้น ถ้าใครมีบัตรทอง แสดงว่าเงินเดือนสูง เด็ก ๆ วัยละอ่อนหนะน๊ะ คิดกันแค่นั้นเองจริง ๆ เราไม่เคยคิดจะออกมาทำธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง เพราะงาน IT ค่อนข้างมั่นคง เงินเดือนเยอะ และกลุ่มเพื่อนฝูงอยู่ในแวดวง IT มันคุยภาษาเดียวกัน มันคุยกันรู้เรื่อง ถ้าได้คุยเรื่อง IT, เรื่อง computer programming มันคุยได้ทั้งวันจริง ๆ มันเป็นอะไรที่ amazing มาก แต่เมื่อเราได้อ่านหนังสือ Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki ความคิดของเราก็เปลี่ยนไปทันที เราเริ่มวางแผนเรื่องการเงินและอนาคต ไม่ได้คิดจะทำงานเป็นพนักงานบริษัทไปเรื่อย ๆ เราเริ่มอยากออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เราตั้งเป้าเอาไว้เลยว่า เมื่อพร้อม เราก็จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มี positive cashflow income และสามารถ semi-retire ใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการได้ คำถามที่อยู่หน้า page ที่เราปักหมุดเอาไว้ "What if money was no object?" "ถ้าเงินไม่ใช่ตัวแปรในชีวิต เราอยากจะทำอะไร" hmmm... มันทำให้เรารู้ว่ามันทำได้จริง ๆ นะ ความมุมานะ เพียร และพยายาม ซื่อสัตย์ สุจริต และจริงใจ แล้ว "กฎธรรมชาติ" จะทำงานของมันเอง ทุกอย่างมีเหตุและผลของมัน ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้จริง ๆ จากวันนั้น ถึงวันนี้ เรามาไกลนัก ความไฝ่ฝันสูงสุดก็คือ "Financial Freedom", Financial Independent ชีวิตที่นึกอยากจะทำอะไรก็ได้ทำ แต่ต้องไม่ฟุ่มเฟือยนะ พฤติกรรมตำพริกละลายแม่น้ำก็คงไม่เอา นิยามของคำว่า Financial Freedom ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่ละคนสะดวกไม่เหมือนกัน สำหรับเราแล้ว Financial Freedom คือศักยภาพของการทำอะไรกับชีวิตที่เราไม่ต้อง worry เรื่องเงิน มันไม่จำเป็นว่าเราต้องเลิกทำงานหรือ 100% retire ไปเลย สำหรับแล้ว เราก็ยังทำงานตามปกติ มีแรง เราก็ทำไป จริง ๆ แล้วเราก็ Financial Freedom ตั้งแต่ 01 Jul 2020 แล้ว แต่ 2 ปีที่ผ่านมา เราก็ยังทำงานตามปกติ เพราะเราก็คิดว่าเรายังมีแรงอยู่ ก็ทำไป ก็แค่นั้นเอง จริง ๆ เราต้องซื้อบ้านที่เป็น family home ตั้งแต่ Nov/Dec 2020 แล้ว ถ้าซื้อตอนนั้นนะ ประหยัดเงินไปเยอะ ตอน Nov/Dec 2020 เงินพร้อม ทุกอย่างพร้อม แต่ paper อะไรหลาย ๆ อย่างไม่พร้อม จะเราต้องเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ หาคนเข้ามาช่วยดูแลเรื่อง bookkeeping อะไรต่าง ๆ นานา จากวันนั้น ถึงวันนี้ ทุกอย่างเป็นระบบ มันทำให้ชีวิตเราง่ายมากยิ่งขึ้น หลาย ๆ คนอยากอยู่ใน position ที่เราอยู่ ที่เราเป็น ดังนั้นทำไมเราจะทิ้ง opportunity ตรงนี้ไปหละ เราก็เลยยังคงทำงานตามปกติ ทำงานเหมือนชีวิตเป็นหนี้ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ แต่ผลลัพธ์ของการทำงานหนัก มันออกมาดีมาก ถ้าทุกคนตามอ่าน blog หรืออ่านใน website; johnpaopeng.com