หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราถึงทำในสิ่งที่เราอยู่ทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่ทำก็ได้
ธุรกิจ "J Migration Team" ไปได้ด้วยดีอยู่แล้วครับ งานล้นมือ บอกปฏิเสธลูกค้าไปเยอะแยะ ทุกวันนี้เราเลือกลูกค้ามากยิ่งขึ้น กรองลูกค้าแล้ว กรองลูกค้าอีก เพราะหลาย ๆ คนเมื่อเขาจ่ายเงินเรามา เขาก็ทำตัวเป็น "เจ้าชีวิต" เราทันที ก็เลยต้องระวังตัว เบื่อกับการโดนกดขี่ เพียงเพราะเราเป็น "แค่" เรือจ้าง เราไม่เสียดายที่บางคนเลือกไปทำกับบริษัทอื่น 100 พ่อ 100 แม่ ก็ 100 ความต้องการ ใช่ว่าทุกคนจะ appreciate กับสิ่งที่เรา เขาต้องการแค่ "จ่ายเงิน" ให้เราทำงาน แล้วเขาก็รอวีซ่า แล้วก็ถีบหัวส่ง มีเยอะแยะครับ เราทำงานอยู่ตรงนี้มา 14 ปีแล้ว เราเจอทุกรูปแบบ ก็ได้แต่หวังว่า หลังจากมี portfolio การลงทุนพวกนี้แล้ว เราจะมีสิทธิ์เลือกลูกค้าได้มากขึ้น เลือกคนที่เขา appreciate กับงานที่เราทำจริง ๆ จากที่ทุกวันนี้ niche อยู่แล้ว หลังจากนี้ ก็น่าจะ niche มากยิ่งขึ้น แล้วทำไมเรายังลงทุนไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุดซักที แล้วทำไมเราไม่อยู่เฉย ๆ แล้วทำไมเราไม่ใช้ของ brandname จริง ๆ แล้วชีวิตเราค่อนข้าง Financial Freedom มาตั้งนานแล้วครับ ตั้งแต่ 01 Jul 2020 แล้ว ที่รายได้มากกว่ารายจ่าย และตอนนั้นเงินก็พร้อมที่จะซื้อ family home ที่ยังทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำอยู่หลังจาก 01 Jul 2020 ก็เพราะมันมีงานเข้ามา เราก็ทำ ก็แค่นั้นเอง ช่วง COVID ธุรกิจเราไม่มีผลกระทบเลย เรายังทำ case ของเราได้ตามปกติ จริง ๆ เราค่อนข้าง busy ด้วยซ้ำไปเพราะคนไม่อยากจะกลับประเทศ ต้องหาวีซ่าอยู่ต่อ เราก็สบายไป งานมาไม่ขาดสาย มีงานเข้ามาก็ทำไป มีแรงก็ทำไป Dec 2022 เดือนที่แล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็มีอสังหาที่ออสเตรเลียก็หลายหลัง ก็เป็นตัวเลข 2 หลัก กับเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกก็เป็นตัวเลข 6 หลัก AUD ถ้าเอาเฉพาะทรัพย์สินที่ออสเตรเลีย ถ้าคิดเป็นเงินบาทไทย THB เราก็มีเป็นตัวเลข 9 หลักแล้วครับ (ไม่รวมที่ไทยและสิงคโปร์) ไทย + สิงคโปร์ ก็ 8 หลัก THB ซึ่งก็ปลอด mortgage ทั้งที่ไทยและสิงคโปร์ ถ้าทรัพย์ที่ออสเตรเลียมีถึง 9 หลักแล้ว แล้วทำไมยังทำงานแบบที่เป็นอยู่ คำตอบง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ "ทำเพื่อครอบครัว" ครับ เพราะอสังหาและทรัพย์สินทุกสิ่งอย่างที่เรามี เราซื้อในนามของบริษัทและ family trust ทุกสิ่งอย่างที่เรามี เราไม่ได้ซื้อในนามของเรา ดังนั้นทุกสิ่งอย่างจะตกเป็นของทุกคนในครอบครัว พวกเรา 4 คน หากใครเป็นอะไรไป ก็ไม่ต้องมีพินัยกรรมให้วุ่นวาย เพราะ family trust มันจะ cover ตรงจุดนั้นแล้ว Family Trust หรือ Discretionary Trust ทางทนายและ accountant ต้องเป็นคนทำเรื่องให้นะครับ หา accountant ดี ๆ ที่ไม่ใช่ตาม facebook group ของคนไทย ยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งการบริการ และ asset protection ที่ดี บอกได้เลยครับ ว่าคุ้มมาก you จะ sleep well at night ค่า setup company และ Discretionary Trust = $2,800 ลำพังตัวเราคนเดียว อะไร ยังไงก็ได้ แต่เมื่อมีครอบครัวเข้ามายุ่งเกี่ยว เราก็อยากที่จะ provide ให้ดีที่สุด พวกเขาจะได้ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ อยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่ต้องไม่ฟุ่มเฟือย แค่นั้นเอง พวกเขาจะได้ไม่ต้องรูดบัตรเครดิตหมุนเงินทำธุรกิจเหมือนตอนที่เราออกมาทำธุรกิจใหม่ ๆ เราก็แค่อยากให้ภรรยาและลูก ๆ 2 คนใช้ชีวิตแบบ worry free (แต่ไม่ฟุ่มเฟือย) มีทรัพย์สินคิดเป็นเงินไทย 9 หลัก THB แล้วจะยังหยุดลงทุน