ชีวิตคนเราหากมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้
ทุกการศึกษาหาความรู้ จะนำเราออกจากวงจรเดิม ๆ เราจากเด็ก IT; Computer Science ผู้ที่ไม่เคยคิดจะออกมาทำอะไรเองเลย ก็คิดว่าจะเป็นพนักงานในบริษัทไปเรื่อย ๆ ทำงานไปเรื่อย ๆ ไต่ corporate ladder ไปเรื่อย ๆ เพราะตอนที่ทำงานตำแหน่งสุดท้ายก็คือ Senior Software Enginner ได้ title "Senior" เพราะว่าทีม computer programmer มีแต่เด็ก ๆ จบใหม่ คนที่อยู่มาก่อนก็เลยต้องเป็น "senior" และเราก็ได้เป็น manager ของ IT department สรุปคือตำแหน่งสูงสุดของ IT department มีลูกน้องที่แก่กว่าเราถึง 10 ปี และก็บินไปสัมนาได้ทั่วโลก นึกอยากจะไปญี่ปุ่นก็ไป นึกอยากจะไป San Francisco ก็ไป ตอนนั้นเขามีงานสัมนา JavaOne ถ้าใครได้ไปนะ เท่มาก เพราะเป็นการรวมตัวของ Java programmer จากทั่วโลก สัมนา 1 อาทิตย์ สัมนาด้วย เที่ยวด้วย ทุกอย่างบริษัทออก เงินเดือนสูง มีบัตร credit สีทองใช้ คือมันเท่มากตอนนั้น ถ้าใครมีบัตรทอง แสดงว่าเงินเดือนสูง เด็ก ๆ วัยละอ่อนหนะน๊ะ คิดกันแค่นั้นเองจริง ๆ เราไม่เคยคิดจะออกมาทำธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง เพราะงาน IT ค่อนข้างมั่นคง เงินเดือนเยอะ และกลุ่มเพื่อนฝูงอยู่ในแวดวง IT มันคุยภาษาเดียวกัน มันคุยกันรู้เรื่อง ถ้าได้คุยเรื่อง IT, เรื่อง computer programming มันคุยได้ทั้งวันจริง ๆ มันเป็นอะไรที่ amazing มาก แต่เมื่อเราได้อ่านหนังสือ Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki ความคิดของเราก็เปลี่ยนไปทันที เราเริ่มวางแผนเรื่องการเงินและอนาคต ไม่ได้คิดจะทำงานเป็นพนักงานบริษัทไปเรื่อย ๆ เราเริ่มอยากออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เราตั้งเป้าเอาไว้เลยว่า เมื่อพร้อม เราก็จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มี positive cashflow income และสามารถ semi-retire ใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการได้ คำถามที่อยู่หน้า page ที่เราปักหมุดเอาไว้ "What if money was no object?" "ถ้าเงินไม่ใช่ตัวแปรในชีวิต เราอยากจะทำอะไร" hmmm... มันทำให้เรารู้ว่ามันทำได้จริง ๆ นะ ความมุมานะ เพียร และพยายาม ซื่อสัตย์ สุจริต และจริงใจ แล้ว "กฎธรรมชาติ" จะทำงานของมันเอง ทุกอย่างมีเหตุและผลของมัน ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้จริง ๆ จากวันนั้น ถึงวันนี้ เรามาไกลนัก ความไฝ่ฝันสูงสุดก็คือ "Financial Freedom", Financial Independent ชีวิตที่นึกอยากจะทำอะไรก็ได้ทำ แต่ต้องไม่ฟุ่มเฟือยนะ พฤติกรรมตำพริกละลายแม่น้ำก็คงไม่เอา นิยามของคำว่า Financial Freedom ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่ละคนสะดวกไม่เหมือนกัน สำหรับเราแล้ว Financial Freedom คือศักยภาพของการทำอะไรกับชีวิตที่เราไม่ต้อง worry เรื่องเงิน มันไม่จำเป็นว่าเราต้องเลิกทำงานหรือ 100% retire ไปเลย สำหรับแล้ว เราก็ยังทำงานตามปกติ มีแรง เราก็ทำไป จริง ๆ แล้วเราก็ Financial Freedom ตั้งแต่ 01 Jul 2020 แล้ว แต่ 2 ปีที่ผ่านมา เราก็ยังทำงานตามปกติ เพราะเราก็คิดว่าเรายังมีแรงอยู่ ก็ทำไป ก็แค่นั้นเอง จริง ๆ เราต้องซื้อบ้านที่เป็น family home ตั้งแต่ Nov/Dec 2020 แล้ว ถ้าซื้อตอนนั้นนะ ประหยัดเงินไปเยอะ ตอน Nov/Dec 2020 เงินพร้อม ทุกอย่างพร้อม แต่ paper อะไรหลาย ๆ อย่างไม่พร้อม จะเราต้องเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ หาคนเข้ามาช่วยดูแลเรื่อง bookkeeping