ตื่นเช้าแล้วได้อะไร
เราเขียน blog นี้โดยที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ 5AM Miracle Morning ที่มีคนส่งมาให้ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็เริ่มตื่นแต่เช้ามาตั้งแต่ต้นปีแล้ว เราก็พอจะเดาออกว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร ทุกวันนี้เราตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ที่ 4:50am เพราะกะว่าตื่นก่อน 5am สัก 10 นาที แล้วจะได้เริ่มทำอะไรเลยตอน 5am เป็นต้นไป มีหลายครั้งมากที่เราตื่นก่อนนาฬิกาปลุก แต่ก็ไม่ได้ post อะไรหน้า page เพราะถ้า post ทุกคนมันก็เบื่อได้ อะไรที่มันเดิม ๆ ซ้ำ ๆ คนอ่านก็คงจะเบื่อ เราเป็นคนเขียนหนะไม่เบื่อหรอก เขียนได้ทุกวันอยู่แล้ว วันก่อน เราตื่น 4:12am เมื่อวานตื่น 4:42am วันนี้ตื่น 4:49am (ก่อนนาฬิกาปลุก 1 นาทีก็ยังดี จริง ๆ รู้สึกตัวตั้งแต่ 4:30am แล้วก็นอนต่อ บิดตัวไปมา เพราะเมื่อคืนเราก็แอบนอนดึกกว่าปรกตินิดหนึง เพราะต้อง email หาลูกค้า และจัดการพวกงานเอกสารอะไรบางอย่าง) หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าเราทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ ก็เอาเป็นว่างานเราเยอะ กิจกรรมส่วนตัวของเราก็เยอะ อย่างเช่นวินัยในการอ่านหนังสือ การเขียน blog การเขียน journal การสร้าง content ของ website และ facebook page ด้วย และกิจกรรมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้เราไม่อยากให้มันไปกระทบเวลาของงานที่เราทำ เราก็เลยต้องตื่นแต่เช้านิดหนึง ชีวิตตอนเช้า มันเงียบสงบ โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวจะรู้ ว่าเมื่อไหร่ที่ลูกตื่นขึ้นมาแล้วเนี๊ยะ สัก 7am เสียงก็จะเริ่มดังละ เพราะลูก ๆ ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน เมื่อตอนต้นปี เราจะตื่นขึ้นมาแต่เช้า แล้วอ่านหนังสือ พอกลาง ๆ ปีเป็นต้นมา เราก็เปลี่ยนเวลาอ่านหนังสือเป็นประมาณ 9pm-10pm แทน คืออ่านก่อนนอน แล้วเอาเวลาช่วงเช้า ๆ แบบนี้มาเขียน journal เขียน blog และสร้าง content แทน เพราะตอนนี้เราก็พยายามสร้าง content ที่ website และ blog ต่าง ๆ ที่เรามี เราก็ทำของเราเองคนเดียว ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ไปเรื่อย ไม่คนช่วย ไม่อะไรทั้งสิ้น เราชอบทำอะไรของเราคนเดียว แน่นอน หนึ่งในนั้นมันก็คือ "project X" ด้วย เดี๋ยวคงได้เปิดตัวกัน แล้วมันจะต้องมี "project Y", "project Z" ตามมาแน่นอน ทุกอย่างมันอยู่ในหัว มัน plan ไว้หมดแล้วหละ ว่าต้องทำ project ไหนก่อนหลัง และแต่ละ project คืออะไร อันไหนจะเสร็จช้า เสร็จเร็วก็ขึ้นอยู่ความอึดของการตื่นแต่เช้า ตอนนี้เรื่องตื่นก่อน 5am ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มันลงตัวแล้ว