หยุดซื้ออสังหามั้ย คำตอบก็คือ "ไม่" เราก็จะยังคงซื้อไปเรื่อย ๆ ตามเท่าที่แรงเรามี เงินเก็บไว้ในบัญชี มันก็ไม่งอกเงย Borrowing power เราก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ RAMS เรามีหน้าที่แค่ทำงานหาเงิน รักษาระดับยอดขายของธุรกิจให้ดี ๆ ทุก ๆ เดือน ๆ ถ้ายอดขายของ "J Migration Team" ดี เราก็กู้ได้ ถ้า assetts ของเราดี เราก็กู้ได้ ถ้า assetts มากกว่า liabilities เราก็กู้ได้ ก็แค่นั้นเอง Portfolio ที่ WA, เรามี buy agent ดูแลเราอยู่แล้ว 3 วัน เขาส่ง list มาให้ดู เราก็มีหน้าที่แค่จิ้มเลือกว่าชอบอันไหน Portfolio ที่ VIC, เราก็มี selling agent ที่คอยดูแลเราอยู่แล้ว เขารู้ว่า requirement เราเป็นแบบไหน เขาจะส่ง WhatsApp มาป้ายยาอยู่เรื่อย ๆ Portfolio ที่ NSW, ตอนนี้หยุดซื้อก่อน ราคาที่ NSW is a bit overprice แต่ทุกหลังที่มีที่ NSW ก็มีคนเช่าหมด และทุกหลังก็ปลอดหนี้ ไม่มี mortgage แล้ว ก็สบายหน่อย Portfolio ที่ QLD, ก็ดูไปเรื่อย ๆ ไม่ซีเรียส ก็ดูจาก realestate.com.au ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะตอนนี้ focus ไปที่ WA แต่ถ้ามีอะไรแจ่ม ๆ มาที่ QLD เราก็อาจจะกัดฟันซื้อก็ได้ แล้วแต่งบในการซื้อ แต่ตอนนี้ WA น่าซื้อกว่าเยอะ Portfolio ในตลาดหลักทรัพย์ เราก็หยอดกระปุกทุก ๆ เดือน เดือนละ $2,000 พอครบ 5 เดือน ก็จะได้ $10,000 แล้วค่อยซื้อหุ้นเก็บสะสมเอาไว้ เดี๋ยวเรื่องหุ้น เอาไว้ blog หน้า หาอ่านได้ที่ johnpaopeng.com นะครับ ชีวิตที่เหลือหลังจากก็ยังคงนั่งทำงานตามปกติ จะให้นั่งอยู่บ้านดู Netflix เฉย ๆ ก็คงไม่ใช่ แต่อย่างน้อยเราก็อุ่นใจว่าเราได้ provide อะไรต่าง ๆ นานาให้ลูกลิง 2 ตัวแล้ว เรากับภรรยาก็ลอยตัว ชีวิตที่เหลือคือกำไร อยากจะทำอะไรก็คงได้ทำ แบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเหมือนตอนที่มัน "ไม่มี" ตอนนี้ก็แค่รอลูกลิงตัวเล็กจบ year 12 ซึ่งก็อีก 3 ปี ตอนนี้ลูกลิงกำลังจะเรียน year 10 คนที่มีครอบครัวก็ต้องคิดหนักนะครับ ทำอะไรต่าง ๆ นานาเพื่อลูกน้อย สำหรับคนที่ไม่ครอบครัว ก็ไม่เห็นเป็นไร ชีวิตสามารถมีความสุขได้แบบ 2 คนตายาย ดูแลพ่อแม่เราไป ดูแลหลาน ๆ เราไปก็ได้ ประชากรทุกวันนี้จะล้นโลกอยู่แล้ว ถ้าไม่ผลิตเพิ่มก็จะดีมากเลย :) แต่... anyway... that's not my place to say.... เอาเป็นว่า ที่เขียนมาทั้งหมด: - ก็แค่อยากจะบอกเล่าเก้าสิบ เราค่อนข้างระวังในการเขียน คิดแล้วคิดอีกว่าจะ post ที่หน้า page ดีมั้ย เพราะมันก็มองได้หลายแง่มุม เราเขียนที่ blog เราอยู่แล้วหละ ที่ johnpaopeng.com แต่บางอันก็ไม่ได้เอามาลงที่ facebook page สื่อ social บางทีมันก็ public เกินและไปไว คนที่ไม่รู้จักเรา ก็อาจจะมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็ได้ - ก็หวังว่ามันจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน กว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ เลือดตาแทบกระเด็นครับ เราเริ่มจาก 0 คุณอาที่เมืองไทยบอกเลยว่า ถ้าจบ ป.ตรีแล้วห้ามแบมือขอเงิน ดังนั้นเราต้องจัดการชีวิตของเราหมดเลย จะลงทุนอะไรต้องเก็บหอมรอมริบ ทำเองทุกอย่างจากสมองและสองมือที่มี - จาก Zero to Hero เราสามารถทำได้นะครับ ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยันและอดทน แล้วฟ้าจะประทานพร เมื่อถึงที่หมาย อย่าลืมที่มา ไม่ใช่เพราะโชคชะตา แต่เป็นเพราะเรานั่นแหละ ที่ทำมันขึ้นมาเอง เขียนไว้ให้ตัวเองอ่าน บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ เขียนเอาไว้ ณ วันที่ 11/01/2023 เขียนก่อนเข้านอนก่อน 10pm มันอาจจะวกวนไปบ้างตามประสาคนง่วง (ในขณะที่ลูกลิงกับแม่ลิงพากันดู Netflix เกาหลี) |
AuthorJohn Paopeng Archives
October 2024
Categories |