“ตัวเรานั้นเล็กนิดเดียว”
เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา เราก็ทำงานอยู่ Wollongong office แล้ววันรุ่งขึ้น วันศุกร์ซึ่งก็คือเมื่อวาน เราก็ต้องไปทำงานที่ Canberra office วันพฤหัสบดีเราก็เลยพยายามที่จะไม่รับลูกค้าเยอะ เราจัดตารางการทำงานของเราเอาไว้แล้ว ทุกอย่างลงตัว เรา fix อะไรไว้หมดแล้วว่าวันนั้นต้องทำอะไรบ้าง ดูจากตารางการทำงานแล้วเราก็เจอลูกค้าจนถึงแค่ 4pm เพราะเราก็มีตารางที่จะไปออกกำลังกายตอน 5:30pm แต่มันก็อาจจะมีบ้างเป็นบางที ที่ลูกค้าซึ่งอยู่ใกล้ ๆ แถว Wollongong และเขาก็ทำงานอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศของเรา เดินประมาณ 5 นาที ลูกค้าบอกว่าอยากจะแวะเข้ามาที่ออฟฟิศ เอาเอกสารมาให้ 4 แผ่น จริง ๆ เราก็บอกลูกค้าไปแล้วว่าเอกสารทุกอย่างสามารถสแกนแล้วก็ส่งมาให้เราทางอีเมล์ ไม่ต้องแวะเข้ามาก็ได้ เพราะวันนั้นเราก็ fix เวลาอะไรของเราไว้หมดแล้ว ว่า 4pm เราต้องออกจากออฟฟิศ แล้วไป gym แต่น้องลูกค้าก็อยากจะแวะเอามาให้ด้วยตัวเอง เราก็บอกน้องว่าโอเค เพราะคิดว่าคงไม่นาน แค่แวะเอาเอกสารเข้ามาให้เฉย ๆ น้องก็เอาเอกสารเข้ามาให้แค่ 4 แผ่นนี่แหละ ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย น้องเขาก็คงจะเข้ามาคุย อยากเข้ามาเจอตัวเราเป็น ๆ เพราะที่ทำงานของน้อง ก็ห่างจากออฟฟิศของเราแค่ 5 นาทีเอง เดินแป๊บเดียว น้องก็เข้ามาหาเราตอน 4pm แต่หลังจากที่เราคุยกันเสร็จ สรุปวันพฤหัสเราก็ไม่ได้ไปออกกำลังกาย เพราะพอกลับมาถึงบ้าน เราก็หิวข้าวมาก นั่งกินนั่น นี่ โน่น มันก็ไม่อยากออกไปออกกำลังกายแล้วล่ะ เพราะ class เขาเริ่มกัน 5:30pm กว่าจะเปลี่ยนชุดอีก กว่าจะขับรถไปอีก สรุปก็เลยไม่ได้ไป (ข้ออ้างหรือเปล่านะ) จากเหตุการณ์วันนั้น เราก็ได้ข้อคิดอะไรเยอะแยะมากมายจากการที่น้องคนนั้นเข้ามาหาเราที่ออฟฟิศ สำหรับเราแล้วการที่ลูกค้าเข้ามาหาเราที่ออฟฟิศหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราชอบที่ลูกค้าติดต่อเราทางออนไลน์มากกว่า แต่สำหรับลูกค้าบางคน มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เขาอยากจะเข้ามาพูดคุย ถึงแม้จะเป็นการเอาเอกสารเข้ามาให้แค่ 4 แผ่นก็ตาม เขาก็อยากจะเอาเข้ามาให้ด้วยตัวเอง เพราะที่ทำงานเขาก็ไม่ไกลจากที่ทำงานของเรา น้องกับแฟนเขาพยายามทำเรื่องเองแล้ว แล้วเข้าไปกรอกข้อมูลแล้วในระบบออนไลน์ แต่กรอกผิดเยอะมาก เดี๋ยวเราต้องไปนั่งแก้ให้เขา น้องเคยติดต่อเรามาแล้วตั้งแต่ต้นปี น้องกับแฟนเห็นราคาและค่าบริการของเราแล้ว เขาคิดว่ามันสูงไป เขาก็เลยทำกันเอง พอน้องกับแฟนเขาเริ่มทำกันเอง เขาถึงรู้ถึงความยุ่งยากว่ามันทำยากขนาดไหน บวกกับพวกเขาก็ไม่มีเวลาด้วย เพราะต้องทำงาน เขาก็เลยต้องเก็บหอมรอมริบ เก็บตังค์ตั้งนาน สุดท้ายแล้วก็ต้องมาจ้างเราให้เราเข้ามาดูแลให้ มาแก้ไขพวกข้อมูลที่เขากรอกผิดกัน ชีวิตของคนที่ประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะคนไทยหรือฝรั่ง หลายชีวิต หลายครอบครัว ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ไม่ได้มีการศึกษาสูง ฝรั่งที่นี่ หลายคนก็เป็นพวกกรรมกรที่ต้องใช้แรงงาน แบกหาม ขับรถบรรทุก จบการศึกษาแค่ year 10 (ม. 4) ในฐานะที่เราก็เป็นอาจารย์ด้วย บอกได้เลยว่าการศึกษาแค่ year 10, สำหรับเราแล้วถือว่าต่ำมาก มาตรฐานของเราอยู่ที่ อย่างน้อยก็ต้องจบ year 12 กับชีวิตบางที มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า “เฮ้ย เราอย่าเรื่องมาก มากเลย” ต่อให้คิวงานเราเต็มแล้วในวันนั้น แต่ถ้าน้องเขาจะแวะเข้ามาแค่ 15 ถึง 30 นาที ก็คงไม่เป็นไรมั้ง เราอย่าเรื่องมากเลย เราให้น้องเขาเข้ามาพบเรานั่นแหละดีแล้ว 15 ถึง 30 นาทีสำหรับเขา มันอาจจะมีความหมายมากสำหรับเขาก็ได้ มันก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับคนอื่นได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับเราบ้าง ไม่ใช่เจอเราแต่ในโลกออนไลน์ ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นการเปิดโอกาส เปิดโอกาสให้กับตัวเราเองด้วย เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้และสัมผัสกับชีวิตของคนอื่นด้วย เพราะเราเองก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเด็ก IT ชอบทำงานผ่านคอมพิวเตอร์มากกว่า มากกว่าที่จะมานั่งคุยกับคน ตัวต่อตัว บางทีเราก็มัวแต่คิดถึงตัวของเราเอง Self-centred มากจนเกินไป จนลืมคิดถึงคนอื่น บางครั้ง เราก็ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็เราเป็นเด็กยุค 4G, เด็ก IT, เด็กเรียน, เด็ก nerd เราจะมีกลุ่มของเราอยู่แล้ว กลุ่ม เด็ก IT, เด็กเรียน, เด็ก nerd อะไรประมาณนี้ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ มาตรฐานของเราสูง กำแพงกั้นของเราสูง จริง ๆ แล้ว บนโลกใบนี้กับประชากรไม่รู้กี่ล้านล้านคน ถ้าเปรียบไปแล้ว ตัวเรานั้นเล็กมาก เหมือนแค่มดตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็พยายามบอกตัวเองว่า เราไม่ต้องมี “อัตตา” อะไรมากก็ได้ ไม่ต้องมีตัวตน ไม่ต้องมีทิฐิ ตัวเราไม่ได้พิเศษอะไร (มาก) ไปกว่าคนอื่นเขา เราเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามาในชีวิตเราบ้างก็ดี กำแพงที่มันกั้นอยู่ ไม่จำเป็นต้องสูงมากก็ได้ เรามีโลกส่วนตัวของเราได้ แต่เราก็ควรเปิดโอกาส ควรเปิดประตูให้มันแย้ม ๆ บ้างเล็กน้อย ให้คนอื่นได้เดินเข้ามาในชีวิตเราบ้าง แค่ 10 ถึง 15 นาที ก็คงไม่เป็นไรมั้ง ถึงแม้ว่าวันนั้นเหนื่อยแล้ว แต่ถ้าจะเหนื่อยต่ออีกแค่ 10 - 15 นาที มันก็คงไม่เป็นไร ทุกชีวิต ทุกเหตุการณ์ มันสอนอะไรเราได้เยอะจริง ๆ เราก็เปรียบเสมือนมดตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้ เราอย่าไปอะไรมากมายกับ ชีวิตเลย ...อะ… เรียนรู้กันไป ชีวิตนี้ การทำธุรกิจทุกอย่าง
มันก็ต้องมี “เป้า” ยอดขาย หรือ target ที่เราต้องการทำในปีนั้น ๆ ซึ่งก็อาจจะรวมไปถึงการทำ content marketing ด้วย อย่างเช่น เมื่อปีที่แล้ว เรา set target เอาไว้ว่า เราจะโพสวีดีโอคลิปให้ได้ 100 คลิปใน YouTube ภายในวันที่ 31 Dec 2017 ซึ่งเราก็จำไม่ได้เหมือนกันว่า เราทำได้ถึง 100 คลิปหรือเปล่า เราคิดว่าคงไม่ถึง รู้สึกว่าเราทำได้แค่ 97 คลิปเท่านั้นภายในวันที่ 31 Dec 2017 ซึ่งเราก็ถือว่าใกล้เคียงกับ target ที่เราวางเอาไว้ เพราะการทำ Content Marketing มันจะต้องเน้นที่คุณภาพของ Content ด้วย ไม่ใช่เน้นที่ปริมาณอย่างเดียว ขาดไปแค่ 3 คลิป ก็คงไม่เป็นไรนะ เพราะเราก็ทำคลิปต่อหลังจากนั้น ตอนนี้ มันก็คือ 100 คลิปมาแล้ว เกินมาเยอะแล้วด้วย นั่นมันเรื่องของปีที่แล้ว ตอนนี้เราไม่มีเป้าหรือ target ของยอดวีดีโอคลิปที่เราต้องทำแล้ว ปีนี้ เราไม่มี target ในการทำ วีดีโอคลิป Content Marketing เท่าไหร่ เพราะเราคิดว่าทุกอย่างเริ่มอยู่ตัวแล้ว แต่ก็ยั ทำเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอ จันทร์ พุธ ศุกร์ ส่วนเรื่องของยอดขาย แน่นอน “เป้า” หรือ target ตัวนี้จะสำคัญมากกว่า target ในการทำ Content Marketing เพราะเป้าของยอดขายมันหมายถึงรายได้ที่เข้ามา จับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน และเก็บออมเอาไว้เพื่อไปใช้กับการลงทุนอะไรอย่างอื่นด้วย passive income คือเป้าหมายในชีวิตของการทำงานที่แท้จริงของเรา เพราะเราไม่ต้องการทำงานไปจนแก่เฒ่าจ้ะ เนื่องด้วยงานที่เราทำของ “J Migration Team” มันก็จะเกี่ยวข้องกับกฎหมาย Immigration ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ดังนั้นการวาง “เป้า” หรือ target ของแต่ละปีมันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง บนพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงด้วย การทำงานของเราเราจะวาง “เป้า” หรือ target ที่เราต้องการเฉพาะการทำ case ใหญ่ ๆ เท่านั้น พวก case เล็ก ๆ เราจะไม่มีการวางเป้าหมายหรือ target ในเรื่องของยอดขาย เพราะ case เล็กๆ นั่นหมายถึงค่าบริการที่ถูก แต่ถ้าเผื่อเป็น case ใหญ่ เราก็จะคิดในอีกระดับหนึ่ง เคสเล็ก ๆ อย่างเช่น วีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน การขอ Citizen และก็อะไรต่าง ๆ นานา เราถือว่าเป็น case เล็ก ๆ ซึ่งเราก็ยังทำแล้วก็รับงานตามปกติ แต่ว่าจะไม่ได้เน้นตรงจุดนี้มากเท่าไหร่ เรื่องการให้คำปรึกษาแบบ face-to-face consultation นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เราไม่มี target อยู่แล้ว เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่คุ้มกับการทำธุรกิจอยู่แล้ว รายได้ของเราที่ได้เข้ามาหลัก ๆ แล้วก็จะได้มาจากการทำเคสใหญ่ๆ อย่างเช่น