ก็พอจะเห็นประวัติการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของเรา เมื่อเสร็จเรื่องบ้าน family home, เราก็หันหน้ามาลงทุนในอสังหาอย่างจริงจัง ซึ่งตอนนี้ก็มี investment properties อยู่ทั้ง 4 รัฐ: NSW, QLD, WA และ VIC ปี 2023 เราก็จะยังคงลงทุนในอสังหาและตลาดหุ้นไปเรื่อย ๆ แต่ก็คงไม่ได้ออกสื่อเหมือนปี 2022 ปี 2022 ที่ออกสื่อก็แค่อยากจะเป็น inspiration ให้กับใครหลาย ๆ คนว่า "เฮ้ย มันทำได้นะ" ก็แค่นั้นเอง เราเขียน blog ในพื้นที่ของเรา ใน website ของเรา; johnpaopeng.com เราไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดอะไรยังไง ชีวิตเราเลยจุดนั้นมาแล้ว การลงทุน เราต้องทำเท่าที่กำลังเราไหว เราไม่ได้ลงทุนเพราะคนนั้นบอกว่ายังงั้น คนนี้บอกว่าอย่างนี้ แต่ละคนมีปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป หลาย ๆ คนอาจจะเห็นอะไรตามสื่อต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ที่คนนั้นคนนี้ซื้อบ้านได้กี่หลัง เท่านั้นเท่านี้ อะไรต่าง ๆ นานา นั่นก็เป็นเพราะเขามีปัจจัยที่แตกต่างไปจากเรานะครับ เราไม่ต้องเอาชีวิตเราไปเปรียบเทียบอะไรกับใคร ทุกคนมีจุดเริ่มต้นในเรื่องของการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป บางคนเริ่มต้นตอนอายุ 20s, บางคน 30s, บางคน 40s อะไรต่าง ๆ นานา แต่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนมากก็คือ "Financial Freedom" แหละ บางคนก็เรียกว่า Financial Independent Reitre Early (FIRE) แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบคำว่า "Retire Young, Retire Rich" ของ Robert Koyosaki มากกว่า และก็ lifestyle แบบ New Rich (NR) ตาม concept ของ Tim Ferris (4-hour work week) From Zero To Hero สามารถทำได้ ถ้าตั้งใจ ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยัน และอดทน เมื่อเราถึงที่หมาย เราก็ไม่เคยลืมที่ที่เรามา มันเหนื่อยมากนะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราทำงานหนักมากถึงมากที่สุด ในวันที่เหงื่อหวาน ในวันที่เราไม่ต้องกังวลอะไร หวังว่าต่อจากนี้ไป เราก็ไม่ต้องเป็น "เรือจ้างที่ต้องโดนโขลกสับ" อยู่ร่ำไป ขอเป็น "เรือจ้างที่เลือกผู้โดยสารได้" ก็แล้วกัน และที่สำคัญคือ "สงสารคนให้น้อยลง" (ยกเว้นคนที่มีบุญคุญกับเรา) อย่าให้คนอื่นเขาเอาเปรียบ และก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่เราขอเก็บเอาไว้แค่คนเดียวพอ ไม่ต้องเขียนทุกอย่างที่อยู่ในใจ มันมีอีกหลายหมื่อนร้อยล้านความรู้สึกที่ไม่สามารถเขียนออกสื่อได้ ก็เอาเป็นว่าจาก Zero to Hero มันทำได้ครับ ใครที่กำลังตามหาฟัน เราขอเป็นกำลังใจให้ สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังสืออ่าน เราแนะนำ 3 เล่มนี้: - Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki - The Richest Man in Babylon - 4-Hour Work Week ของ Tim Ferris |
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
September 2024
|