หนังสือก็เป็น passive income อีกอย่างหนึ่ง

หนังสือเป็น passive income อีกอย่างหนึ่ง
เราจะสังเกตุได้ว่า หลาย ๆ คนที่เขียนหนังสือ เขาไม่เห็นเขียนแค่เล่มเดียว
เขาจะมีออกมาเป็น series

องค์ความรู้อะไรต่าง ๆ มันสามารถต่อยอดได้
พี่สาวเราเริ่มเขียนหนังสือเป็นรูปเล่ม เป็น self-publishing คือพิมพ์ขายเองผ่าน website และผ่าน Facebook page

แน่นอน เขาก็ต้องฐานแฟน ฐาน base ของเขา
พี่สาวเรามีคนติดตามแฟน page ของเขาประมาณ 200,000 กว่า ซึ่งถือว่าเยอะมาก
นี่คือเริ่มจากคนที่บอกว่า "Facebook page คืออะไร"

จากคนที่ไม่รู้
จากคนที่ไม่เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เขาคล่องมากเรื่อง online marketing และ social media marketing

ทุกสิ่งอย่างในชีวิต เราสามารถเรียนรู้กันได้

เรากับพี่สาวเรามีการทำงานที่แตกต่าง
แต่ละคนถนัดคนละแบบ

พี่สาวเราจะถนัดทำหนังสือเป็นรูปเล่ม
เราจะถนัดทำเป็น ebook เพราะเป็นเด็ก IT อยู่แล้ว

แต่ละอย่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่าง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะทั้ง 2 รูปแบบ ถ้าทำดี ๆ ก็สามารถสร้างเป็น passive income ได้

คนเราสมัยนี้ ทำงานก็อย่ามัวแต่คิดเรื่อง active income นะครับ
คิดและวางแผนเรื่องของ passive income ด้วย
จะ retire เมื่อไหร่ จะใช้ชีวิตยังไง
retire ตอนอายุ 60 เหรอ สมัยมันเชยไปแล้วหละ
คนเราจะต้องมีอิสระภาพทางการเงิน financial freedom
คือเราจะไม่เป็นภาระของใครทั้งสิ้น
passive income ต้องสามารถ generate income หรือสร้างรายได้ให้เราสามารถ maintain lifestyle ของเราได้

หนังสือและงานเขียนก็สามารถเป็น passive income ให้เราได้

หนังสือที่เป็นรูปเล่ม ที่วางขายตามร้านขายหนังสือต่าง ๆ คนเขียนจะได้ค่าลิขสิทธิ์แค่ 10%-20%
แต่เราก็ได้ความดัง คือคนรู้จักเรามากขึ้น เราก็สามารถใช้ชื่อเสียงและตัวตนของเราไปต่อยอดธุรกิจอย่างอื่น หรือเขียนหนังสือเล่มอื่นได้

เราได้ตังค์น้อย แต่คนรู้จักเราเยอะ

หนังสือที่เป็นรูปเล่ม เป็น self-publishing  พิมพ์เอง ขายเอง เราก็ได้ของเราทั้งหมด ไม่ต้องแบ่งใคร แต่คนก็จะไม่รู้จักเราในวงกว้าง 
เราได้ตังค์เยอะกว่า หนังสือที่เป็นรูปเล่มที่วางขายตามร้านหนังสือ แต่เราก็ต้องจัดพิพม์เอง และจัดส่งเอง (ก็ไม่ได้วุ่นวายมากนะ เพราะเมืองไทยก็มี Kerry Express)

หนังสือที่เป็น e-book ต้นทุนต่ำมาก แทบจะไม่มีอะไรเลย ต้นทุนจริง ๆ แล้วคือ "เวลา" ในการเขียนนี่แหละ แต่หนังสือทุกรูปแบบมันก็ต้องเขียนอยู่แล้ว
รายได้จากหนังสือ e-book จะอยู่ที่ 80%-85% ของราคาขาย ซึ่งถือว่าสูงมาก
แต่มันก็เข้าถึงคนได้ไม่เยอะ เพราะคนที่ซื้อ e-book ได้ก็ต้องมี app ในการอ่าน

โดยส่วนตัวแล้ว เราก็ชอบ e-book นี่แหละ เพราะจะแก้ไขอะไร เราก็ upload หนังสือฉบับแก้ของเราเข้าไปในระบบเลย บาง website ก็ update เลยทันที บาง website ก็ต้องรอ 2-3 วัน ซึ่งก็ไม่เป็นไร

ทุกคนมีดีเสมอ งัดมันออกมา งัดมันออกมาเสนอองค์ความรู้ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ facebook fanpage, blog หรืออะไรต่าง ๆ เพราะทุกสิ่งอย่างเหล่านี้ วันหนึ่ง มันสามารถรวบรวมเป็นรูปเล่มได้