ปีนี้เราก็มี target อยู่ในใจว่า เราต้องทำ case ของ Partner Visa ให้ได้กี่ case ภายในปีนี้ ก่อนวันที่ 31 Dec 2018 ซึ่งเป้าหรือ target ตัวนั้น ณ วันนี้ เราทำยอดได้แล้ว เราทำถึงเป้าที่เราต้องการ นี่แค่ October เอง ยังไม่ถึง December ด้วยซ้ำ นี่คือผลลัพธ์ของการทำงานหนัก ใส่ใจในงานที่ทำ อยากให้ผลลัพธ์ออกมาดี Celebrates small wins along the way. Pat myself on the back. เมื่อตอนนี้เราทำยอดขายถึงเป้าหรือ target ที่เราต้องการแล้ว ตอนนี้เราก็มีทางเลือกสองทางคือ
การวาง “เป้า” target หรือยอดขายในการทำธุรกิจ เราไม่ต้องไปแข่งขันอะไรกับใครทั้งสิ้น เราแข่งกับตัวเราเองนี่แหละ ว่าวันนี้เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง Be your best self แล้วหรือยัง การแข่งกับตัวเอง มันสนุก มันมีความสุข และเราก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะมากมาย เมื่องานมันสนุก เมื่อเรามีความสุข ทุกคนที่อยู่รอบข้างก็จะมีความสุขไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือว่าทีมงานเราเอง ที่ “J Migration Team” เราดูแลทีมงานเราก่อน ก่อนที่จะดูแลลูกค้า…. เสมอ ปรัชญาในการทำงานของเรา ปรัชญาในการทำธุรกิจของเราอาจจะแตกต่างจากคนอื่น ก็ไม่เป็นไร เราเคารพในความคิดเห็นต่าง แต่ก็แค่อยากจะแบ่งปัน และให้หลาย ๆ คนลองนำเอาไปประยุกต์ดู ประยุกต์ให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหน้าที่ การงาน และการทำธุรกิจ อย่าลืมนะครับ ชีวิตเรามันมีอะไรที่สำคัญมากกว่านี้ มากกว่าการทำงาน มากกว่าการทำธุรกิจ สิ่งเหล่านั้นก็คือ คนรอบข้าง คนในครอบครัว และเมื่อไหร่ที่เรากินอิ่มแล้ว กินพอแล้ว เราก็อย่าลืมแบ่งปันอะไรให้กับสังคม ให้กับโลกใบนี้ด้วยนะครับ บางทีการทำ content สั้น ๆ ด้วย facebook LIVE แค่ 5 นาที ก่อนเข้า gym ก็สามารถเป็นการสร้าง content ที่ดีได้ เราทำ facebook LIVE ไปได้ไม่นาน 3 วัน 10,6060 people reached 217 likes 51 comments 46 shares 4,200 views ซึ่งถือว่าเยอะภายใน 3 วัน แต่จริง ๆ แล้ว มันเยอะตั้งแต่ 6 ชั่วโมงแรกแล้ว หลังจากทำ Facebook LIVE ไป 6 ชั่วโมง เราก็ reach 8,349 คนแล้ว และ 3,200 views 43 shares ซึ่งก็ถือว่าเยอะสำหรับเวลาแค่ 6 ชั่วโมง และทำ LIVE แค่ 5 นาที ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความตั้งใจว่าจะทำอะไรเลย เพราะกำลังจะไป gym มันก็อาจจะเป็น content ที่หลาย ๆ คนสนใจ ในขณะเดียวกัน post ที่เราเตรียมเอาไว้วันนั้น
เรื่องการทำ Australian police check กลับได้รับความสนใจที่น้อยกว่า มี reach น้อยมาก คนเห็น post น้อยมาก ซึ่งบางทีเราก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่เท่าที่ดูจากผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนว่าคนจะชอบเรื่อง drama อะไรมากกว่า ข่าว ๆ นั่น นี่ โน่น ซึ่งเราก็คิดว่า นาน ๆ ทำ content เรื่องพวกนี้ก็ OK แหละ แต่ทำบ่อยไม่ได้ เราจะกลายเป็นพวกสินค้าแบกะดินไป เราต้องการให้ความรู้หรือข้อมูลที่มันเกี่ยวข้องกับกฎหมายของอิมิเกรชั่น หรือการขอวีซ่าของประเทศออสเตรเลียมากกว่า มันเป็นอะไรที่ specialise มากกว่า มากกว่าการแจ้งข่าว บอกเล่าเก้าสิบแบบนี้ แต่ anyway... เราก็คิดว่าถ้าถูกอย่างทำออกมาอย่าง balanced ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป มันก็น่าจะ OK การทำ content marketing สมัยนี้มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการเขียน blog, ทำ podcast, ทำ video clip ลง YouTube หรือการทำ facebook LIVE เราเริ่มต้นทุกอย่างจากการเขียน blog เพราะเราเป็นชอบเขียนอะไรอยู่แล้ว มันอาจจะใช้เวลาเยอะนิดหนึงในการทำงาน