มันเป็นนิสัยไปแล้ว เหลือแต่ถ้าเรา push ตัวเองไปอีกนิดหนึงหละ เขยิบมาเป็น 4:30am แล้วค่อย ๆ เขยิบไปเป็น 4am มันจะเกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ได้หมายความว่า ชั่วโมงนอนเราจะน้อยลงนะ เปล่าเลย ช่วงโมงนอนมันก็คงจะเท่าเดิมนั่นแหละ เพราะยังไงเสีย ร่างกายก็ต้องพักผ่อน แต่เราก็แค่ต้องรีบเข้านอน ก็แค่นั้นเอง การที่คนเราจู่ ๆ จะต้องมาตื่นตอนเช้า มันก็ไม่ใช่แค่นึกและทำกันได้นะ มันก็ต้องมีการวางแผนและมีวินัยในการเข้านอนด้วย ถ้านอนดึก 11pm หรือเที่ยงคืนแล้วตื่น ตี 4 ตี 5 มันก็คงไม่ไหว เราก็พยายามเข้านอนประมาณ 10pm หรือใกล้เคียง ซึ่งมันก็สำคัญเพราะร่างกายต้องการพักผ่อนด้วย ทุก ๆ เช้า เราตื่นขึ้นมาแล้วต้องดื่มน้ำเปล่าก่อนเสมอ 1 แก้ว แล้วตามด้วยน้ำมะพร้าว 1 แก้ว ซึ่งน้ำมะพร้าวที่นี่ก็ไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ ถ้าอยู่ที่เมืองไทยเหรอ สบายไปแล้ว คงได้ดื่มน้ำมะพร้าวจากมะพร้าวลูกสด ๆ ทุกวัน แล้วเราก็หันมาดื่มชาเขียว หรือ green tea แทนกาแฟได้ประมาณ 1 ปีแล้ว การที่เราตื่นตอนเช้าก่อนที่คนอื่น ๆ ภายในบ้านเขาจะตื่นกัน มันก็ดีในเรื่องของการใช้ห้องน้ำด้วย เพราะเราไม่ต้องแย่งกันใช้ โดยเฉพาะลูก ๆ ที่จะต้องตื่นขึ้นมา 7am และเตรียมตัวไปโรงเรียนกัน ชีวิตตอนเช้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่ช่วงอายุและการทำงาน ถ้าคนที่ทำงาน มันก็เป็นอะไรคล้าย ๆ แบบนี้ แต่ถ้าเป็นคนที่เกษียณแล้ว เขาก็คงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ซึ่งเราจริง ๆ แล้วก็อยากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง ของเราไม่ต้องเกษียณ 100% หรอก เอาแค่ semi-retire ก็พอ คือมีอิสรภาพทางการเงิน financial freedom ซึ่งเราก็จะยังคงทำงานอยู่ แต่อาจจะทำงานน้อยลง แล้วเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรอย่างอื่นที่เราอยากจะทำ อะไรประมาณนี้ ก็อย่างที่เห็นว่า ถ้าเราตื่นขึ้นมาตอนเช้า เราก็มีเวลาเขียนอะไรนั่น นี่ โน่น อย่างเช่น blog นี้เป็นต้น เราก็นังเขียนของเราไปเรื่อย ๆ ไม่กระทบกับเวลาทำงานของตัวเอง เมื่อวานเราก็ตื่นแต่เช้านะ ตามเวลาข้างบน เราก็เขียน blog นั่น นี่ โน่นของเราเหมือนกัน พอสาย ๆ สาย ๆ ในที่นี้คือประมาณ 7:30am นะ เราก็ออกไปเดิน ใช่จ๊ะ เราเดิน ไม่ได้วิ่ง คิดว่าร่างกายยังไม่พร้อมที่จะวิ่ง และยังไม่อยากที่จะวิ่ง เดี๋ยวถึงเวลาของมันเมื่อไหร่ เราจะวิ่งเอง หรืออาจจะไม่มีเวลานั้นเลยก็ได้ ใครจะรู้ แต่ตอนนี้ก็อ่านหนังสืของนิ้วกลมนะ เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอน หนังสือที่พี่คนไทยซื้อมาฝาก ที่เราไม่วิ่งเพราะเรามีกิจกรรมการออกกำลังกายของเราอยู่แล้วประมาณ 5-6 วันต่ออาทิตย์อยู่แล้ว