เราเป็นคน 3 ประเทศ; Thai, Australia & Singapore (ถ้าไม่นับรวม New Zealand ด้วย)
ช่วงนี้เราอยู่ที่สิงคโปร์ ลูกลิงปิดเทอม บวกกับช่วงตรุษจีน Chinese New Year มันก็เลยเป็นโอกาสดีที่เราก็ได้กลับมาหาเพื่อน ๆ เราที่สิงคโปร์ด้วย ที่สิงคโปร์ เราก็ยังมีจดหมาย มีเอกสารทางราชการและเอกสารการลงทุนอะไรต่าง ๆ ส่งมาที่บ้าน ซึ่ง sister in law ก็จะเก็บเอาไว้ให้ กลับมาสิงคโปร์คราวนี้เราก็ได้มีโอกาส clear พวกจดหมายและเอกสารต่าง ๆ อย่างละเอียด เอกสารเรื่องบ้านบ้าง เอกสารเรื่องภาษีบ้าง และเอกสารในการลงทุนบ้าง ที่เราลงทุนและซื้อหุ้นเอาไว้ เมื่อสมัยเมื่อครั้งกระโน้น ช่วงปี 2000 นานมากแล้วจริง ๆ กลับมาคราวนี้เราก็เลยมีโอกาสเปิดดูจดหมายแต่ฉบับอย่างช้า ๆ ปรกติเวลาคนในครอบครัวเราเดินทางไปออสเตรเลีย และพวกเขาถือจดหมาย หรือ statement พวกนี้ไปให้เราที่ออสเตรเลีย แต่เราก็ไม่ค่อยมีเวลาดูเท่าไหร่ แค่เปิดผ่าน ๆ แล้วก็ scan เก็บเอาไว้ ก็ยังดีที่ scan เก็บเอาไว้ ไม่ได้โยนทิ้งไปเลย การลงทุนในตลาดหลักทรัพทย์ของสิงคโปร์; SGX (Singapore Exchange) เมื่อสมัยยังละอ่อน มันเป็นการลองผิดลองถูก มันเป็นการทดลองแบบเด็ก ๆ มันเป็นการทดลองซื้อขายหุ้นแบบคนไม่มีประสบการณ์ เพราะนั่นคือประสบการณ์ครั้งแรกในการซื้อขายหุ้น หรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตอนนั้น vergin มากกับเรื่องแบบนี้ ก็แค่อยากลอง ก็แค่อยากรู้ ก็เพราะเห็นเพื่อน ๆ ซื้อขายกัน ก็เพราะเห็นเพื่อน ๆ เล่นกัน เราก็อยากเล่นบ้าง อารมณ์นั้นเลยจริง ๆ เราด้อยประสบการณ์มากตอนนั้น มือใหม่ เมื่อยังละอ่อน แต่นั่นมันก็คือประสบการณ์ ทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น ถึงแม้ว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของเราที่ SGX จะไม่ค่อย work เท่าไหร่ อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้วิธีการลงทุน วิธีการซื้อขายหุ้น ทุกเหตุการณ์ดีเสมอ เราต้องมองหาข้อดีของแต่ละเหตุการณ์ให้ได้ ที่ SGX เราก็เหลือแค่ protfolio เล็ก ๆ เหลือแค่ 3 บริษัท ก็มี 2 บริษัทที่ไม่ค่อย work เท่าไหร่ อีก 1 บริษัท ก็รู้สึกว่า OK อยู่นะ 3 บริษัทที่ว่านี้: - เป็นบริษัทที่สิงคโปร์ 1 บริษัท (ไม่ work) - เป็นบริษัทที่ประเทศจีน 2 บริษัท (เขามา trade ที่ SGX เพราะที่สิงคโปร์ก็ถือว่าเป็น financial hub ของ Asia) ถึงแม้ 3 บริษัทนี้ มูลค่ามันอาจจะไม่ได้เยอะอะไรมาก แต่ 2 บริษัทจากประเทศจีนก็มีการแบ่ง dividend บ้าง อะไรบ้าง ก็ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ อีก 1 บริษัทที่สิงคโปร์ ก็เป็นพวกบริษัท dotcom ที่บูมตอนปี 2000 และก็มาเจอ dotcom burst เมื่อฟองสบู่แตก ทุกอย่างก็จบ ตอนนี้บริษัทซื้อขายหุ้นกันอยู่ที่ $0.350 SGD บ้าไปแล้ว จะขายทิ้งก็คงไม่ได้อะไรหรอก ก็เลยเก็บเอาไว้นั่นแหละ เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกราคาแพง ส่วนอีก 2 บริษัทจากประเทศจีน ก็เป็นบริษัทก่อสร้างพวก infrastructure อย่างเช่น สร้างเขื่อน สร้างถนนที่ประเทศจีน ซึ่ง 1 บริษัทก็ work อยู่นะ trade อยู่ที่ $2.38 SGD และก็มีการแบ่งปันผล (dividend) อีกบริษัทหนึ่ง ก็ไม่ค่อย work เท่าไหร่ แต่ก็มีการแบ่งปันผลบ้างเล็กน้อย ไม่เยอะมาก อย่างน้อยก็ถือว่า 2 ใน 3 บริษัทมีการแบ่งปันผล ก็ยังถือว่า OK เราก็จะเก็บ 3 บริษัทเอาไว้นี่แหละ ไม่ขาย และไม่มีการซื้อเพิ่ม เราไม่ได้อยู่ที่สิงคโปร์แล้ว ไม่ได้ศีกษาตลาดของที่นี่แล้ว และพวกบัญชีธนาคารต่าง ๆ เราก็จำ password Internet banking ไม่ได้แล้ว รู้แต่รหัส ATM ของตัวเอง ซึ่งก็เหลือเงินอยู่ไม่มากเท่าไหร่ เรายังจำได้สมัยเมื่อเรายังลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่สิงคโปร์ เราเคยต้องไปเข้าคิวสั่งซื้อหุ้นที่ตู้ ATM ตอนเที่ยงคืน เรามันเปิดให้จอง IPO ตอนหลังเที่ยงคืน ประสบการณ์แบบนี้เราก็ทำมาแล้วจ๊ะ สั่งซื้อหุ้นที่ตู้ ATM ตอนเที่ยงคืน ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของชีวิต นอกจากการลงทุนในตลาดหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ เราก็ยังมี Unit Trust ของ UOB ด้วย ตอนนี้ก็มี 4 Unit Trust ที่ซื้อเอาไว้ การลงทุนใน Unit Trust ที่เมืองไทยก็เรียกว่า "กองทุนสะสม" หรือออสเตรเลียหรือหลาย ๆ ประเทศก็เรียกว่า Mutual Fund หรือ Managed Fund กองทุนสะสมของ UOB ที่เราซื้อเอาไว้ก็มี - United E-Commerce Fund - United Global Technology Fund - United Global Telecoms Fund - United Greater China Fund เออ ดูสิ สมัยก่อนเราเป็นเด็ก IT เราก็จะลงทุนใน Unit Trust แต่ของพวก IT หรือพวก telelcommunication อะไรประมาณนี้ ก็ไม่ค่อย diversify เท่าไหร่นะ แต่ช่วงนั้นมันก็ dotcom boom จริง อะไรจริง แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็ได้เรียนรู้ เพราะทุกวันนี้เราก็เลิกลงทุนในพวกกองทุนสะสมเหล่านี้แล้ว ทั้งที่สิงคโปร์และที่ออสเตรเลีย เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ได้ตังค์คือพวก fund manager ตอนนี้เราชอบลงทุนในพวก index fund มากกว่า พวก LIC; Listed Investment Company เพราะพวก index fund ค่าบริการ management fee จะไม่แพงมาก ไม่เหมือนของพวกกองทุนสะสมที่เราต้องจ่าย management fee ให้กับ fund manager เยอะเกินความจำเป็น หุ้นขึ้น fund manager ก็ได้ตังค์ หุ้นลง fund manager ก็ได้ตังค์ (ปัญหาหลักของ superannuation ที่ออสเตรเลีย) index fund เขาก็ charge management fee เหมือนกัน แต่ก็ต่ำมากเมื่อเทียบเท่ากับ management fee ของพวกกองทุนสะสม Unit Trust หรือกองทุนสะสมของเรากับ UOB เราก็เก็บเอาไว้นี่แหละ ก็เก็บมาแล้วตั้งนาน ก็เก็บมันต่อไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ คนคิดว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เราจะต้องลงทุนใน 1 ตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นนะ ถ้าคนเราคิดจะลงทุนในระยะยาว เป็นพวก Value Investor (VI) ไม่ใช่พวก Trader ที่ซื้อมาขายไป ถ้าหากเราอยากจะลงทุนแบบระยะยาว แบบ VI เราก็ต้องศึกษาหาข้อมูล และก็ลงทุนกับบริษัทที่เราชอบ ที่เราคิดว่ามันจะมั่นคงในระยะยาว ไม่ได้ผันผวนกับสภาวะของตลาด ที่ออสเตรเลีย การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของเราตอนนี้ เราก็เน้นที่ LIC; Listed Investment Company ตอนนี้เราก็คิดว่าเราซื้อมาได้จำนวนโควต้าที่เราต้องการแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้ ก็ไม่แน่ เราอาจจะเลือกซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ เป็นบริษัทไปก็ได้ ตอนนี้ก็แอบ ๆ ศึกษาดูหุ้นบางตัวที่ออสเตรเลียอยู่ แต่ก็ต้องดูว่าเราจะสู้ราคาได้หรือเปล่า เพราะหุ้นเหล่านั้นที่เราสนใจ ราคามันก็ไม่ค่อย friendly กับกระเป๋าตังค์เท่าไหร่ นี่ก็เป็นอีก 1 blog อีก 1 investment diary ของเรา ชอบแปลว่า "ใช่" แต่ถ้าถูกใจช่วย "แชร์" สำหรับใครที่เป็นนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น stock market ที่ไหน ใครมีประสบการณ์ในการลงทุน อะไร ยังไง comment เข้ามาแชร์ เข้ามาแบ่งปันกันได้นะครับ Comments are closed.
|
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
September 2024
|