แต่มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานไปแล้ว เราคิดว่า facebook fanpage ของเราที่ "J Migration Team" เป็นอะไรที่ลงตัวแล้ว ที่เหลือตอนนี้เราก็แค่อยากจะทำอะไรอย่างอื่นด้วย สิ่งที่พยายามจะ focus และค่อย ๆ build ฐานแฟนก็คงจะเป็น podcast เราชอบ podcast ตรงที่ มีมือถือก็จับมาอัดเสียงเลย ไม่ต้องแต่งตัว ไม่ต้องมา worry เรื่องเสื้อผ้า หน้าผม เหมือนการทำ video clip หรือ facebook LIVE อย่าง blog ที่เราเขียนไปข้างบนของ “J Migration Team” ที่เราโพสต์ไปเมื่อวันที่ 6 Oct 2018 เราก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่หลาย ๆ คนคงอยากจะรู้ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีแบบนี้ 7,283 views 428 likes (ณ ตอนที่เขียน) 15 comments 51 shares (share เป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะมันเป็นการกระจายและเพิ่มการมองเห็นของ blogหรือ post ของเรา) นี่คือผลลัพธ์ที่ไม่ต้อง boost post อะไรทั้งสิ้น เพียงแค่เราเขียนในสิ่งที่หลาย ๆ คนอยากรู้ ก็แค่นั้นเอง เหนื่อยหน่อย ทำงานเยอะกว่าชาวบ้านเขาหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันก็คุ้ม เราไม่เคยไปเข้าเรียนคอร์สการเขียน content อะไรกับใคร ทุกอย่างศึกษาด้วยตัวเอง ตื่นแต่เช้าหน่อย ศึกษาหาความรู้ให้กับตัวเองในเรื่องแบบนี้ แล้วก็ลงมือทำ ทำทันที เรียนรู้ ปรับปรุง และก็แก้ไขกันไป หากเราใส่ใจในสิ่งที่ทำแล้วก็ทุ่มเทในสิ่งที่ทำ เราคิดว่าผลลัพธ์มันต้องออกมาดี ก็เพราะทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวของมัน อาทิตย์ที่แล้ว ครอบครัวไปเที่ยวที่ Jervis Bay กัน
8-9-10 Oct เราก็เหมือนแค่เปลี่นสถานที่ทำงานแหละ เพราะเราก็ยังนั่งทำงานอยู่ทุกวัน 8-9 Oct โชคดี อากาศแจ่มใส ลูกลิงได้วิ่งเล่น อะไรกันสนุก ๆ วันพุธที่แล้ว 10 Oct วันที่พวกเราต้อง check out ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกตลอด พวกเราหนะไม่เป็นไรหรอก เพราะพวกเราก็กำลังจะกลับบ้าน มันก็ทำให้เราอดคิดถึงผู้ประกอบการทั้งหลายที่ Jervis Bay เพราะที่นี่ธุรกิจหลัก คือธุรกิจการท่องเที่ยว ถ้าฝนตก อากาศไม่เป็นใจแบบนี้ แล้วจะมีคนมาเที่ยวมั้ย มันก็ทำให้เราคิดว่า เออ เราก็โชคดีนะ ที่เราเน้นการทำตลาดทาง online ทำ content marketing ของเรา เรากับพี่สาวเราที่เมืองไทย คุยกันเรื่องเสมอเรื่อง online marketing, content marketing เพราะตอนนี้ธุรกิจของพี่สาวเราเองก็ไปได้สวย เหลือแต่ของน้องสาวที่แหละ ที่พวกเราพยายามผลักดันกันอยู่ เธอก็ไม่ค่อยกระเตื้องเลย บางทีคนบอกเองก็เหนื่อยได้เหมือนกันนะ เมื่อนิสัยของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนแปลง Disrupt before being disrupted. Video Ezy และ Civic Video หลายพื้นที่ต้องปิดตัวลงไป เพราะผู้บริโภคหันมาดูหนัง ดูรายการ online กัน หรือไม่ก็ Netflix Sears ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่ US ก็เพิ่งจะปิดตัวไป เพราะผู้บริโภคตอนนี้ซื้อของ online กัน โชคดดีเราเป็นเด็ก IT เป็นอาจารย์สอน IT ด้วย เรื่องพวกนี้เราสอนนักเรียนอยู่ในห้องเรียนอยู่แล้ว มันก็เลยเป็นอะไรที่สัมผัสได้ จับต้องได้ ไม่มโน เมื่อโลก และโรค เปลี่ยนไป คนไปอยู่ที่ไหน เราก็ต้องไปอยู่ที่นั่น คนไปอยู่ในโลก online เราผู้ประกอบการก็ต้องไปอยู่ในโลก online ด้วย คิดถูกแล้ว ทำถูกแล้ว ที่เราเอาตัวเองออกมาอยู่ในโลก online คิดถูกแล้ว ที่เราไม่ฟังเสียงนก เสียงกา ตอนที่เราเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ Pat myself on the back. Celebrates small wins along the way. ตอนนี้มีแต่มองไปข้างหน้า ไม่มองข้างหลัง ถ้าเราทำได้ ทุกคนก็น่าจะทำได้ เราขอใช้ website นี้, page นี้, blog นี้ มอบความดี ความรู้และคืนกำไรให้กับสังคมก็แล้วกัน งดงาม โค้งหนึ่งที่ ส่งจูบ โบกมือเบา ๆ โลกนี้ดูสวยงามจ๊ะ ทุก ๆ วันคือวันที่ดี ทุก ๆ อย่างขึ้นอยู่กับ mindset ไม่เกี่ยวกับ กฎแรงดึงดูด ไม่เกี่ยวกับ The Secret สำหรับเรา มันคือ subconscious หรือจิตใต้สำนึก (มีมานานกว่า กฎแรงดึงดูดและ The Secret เยอะ ลองหาอ่านดูได้จาก Think and Grow Rich เรื่องกฎแรงดึงดูด และ The Secret สำหรับเรา มันเป็นเรื่องขี้ประตี๋วมาก โถ พ่อคุณ แม่คุณ เพิ่งจะมาเห่อกันที่เมืองไทย อ่านสิจ๊ะอ่าน เพิ่มหยักในสมอง) 2 วันที่ผ่านมา