เราก็เลยคิดว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปวิ่งอะไรกับใครเขา ตอนเช้าเราก็ออกไปเดิน ออกไปเดินรับแสง blue light บ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่ทำงานแต่อยู่ห้อง อยู่ใน office พอเดินเสร็จ เราก็กลับมาอาบน้ำ แล้วก็เริ่มทำงาน พอตกตอนเย็น เราก็ไปยิมส์ ซึ่งเราคิดว่าวันหนึงออกกำลังกาย 2 รอบเบา ๆ แบบนี้ OK แล้วสำหรับเรา เพราะถ้าหักโหมไปกว่านี้ ร่างกายเราก็คงจะรับไม่ไหว เพราะเราก็ต้องทำงานด้วย จะให้กลับมานอนพักอย่างเดียวมันก็คงไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่ ถ้าทุกอย่างลงตัวมากกว่านี้ ถ้าเรามีทีมงานที่ลงตัวมากกว่านี้ เราก็อาจจะมีเวลาเพิ่ม และได้ทำอะไรมากกว่านี้ก็อาจจะเป็นได้ แต่ ณ เวลานี้ ณ จุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เราคิดว่ามัน OK แล้ว สำหรับเรา เราก็ balance ได้ในเรื่องของงาน และเรื่องการดูแลตัวเอง และคนรอบข้าง ส่วนการเขียน blog และการทำ content อะไรของเราต่าง ๆ เราก็เขียนวน ๆ ไป เราก็ต้องดูแลกันไป ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตอนนี้พวก content อะไรจต่าง ๆ เราก็ต้องให้ความสนใจ content ภาษาอังกฤษของเราด้วย ไม่งั้นยอดคนติตตามจะหาย เราก็ยังคงต้อง maintain และก็ provide content ไปเรื่อย ๆ มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราชอบและก็อยากจะทำ มีความสุขกับการได้ทำ ก็ถือว่าโชคดีที่เราก็เลิกดู TV เลิกดูข่าวมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว นาน ๆ ถึงจะดูทีหนึง มันก็เลยทำให้ชีวิตเรามีเวลามากขึ้น แทนที่เราเสพ content อย่างเดียว เราก็มาสร้าง content ของเราด้วย หลาย ๆ คนบอกว่า "ไม่มีเวลาในการสร้าง content" มีสิ ก็ตื่นให้มันเช้าขึ้นไง แล้วเวลาเหล่านี้จะไม่ไปกระทบต่อเวลาการทำงานหลักของเรา ก็อาจจะมีบ้างเป็นบางวันที่เราไม่เขียน blog หรือ post อะไรยาว ๆ วันนั้น ๆ เราก็จะเอาเวลาตอนเช้าไปเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ จากพวก facebook LIVE ของคนที่เราติดตามบ้าง อะไรบ้าง เราไม่ได้เล่นพวก social media เพื่อการ entertain จ๊ะ เราชอบที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากกว่า ในขณะที่เราออกไปเดินตอนเช้า เราก็จะเดินฟัง podcast ไปด้วย ในขณะที่เราไปยิมส์ เราก็จะฟัง podcast ไปได้วย ยกเว้นเวลาเข้า class ต่าง ๆ อย่างเช่น Zumba หรือ Pound ซึ่งเราก็คิดว่ามันเป็นการบริหารเวลาที่ดี ส่วนใครจะตื่นแต่เช้าหรือจะตื่นสายอะไรยังไง มันก็เป็นทางเลือกของแต่ละคนนะครับ ของเราเป็นแบบนี้ เราก็แค่อยากจะนำเอาออกมาแชร์... ก็แค่นั้นเอง . . . สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น |
AuthorJohn Paopeng Archives
December 2024
Categories |