อะไรต่าง ๆ นานา จากวันนั้น ถึงวันนี้ ทุกอย่างเป็นระบบ มันทำให้ชีวิตเราง่ายมากยิ่งขึ้น หลาย ๆ คนอยากอยู่ใน position ที่เราอยู่ ที่เราเป็น ดังนั้นทำไมเราจะทิ้ง opportunity ตรงนี้ไปหละ เราก็เลยยังคงทำงานตามปกติ ทำงานเหมือนชีวิตเป็นหนี้ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ แต่ผลลัพธ์ของการทำงานหนัก มันออกมาดีมาก ถ้าทุกคนตามอ่าน blog หรืออ่านใน website; johnpaopeng.com ก็พอจะเห็นประวัติการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของเรา เมื่อเสร็จเรื่องบ้าน family home, เราก็หันหน้ามาลงทุนในอสังหาอย่างจริงจัง ซึ่งตอนนี้ก็มี investment properties อยู่ทั้ง 4 รัฐ: NSW, QLD, WA และ VIC ปี 2023 เราก็จะยังคงลงทุนในอสังหาและตลาดหุ้นไปเรื่อย ๆ แต่ก็คงไม่ได้ออกสื่อเหมือนปี 2022 ปี 2022 ที่ออกสื่อก็แค่อยากจะเป็น inspiration ให้กับใครหลาย ๆ คนว่า "เฮ้ย มันทำได้นะ" ก็แค่นั้นเอง เราเขียน blog ในพื้นที่ของเรา ใน website ของเรา; johnpaopeng.com เราไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดอะไรยังไง ชีวิตเราเลยจุดนั้นมาแล้ว การลงทุน เราต้องทำเท่าที่กำลังเราไหว เราไม่ได้ลงทุนเพราะคนนั้นบอกว่ายังงั้น คนนี้บอกว่าอย่างนี้ แต่ละคนมีปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป หลาย ๆ คนอาจจะเห็นอะไรตามสื่อต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ที่คนนั้นคนนี้ซื้อบ้านได้กี่หลัง เท่านั้นเท่านี้ อะไรต่าง ๆ นานา นั่นก็เป็นเพราะเขามีปัจจัยที่แตกต่างไปจากเรานะครับ เราไม่ต้องเอาชีวิตเราไปเปรียบเทียบอะไรกับใคร ทุกคนมีจุดเริ่มต้นในเรื่องของการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป บางคนเริ่มต้นตอนอายุ 20s, บางคน 30s, บางคน 40s อะไรต่าง ๆ นานา แต่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนมากก็คือ "Financial Freedom" แหละ บางคนก็เรียกว่า Financial Independent Reitre Early (FIRE) แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบคำว่า "Retire Young, Retire Rich" ของ Robert Koyosaki มากกว่า และก็ lifestyle แบบ New Rich (NR) ตาม concept ของ Tim Ferris (4-hour work week) From Zero To Hero สามารถทำได้ ถ้าตั้งใจ ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยัน และอดทน เมื่อเราถึงที่หมาย เราก็ไม่เคยลืมที่ที่เรามา มันเหนื่อยมากนะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราทำงานหนักมากถึงมากที่สุด ในวันที่เหงื่อหวาน ในวันที่เราไม่ต้องกังวลอะไร หวังว่าต่อจากนี้ไป เราก็ไม่ต้องเป็น "เรือจ้างที่ต้องโดนโขลกสับ" อยู่ร่ำไป ขอเป็น "เรือจ้างที่เลือกผู้โดยสารได้" ก็แล้วกัน และที่สำคัญคือ "สงสารคนให้น้อยลง" (ยกเว้นคนที่มีบุญคุญกับเรา) อย่าให้คนอื่นเขาเอาเปรียบ และก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่เราขอเก็บเอาไว้แค่คนเดียวพอ ไม่ต้องเขียนทุกอย่างที่อยู่ในใจ มันมีอีกหลายหมื่อนร้อยล้านความรู้สึกที่ไม่สามารถเขียนออกสื่อได้ ก็เอาเป็นว่าจาก Zero to Hero มันทำได้ครับ ใครที่กำลังตามหาฟัน เราขอเป็นกำลังใจให้ สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังสืออ่าน เราแนะนำ 3 เล่มนี้: - Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki - The Richest Man in Babylon - 4-Hour Work Week ของ Tim Ferris Comments are closed.
|
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
September 2024
|