เมื่อวาน วันอังคาร และก็วันก่อน (วันจันทร์) ถือว่าเป็น 2 วันที่เรานั่งทำงานอยู่หน้า computer นานมาก ดูเหมือนว่า เรานั่งอยู่หน้า computer ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนเลย ตี 4 ตี 5 เลยก็ว่าได้ ตอนเช้า เราก็จะนั่งเขียน blog เขียน content อะไรของเราไปเรื่อยเปื่อย หรือบางทีก็ศึกษาหาความรู้เรื่อง online marketing, social media marketing อะไรต่าง ๆ นานา คือมันต้องเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลาเลย เรื่องการทำธุรกิจเนี๊ยะ แต่ก็สนุกและชอบ พอถึงเวลาทำงาน 8am, 9am เราก็นั่งจดจ่ออยู่กับ computer ตลอดเวลาเลย จนถึง 9pm เลยก็ว่าได้ ไม่ได้อยู่หน้า computer ก็เฉพาะตอนไปเต้น Zumba อย่างที่เห็นใน facebook LIVE หรือไป gym และก็เวลาอาบน้ำ ทานข้าว อะไรประมาณนี้ นอกนั้นมันคือเวลาของการทำงานเลยจริง ๆ เพราะมันมีอะไรที่จะต้องให้ทำเยอะแยะมากมาย มหาศาล แต่เราก็ชอบและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ แต่ที่สังเกตุได้ก็คือ เอ๊ะ ตั้งแต่เมื่อวานละ รู้สึกปวดหลังนิดหน่อยนะ เราก็พยายามนั่งตัวตรง และลุกออกจากโต๊ะทำงานอยู่เรื่อย ๆ แล้วนะ แต่บางที่เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันก็ยังไม่ดีพอ วันนี้ร่างกายบ่งบอก แต่ทำไงได้หละ งานเยอะ ดีกว่าไม่มีงานไม่ใช่เหรอ ถือว่าเป็น ปัญหาที่ดีก็แล้วกัน เราก็แอบคิดอยู่ว่า เอ๊ะ ถ้าเข้าไปทำงานที่ Sydney คราวต่อไป จะแวะไปร้านนวดดีมั้ยนะ พวกนวดแก้อาการ แต่เราอยากได้คนที่นวดได้จริง ๆ ไม่ใช่นักเรียนที่แบบว่าไปเรียนต่อ ๆ กันมา นวดไม่เป็น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดมา เราก็ยังไม่เคยไปนวดอะไรกับเขาเลย เอ๊ะ มันจะดีจริงเหรอ มันช่วยได้จริงเหรอ หรือของเรา แค่พักผ่อนหน่อย 2-3 วันมันก็น่าจะ OK หรือเปล่านะ หรือถ้าไปนวดจริง ๆ เราจะเชื่อใจคนนวดได้ยังไง เอ๊ะ นี่เราจะต้องแบบว่าถอดเสื้อผ้าให้คนอื่นนวดด้วยเหรอเนี๊ยะ คิดไปคิดมา เออ ไม่เอาดีกว่านะ ยังไม่ค่อยพร้อม อะไรแบบนั้น หรือว่าเราไปนวดร้านจีน พวกที่ไม่มีใครรู้จักเรา ถ้าไปร้านไทย ก็คงลำบาก คนรู้จักเราเยอะ หรือว่าเราคิดมากไปเอง.... นะ..... แต่ anyway... 2 วันที่ผ่านมา เรากับทีมงานก็ clear งานกันไปเยอะแล้ว ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรเร่งด่วนกันเล้ว คิดว่าทุกอย่างคงลงตัว เราก็คงไม่จำเป็นต้องเร่ง เร่ง และก็เร่งงานเหมือน 2-3 วันที่ผ่านมา คิดว่าร่างกายก็น่าจะพักฝื้นดีขึ้น (หรือเปล่านะ) บางที ไอ้ที่เราเร่งรีบกับงานเนี๊ยะ มันก็ไม่ดีเหมือนกันนะ เราก็ได้แต่หวังว่า หลังจากวันนี้ ทุกอย่างคงลงตัว ...ใครไม่เจอไม่มีทางได้รู้... เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เราได้มีโอกาสคุยกับน้องคนไทยคนหนึ่ง พอดีว่าน้องเขาเข้ามาปรึกษาเราเรื่องวีซ่าที่ Wollongong
นอกจากคุยกันเรื่องวีซ่าแล้ว เราก็ยังคุยกันเรื่องอื่นสัพเพเหระ น้องคนนี้เป็นเจ้าของธุรกิจมือใหม่ เป็นเจ้าของร้าน Cafe อยู่ที่ซิดนีย์ มันทำให้เรามองเห็นภาพของเราตอนที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ ไม่ใช่ธุรกิจ J Migration Team เราก็เริ่มทำธุรกิจตอนที่อายุเราไล่เลี่ยกันกับน้องเขานี่แหละ สิ่งที่เราคุยกับน้อง สิ่งที่เราบอกน้องไปก็คือ หลักในการทำธุรกิจไม่ว่าจะอะไรยังไงก็ตามแต่ สิ่งแรกเลยทีมงานเรา พนักงานเรามาก่อนเสมอ ปรัชญาและแนวคิดของเราอาจจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่นมากเท่าไหร่ ถามว่า “ลูกค้า” สำคัญไหม ลูกค้าก็สำคัญนะครับ แต่เราจะดูแลทีมงานหรือพนักงานของเราก่อน เพราะหากทีมงานเราทำงานดี งานเราก็จะออกมาดีเอง มันก็เป็นการดูแลลูกค้าที่ดีทางอ้อมด้วย การมีทีมงานที่ดี มันเป็นการช่วยประหยัดเวลาของเราเยอะเลย การทำธุรกิจ มันก็ต้องมีการ scale ด้วย มีการขยายธุรกิจ แต่ก่อน J Migration