Sep แล้วเหรอเนี๊ยะ จะย่างเข้าสู่ปีที่ 13 แล้วสินะ
ไม่ง่ายนะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เคยโดนดูถูกเหยียดหยามมาแล้วแทบทุกรูปแบบ เคยถูกมองว่าเป็นบริษัทเล็ก ๆ หางแถว ซึ่งมันก็จริง เพราะเมื่อปี 2008 ที่เราเริ่มต้น เราก็เล็กจริง อะไรจริง ไม่มีใครรู้จักเราเลย คนที่ Wollongong ยังต้องไปปรึกษาเรื่องอิมมิเกรชั่นที่ Sydney กันอยู่เลย case ที่ตกมาถึงเราคือ case ที่เขาเข้าไปปรึกษาแล้วบริษัทยักษ์ใหญ่ที่นั่นบอกว่าทำไม่ได้ เขาถึงได้วิ่งมาหาเรา เราก็คงหางแถวจริง ๆ เราก็เริ่มจากลูกค้าที่ Wollongong, จาก case ที่พวกเขาไปปรึกษาบริษัทที่ Sydney บอกว่าทำไม่ได้ พวกเขามาหาเรา เราจัดให้ได้ สมัยก่อน case มันทำง่ายกว่านี้เยอะ พวกวีซ่าทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์ จากวันที่ใคร "someone" กำลังจะเก็บข้าวเก็บของ pack ของเตรียมตัวกลับเมืองไทยกันอยู่นั้น วีซ่าของพวกเขาคนก็ผ่าน จาก student ไปเป็น subclass "xyz" แล้วตามด้วย PR แล้วตามด้วย citizen ตอนนี้เป็น citizen และก็ซื้อธุรกิจอะไรเป็นของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย และแล้ว Wollongong ก็ลุกเป็นไฟ คนใน Wollongong เองก็เริ่มบอกปากต่อปากกันมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางเข้าไปที่ Sydney กันอีกต่อไป จากการบอกปากต่อปาก คนก็แนะนำกันมาเรื่อย ๆ เฮ้ย นี่มันธุรกิจลูกโซ่ชัด ๆ :) เราก็เน้นการเขียน blog การเขียน content ของเรา เราก็แค่แชร์และก็ post ใน facebook ส่วนตัว ซึ่งคนก็รู้จักไม่กี่คน สมัยก่อนมันยังไม่มี facebook page เลย สมัยก่อน เรายังเล่น MySpace อยู่เลย 2008-2015; 7 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ตดยังไม่หายเหม็น โลก social มาแรง เราก็เลยเอากับเขาซะหน่อย เราก็ค่อย ๆ เริ่มทำ facebook page, เริ่มจากภาษาอังกฤษก่อน ก็ค่อย ๆ ทำมา ทำมาเรื่อย ๆ ลูกค้าก็จะมาจาก Google Search มากกว่า ไม่ได้มาจากสือโซเซียลเลย จนเมื่อปี 2015 ที่เราเริ่มทำ facebook page เป็นภาษาไทย แล้วคนก็ค่อย ๆ รู้จักเราเพิ่มมากขึ้น แต่ก่อนคน follow, 200 คน เราก็ดีใจตายห่าแล้ว จากแต่ก่อนที่คนที่ Wollongong ต้องเดินทางไปที่ Sydney ตอนนี้คนที่ Sydney เดินทางมาที่ Wollongong ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วจ๊ะ "Jack ผู้ฆ่ายักษ์" แต่ "J" ไม่ต้องการฆ่าใครจ๊ะ เราก็ทำงานของเราไป ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับใคร ก็พยายาม "Stay in my own lane" ให้มากที่สุด พี่คนไทย เข้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำตัวไม่น่ารักเมื่อปี 2008 เคยพูดต่อหน้าในงานสัมนาเอาไว้ว่า "คุณจอห์นคะ จะไหวเหรอคะ อยู่ตั้ง Wollongong จะมีลูกค้ามั้ย" พี่เขาพูดดูถูกเราเอาไว้เยอะ โดยที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามแต่ อะหรือ อะหรือ พี่เขาเป็นห่วง จะอะไรยังไงก็ตามแต่ มันบาดใจ หลังจากนั้น ผ่านไปหลายปี เราก็มาเจอพี่เขาในงานสัมนากฎหมาย เรานั่งอยู่ห้องเดียวกัน แต่คนละมุม ฉันมองเธอ เธอมองฉัน เรามองกันแต่ไม่ทัก ต่างคนต่างอยู่ รู้แต่ว่าพนักงานบริษัทพี่เขามา follow page เราก็เยอะอยู่... วาซั่น ณ วันนี้ เรามาถึงจุดที่เรายืนอยู่ เรามีความสุข ณ จุดที่เป็น เราบอกกับตัวเองเสมอว่า เราจะไม่ทำตัวแบบพี่คนนั้นเป็นอันขาด ก็มีน้องหลายคนทักมาหลังไมค์ ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำ page การทำ online content นั่น นี่ โน่น เราก็แนะนำให้น้องไป ไม่ปิดกั้น ณ วันที่เรากินอิ่มแล้ว เราต้องแบ่งปัน ณ วันที่เรามีพอแล้ว เราต้องให้ แต่ก่อนที่จะเป็นผู้รับ เราจงเป็นผู้ให้ก่อนเสมอ ที่เรามาถึงจุดนี้ เพราะเราให้ เราให้ content อะไรต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย มากจริง ๆ ลองไปนั่งไล่อ่าน blog เราดูนะ เราเขียนมาตั้งแต่ปี 2008 เลย ช่วงที่เขียนช่วงแรก ๆ มันก็จะเด๋อ ๆ ด๋า ๆ หน่อย แต่ก็ค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลามาเรื่อย ๆ เดือนนี้เราย่างเข้าปีที่ 13 แล้ว ขอบคุณกับ 12 ปีที่ผ่านมา เราจะอยู่ ณ ตรงนี้อีกต่อไปกี่ปีเราไม่รู้ รู้แต่ว่า "งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา" อีกสัก 10-15 ปี เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง "ลุง J" ก็ต้องหลีกทางให้กับน้อง ๆ แหละ เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง เราก็คงใช้เวลาและเสาะแสวงหาความสงบในชีวิต เพราะความสงบนั้นราคาแพง ก็ไม่แน่ เราอาจจะไปสอนหนังสือเด็กกำพร้าที่ไหนสักแห่ง ก็ไม่แน่ เราอาจจะนั่งทำ PhD อะไรของเราเงียบ ๆ ไป เรียนเพราะอยากชอบที่จะเรียนเฉย ๆ ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะออกมาประกอบวิชาชีพอะไร ทุกวันนี้ก็มีความสุขและเพียงพอกับชีวิต กับปัจจัย 4 ที่มี กับถุงผ้า 1 ใบ ขวดเติมน้ำ 1 ขวด ทานข้าววันละ 2 มื้อ (Intermitten Fasting) แค่นี้ ชีวิตก็มีความสุขแล้วจริง ๆ หรือวัน ๆ เราอาจจะนั่งเขียน ebook เขียนบทความอะไรของเราไป เขียนหนังสือโดยที่ไม่มีคนอ่าน วาดรูปโดยที่ไม่มีคนดู เรียนเพิ่มโดยที่ไม่ได้เอาไปใช้อะไรมาก เพราะมันคือความสุขที่ได้ทำ มันคือ Ikigai ของชีวิต วันนี้เรารู้แล้วว่าเราต้องการอะไรในชีวิต แล้วคุณหละ รู้หรือยัง..... :) |
AuthorJohn Paopeng Archives
October 2024
Categories |