Team เราทำเองคนเดียวทุกอย่าง เหนื่อย แต่ก็สนุกและมีความสุข ตอนนี้เรามีทีมงานเข้ามาช่วย เราก็ได้มีเวลาในการรับงานเยอะมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราก็ยังเวลาให้กับตัวเองด้วย ได้มีเวลาไปอ่านหนังสือ ไปออกกำลังกาย ไป gym ไปทำกิจกรรมอะไรอื่น ๆ เยอะแยะมากมายกับครอบครัวด้วย สมัยก่อนตอนที่เราเริ่มทำธุรกิจใหม่ ๆ เราไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เรื่องการบริหาร เรื่องการทำธุรกิจ รู้แต่ว่าไม่อยากเป็นลูกจ้างใครแล้ว ก็เลยออกมาทำอะไรเอง จากแต่ก่อนที่เคยทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ เขียนโปรแกรม จู่ ๆ เราก็กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจ เราก็ต้องเรียนรู้อะไรเองในระหว่างทาง ล้มลุกคลุกคลานบ้าง ผิดถูกบ้าง เรียนรู้กันไป การทำธุรกิจของเราเมื่อสมัยก่อนแตกต่างจากตอนนี้มากนัก ตอนนี้ธุรกิจหลักของเราก็คือ J Migration Team ซึ่งเราก็จะเน้นการทำตลาดออนไลน์มากกว่า การทําธุรกิจออนไลน์ได้เปรียบกว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านเสมอ เมื่อเราเลือกที่จะทำการตลาดออนไลน์ เราก็เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น เราไม่ได้จำกัดเฉพาะลูกค้าที่อยู่ที่ Wollongong อีกต่อไป ดังนั้นกำลังทรัพย์ กำลังในการดูแลทีมงานของเราก็มีเพิ่มมากขึ้น ปรัชญาการทำงานของเราตอนนี้ง่าย ๆ มากเลย หากเราดูแลเขา เขาก็จะดูแลเรา แล้วเราก็จะมีเวลาไปดูแลลูกค้า ดังนั้นโดยส่วนตัวเราแล้ว เราเลือกที่จะดูแลทีมงานของเราก่อนเสมอ งานทุกอย่างจะต้องเป็น Win-Win ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทั้งตัวเราเองแล้วก็คนที่ทำงานกับเราด้วยส่วนการดูแลลูกค้า ทุกอย่างมันจะตามมาเอง ก่อนที่เราจะดูแลลูกค้า แล้วต้องดูแลทีมงานของเราก่อน ทีมงานของ J migration Team แตกต่างจากทีมงานของธุรกิจอย่างแรก ๆ ที่เราทำ ทีมงานชุดนี้เราเป็นคนไปชวนเขามาทำกับเรา ดังนั้นเราจะต้องดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด ก็เอาเป็นว่าเรายังไม่อยากเปิดเผยข้อมูลอะไรมากตอนนี้ ก็รอติดตาม blog หรืองานเขียนของเราต่อไปก็แล้วกัน ทุกอย่างจะค่อย ๆ เปิดแย้มออกมา (เมื่อมันถึงเวลาที่สมควรของมัน) ปรกติแล้วเราเป็นคนไม่ดูข่าว
ยิ่งข่าวที่เมืองไทย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เราจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย Oct 2016 เรากับครอบครับไปเที่ยวกันที่ Sunshine Coast และเราก็ไปทำงานที่ Brisbane office ด้วย วันที่ 13 Oct 2016, เวลาที่ออสเตรเลียก็เป็นวันที่ 14 Oct 2016 แล้ว เราวางมือถือ เปิดเป็น silent วางไว้ข้างที่นอนเพื่อดูเวลา ที่พักที่โรงแรม คืนนั้นเป็นอะไรไม่รู้ เราตื่นขึ้นมาและก็เอามือถือมาดูเวลา คิดว่าน่าจะประมาณ ตี 2, ตี 3 เราก็เห็นข้อความใน LINE ส่วนตัวของเราเยอะมาก เป็น LINE มาจากเพื่อน ๆ ที่เมืองไทย อ่านแล้วก็ใจหายนิดหนึง มันดึกแล้ว แฟนเราก็นอนหลับอยู่ข้าง ๆ เราก็นอนน้ำตาไหลเงียบ ๆ น้ำตาเปียกหมอน แล้วก็หลับไป พอตื่นเช้ามา เราก็บอกให้ภรรยาเราฟัง แต่เขาก็เป็นคนต่างชาติหนะน๊อ เขาจะมารู้สึกผูกพันอะไรอย่างที่เราเป็นก็คงไม่ได้ เช้าวันที่ 14 Oct 2016 เราก็เห็นทุกคน และทุก facebook page ของเมืองไทย เปลี่ยนรูป profile เป็นสีดำ เราก็เลยนั่งเปลี่ยน social profiles ของเราต่าง ๆ ด้วย เราไม่รู้หรอกว่าที่เมืองไทยเขามีการประกาศอะไรกันหรือเปล่า เราเห็นคนอื่นทำ เราก็ทำตาม เราก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง วันที่ 14 Oct 2016 เราก็ใช้ชีวิตของเราไปตามปรกติ เพราะพวกเราอยู่ที่ Sunshine Coast กัน เราก็ไปนั่น นี่ โน่น กันกับภรรยา ลูกลิง และ mother-in-law ที่มาจากสิงคโปร์ด้วย เขามาเที่ยว ช่วงที่อยู่ในหมู่คนเยอะ ๆ เราก็ OK พูดคุย ไปเที่ยวตามจุดนั่น นี่ โน่น ใน Sunshine Coast กันตามปรกติ ลูกค้า LINE มาสอบถามนั่น นี่ โน่น เราก็ตอบลูกค้า และก็ทำงานไปตามปรกติ แต่บางช่วงที่เราต้องอยู่คนเดียว มันก็มีช่วงที่ทุก ๆ คนเขาไปเดิน shopping กัน เราเป็นคนไม่ชอบเดิน shopping ก็เลยแยกตัวออกมาเดินคนเดียว หรือบางทีก็นั่งรอ ในช่วงที่เดินคนเดียว อยู่คนเดียวนี่แหละ มันลำบากมาก น้ำตามันก็จะเอ่อตานิดหนึง นี่คือเดินใน shopping centre นะ พอสักหน่อย เดิน ๆ อยู่ เราก็ได้รับ email จากอิมมิเกรชั่นว่าลูกค้าได้ PR วีซ่าผ่าน OK เราก็โทรไปหาลูกค้า แสดงความยินดีกับเขา พอคุยกับลูกค้าเสร็จ ดีใจ อะไรกับเขาเสร็จ ทำงานเสร็จแล้ว นั่งอะไรเงียบ ๆ คนเดียวในระหว่างที่รอคนอื่นเขา shopping กันอยู่ น้ำตามันก็จะเอ่อตาอีกแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลออกมา ไม่ได้เป็นแบบนั้นในที่สาธารณะ คือวันนั้นอารมณ์มันมีขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอด 14 Oct 2016 เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา เราขอจดเป็นบันทึกไว้ ณ ที่นี่ จะได้กลับมาอ่านย้อนหลังอีกทุก ๆ ปี 13 - 14 Oct 2016 วันนั้นทุกคนเขาใช้ชีวิตยังไง เป็นยังไงบ้างนะ เราอยากจะรู้ เราเคยเจอ Scott Harris ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
ปีที่แล้วเราไปงาน seminar ของ Business Squared ที่เราก็เจอ Gary Vee ด้วย Seminar ของ Business Squared ไม่มีอะไรมาก ก็จะเป็น seminar ที่เขาเชิญหลาย ๆ คนมาพูดขายของมากกว่า คือทุกคนมาขาย business coaching ของตัวเอง และแต่ละคนก็ไม่ได้ถูก ๆ เลย วันนี้ Scott Harris มี FREE seminar ที่ Sydney 1 วันเต็ม ๆ เราลงทะเบียนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไป เพราะ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา เราเดินทางบ่อยเกิน มันจะมีผลกระทบกับงานที่เรา คือเราจะ clear งานของเราไม่ทัน วันนี้ก็เลยพลาดไป เสียดายมาก อยากจะไปนั่งฟัง Scott Harris แบบเต็ม ๆ วันสักครั้ง เพราะคราวก่อนเขามาพูดแค่ 30 - 45 นาที พูดแค่นั้นไม่พอ เราอยากจะได้มีโอกาสไปฟังเขาแบบเต็มวัน และที่แน่ ๆ ก็คือเป็น FREE seminar เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะมาขายของอะไรหรือเปล่า แต่เราก็คิดว่า ถ้าเขามาขายของเยอะเกินไป ไม่ได้ให้ความรู้ ให้ tricks & tips อะไร เราก็สามารถเดินออกมาได้ ไม่มีปัญหา Scott Harris เป็น Business Coach เป็น 1 ในทีมของ Business Mastery ของ Tony Robbins ซึ่ง Business Mastery ของ Tony Robbins เป็นอะไรที่แพงมาก Scott Harris เองก็ทำ one-to-one private coaching ด้วย 1 ปี $65,000 ที่เรารู้ราคาเพราะว่าเราอยู่ใน facebook group ของคนที่เข้า seminar ของ Tony Robbins เมื่อปีที่แล้ว คนที่เข้าไปทำ private coaching กับ Scott Harris ก็มี Tony Robbins คือคนที่มีชื่อเสียงระดับโลกในสิ่งที่เขาทำ Scott Harris ก็มีชื่อเสียงในประเทศออสเตรเลีย แต่พวกเขาทั้ง 2 ไม่ได้สถาปนาตัวเองให้เป็น "ครู" เป็น "อาจารย์", "อาจารย์ของอาจารย์" หรือเป็น "Master" ช่างเป็นอะไรที่แตกต่างจากที่เมืองไทยนะ Business coach ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อโชว์กล้ามแขม Business coach ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อโชว์ 6 pack แต่ถ้าเป็น personal trainer ด้วย ก็ว่าไปอย่าง ส่วนตัวเราเองก็รู้สึกเสียดายที่ไป seminar ของวันนี้ไม่ได้ รู้สึกว่าเราจัดตารางการทำงานยังไม่ลงตัว การทำธุรกิจของเรา ก็ดูเหมือนว่า เรายังเป็นคอขวดของธุรกิจ ทุกอย่างมาช้าอยู่ที่เรา เพราะงานหลาย ๆ อย่างเราเป็นคนทำเอง ทั้ง ๆ ที่เราก็มีทีมงานเข้ามาช่วยบ้างแล้วในบางส่วน แต่คนที่ check เอกสาร คนที่คุยกับลูกค้า คนที่ทำ content ก็ยังเป็นเราอยู่คนเดียวอยู่ดี มันก็ทำให้เราต้องคิดนะ ว่าเราจะปรับปรุงและบริหารชีวิตและเวลาการทำงานของเราอย่างไร เราจะต้องเร่งเติมไฟ เติมเชื้อเพลิงในการลงทุนในส่วนของที่เป็น passive income ให้มากไปกว่านี้มั้ย หรือว่าที่เราอยู่นี้มันช้าเกินไปนิดหนึง แต่เราก็คิดว่า ไม่เป็นไรนะ เผื่อปีหน้า Scott Harris มา Sydney อีกรอบ ปีหน้าคงจะต้องไป ถ้าเป็น FREE seminar นะ ถ้าจ่ายตังค์ก็คงไม่ เพราะตอนนี้อะไรหลาย ๆ อย่างเราก็เรียนรู้เองจากการอ่าน จากการศึกษาเองจากสื่อต่าง ๆ ด้วย ชีวิตมันคือ lifelong learning จริง ๆ ช่วงนี้โรงเรียนที่ NSW ปิดเทอม มันก็ต้องมีบ้างที่เรากับครอบครัวพากันไปพักผ่อนหย่อนใจบ้าง อะไรบ้าง Jervis Bay เป็นอะไรที่เราทุกคนในครอบครัวชอบไปกัน พวกเรามาครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ปี 2016 เรามากัน 3 ครั้ง แสดงว่าชอบจริง อะไรจริง ปี 2017 เราไม่ได้มา แต่พวกเราก็ไปที่อื่นกัน ปี 2018 ก็เลยพากันมาซะเลย เพราะทีแรกก็เลือกระหว่าง Gold Coast กับ Jervis Bay ถ้าเราไป Gold Coast เราก็คงจะไปทำงาน face-to-face consultation ที่นั่นของเราด้วย แต่ลูกค้าที่ Gold Coast ก็บอกว่า October เป็นช่วงพายุเข้า คงไปเที่ยวไม่สนุก พวกเราก็เลยเลือกมาที่นี่กัน ที่ Jervis Bay สำหรับเราแล้ว ชีวิตการทำงาน และการเที่ยวมันต้อง integrate เข้าด้วยกัน เพราะเราทำงาน Mon-Sat ลูกค้าก็ยังต้องติดต่อได้ตามปรกติ เราก็ยังต้องทำงานเหมือนเดิม นั่งทำ case ไป นั่งเขียน blog ไป นั่งคุยกับทีมงานไป สำหรับเราแล้ว มันก็เหมือนแค่เป็นการเปลี่ยนที่ทำงานก็แค่นั้นเอง เพราะเราไปไหนมาไหน เราต้องมี laptop และ pocket WiFi อยู่แล้ว เราต้องทำงานได้ตลอด ทำได้ทุกที่ และ Jervis Bay เราก็มากันบ่อยแล้ว เราก็แค่อยากให้ลูกลิงและภรรยาได้เปลี่ยนบรรยากาศในการพักผ่อนบ้าง และที่พักปีนี้ แตกต่างจาก 2 ที่แล้วมาก ดูเหมือนว่า Internet และ WiFi น่าจะเร็วขึ้น Internet เขาแรงมาก ต่างจาก 2 ปีที่แล้ว เราก็เลยทำงานได้สบายหน่อย เรามากันที่นี่ 4 ครั้งแล้ว เราก็พักที่เดิมตลอด เพราะชอบตรงที่มันอยู่ตรงแม่น้ำพอดี อยู่ตรง lake เราก็สามารถนั่งทำงานได้ตรงระเบียง ลูกลิงก็ออกไปเล่นพายเรืออะไรของเขาไปเรื่อย ปรัชญาในการทำงานของเราก็คือ ไม่ว่าเราจะทำงานที่ไหนก็ช่าง ลูกค้าต้องสามารถติดต่อเราได้ตลอด ยกเว้นพวก general enquiries ซึ่งพวกนั้น เราถือว่าเป็น 2nd priority สำหรับเราแล้ว ลูกค้าที่ทำ case กับเรา ลูกค้าที่จ่ายตังค์กับเรา เราต้องดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี เขาต้องติดต่อเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนก็ช่าง เราก็โชคดีตรงที่ว่าเราเองก็สามารถทำงานได้จากที่ไหนก็ได้ เพราะทุกอย่างเราวางระบบไว้หมดแล้ว มันก็เลยง่ายหน่อย แต่กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ เราก็ทำงานหนักนะ ก่อนที่เราจะเป็นผู้รับ เราก็ต้องผู้ให้ก่อน อยากให้หลาย ๆ คนลองอ่านหนังสือของ Gary Vee ดูนะครับ - The Thank You Economy และก็ - Jab Jab Jab Right Hook คือเราก็ต้องให้ก่อน ก่อนที่จะเป็นผู้รับ ให้ข้อมูล ให้ความรู้ ที่เหลือทุกอย่างมันจะตามมาเอง เราจะกลายเป็น brand ที่ไม่ต้องโฆษณา ไม่ต้องอะไรมาก แต่ทุกอย่างเราต้องเริ่มจากการให้ก่อน ให้อย่างจริงใจ ให้แบบไม่ต้องหวังอะไรกลับมา ถ้าคนเราทำความดีซะอย่าง คนอื่นไม่เห็นไม่เป็นไร แต่เราเห็น เราสัมผัสได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ที่เหลือมันก็คือผลพลอยได้ มันคือ bonus มันคือผลการทำงานหนัก ทุ่มเททั้งกายและใจ ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ความสำเร็จในชีวิตเราสร้างมันขึ้นมาเองได้ ด้วยมันสมองและ 2 มือที่มี ไม่นอนตื่นสาย ไม่อายหากิน ไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่นอนคอยวาสนา คือเราก็ต้องให้ก่อน ก่อนที่จะเป็นผู้รับ
ให้ข้อมูล ให้ความรู้ ที่เหลือทุกอย่างมันจะตามมาเอง เราจะกลายเป็น brand ที่ไม่ต้องโฆษณา ไม่ต้องอะไรมาก แต่ทุกอย่างเราต้องเริ่มจากการให้ก่อน ให้อย่างจริงใจ ให้แบบไม่ต้องหวังอะไรกลับมา ถ้าคนเราทำความดีซะอย่าง คนอื่นไม่เห็นไม่เป็นไร แต่เราเห็น เราสัมผัสได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ที่เหลือมันก็คือผลพลอยได้ มันคือ bonus มันคือผลการทำงานหนัก ทุ่มเททั้งกายและใจ ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ความสำเร็จในชีวิตเราสร้างมันขึ้นมาเองได้ ด้วยมันสมองและ 2 มือที่มี ไม่นอนตื่นสาย ไม่อายหากิน ไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่นอนคอยวาสน |
AuthorJohn Paopeng Archives
August 2023
Categories |