จอห์น เผ่าเพ็ง เพราะฉะนั้น
  • Blog; journal of life
  • Daddy Diary
  • Investment Diary
  • Business Tips and Tricks
  • ข้างขอบเตียง Cancer
  • ครูไทยในต่างแดน
  • ebooks
  • About
  • กราบขอบคุณ

ตัวเรานั้นเล็กนิดเดียว

27/10/2018

Comments

 
Picture
“ตัวเรานั้นเล็กนิดเดียว”

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา เราก็ทำงานอยู่ Wollongong office
แล้ววันรุ่งขึ้น วันศุกร์ซึ่งก็คือเมื่อวาน เราก็ต้องไปทำงานที่ Canberra office
วันพฤหัสบดีเราก็เลยพยายามที่จะไม่รับลูกค้าเยอะ
เราจัดตารางการทำงานของเราเอาไว้แล้ว
ทุกอย่างลงตัว
เรา fix อะไรไว้หมดแล้วว่าวันนั้นต้องทำอะไรบ้าง
ดูจากตารางการทำงานแล้วเราก็เจอลูกค้าจนถึงแค่ 4pm
เพราะเราก็มีตารางที่จะไปออกกำลังกายตอน 5:30pm

แต่มันก็อาจจะมีบ้างเป็นบางที ที่ลูกค้าซึ่งอยู่ใกล้ ๆ แถว Wollongong และเขาก็ทำงานอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศของเรา เดินประมาณ 5 นาที

ลูกค้าบอกว่าอยากจะแวะเข้ามาที่ออฟฟิศ เอาเอกสารมาให้  4 แผ่น
จริง ๆ เราก็บอกลูกค้าไปแล้วว่าเอกสารทุกอย่างสามารถสแกนแล้วก็ส่งมาให้เราทางอีเมล์

ไม่ต้องแวะเข้ามาก็ได้

เพราะวันนั้นเราก็ fix เวลาอะไรของเราไว้หมดแล้ว ว่า 4pm เราต้องออกจากออฟฟิศ แล้วไป gym

แต่น้องลูกค้าก็อยากจะแวะเอามาให้ด้วยตัวเอง

เราก็บอกน้องว่าโอเค เพราะคิดว่าคงไม่นาน แค่แวะเอาเอกสารเข้ามาให้เฉย ๆ
น้องก็เอาเอกสารเข้ามาให้แค่  4 แผ่นนี่แหละ ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย
น้องเขาก็คงจะเข้ามาคุย อยากเข้ามาเจอตัวเราเป็น ๆ
เพราะที่ทำงานของน้อง ก็ห่างจากออฟฟิศของเราแค่ 5 นาทีเอง เดินแป๊บเดียว

น้องก็เข้ามาหาเราตอน 4pm

แต่หลังจากที่เราคุยกันเสร็จ
สรุปวันพฤหัสเราก็ไม่ได้ไปออกกำลังกาย เพราะพอกลับมาถึงบ้าน เราก็หิวข้าวมาก
นั่งกินนั่น นี่ โน่น มันก็ไม่อยากออกไปออกกำลังกายแล้วล่ะ
เพราะ class เขาเริ่มกัน 5:30pm กว่าจะเปลี่ยนชุดอีก กว่าจะขับรถไปอีก
สรุปก็เลยไม่ได้ไป (ข้ออ้างหรือเปล่านะ)

จากเหตุการณ์วันนั้น เราก็ได้ข้อคิดอะไรเยอะแยะมากมายจากการที่น้องคนนั้นเข้ามาหาเราที่ออฟฟิศ
สำหรับเราแล้วการที่ลูกค้าเข้ามาหาเราที่ออฟฟิศหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
เราชอบที่ลูกค้าติดต่อเราทางออนไลน์มากกว่า
แต่สำหรับลูกค้าบางคน มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา
เขาอยากจะเข้ามาพูดคุย
ถึงแม้จะเป็นการเอาเอกสารเข้ามาให้แค่ 4 แผ่นก็ตาม
เขาก็อยากจะเอาเข้ามาให้ด้วยตัวเอง เพราะที่ทำงานเขาก็ไม่ไกลจากที่ทำงานของเรา

น้องกับแฟนเขาพยายามทำเรื่องเองแล้ว แล้วเข้าไปกรอกข้อมูลแล้วในระบบออนไลน์
แต่กรอกผิดเยอะมาก เดี๋ยวเราต้องไปนั่งแก้ให้เขา
น้องเคยติดต่อเรามาแล้วตั้งแต่ต้นปี น้องกับแฟนเห็นราคาและค่าบริการของเราแล้ว เขาคิดว่ามันสูงไป เขาก็เลยทำกันเอง
พอน้องกับแฟนเขาเริ่มทำกันเอง เขาถึงรู้ถึงความยุ่งยากว่ามันทำยากขนาดไหน บวกกับพวกเขาก็ไม่มีเวลาด้วย เพราะต้องทำงาน
เขาก็เลยต้องเก็บหอมรอมริบ เก็บตังค์ตั้งนาน สุดท้ายแล้วก็ต้องมาจ้างเราให้เราเข้ามาดูแลให้

มาแก้ไขพวกข้อมูลที่เขากรอกผิดกัน

ชีวิตของคนที่ประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะคนไทยหรือฝรั่ง
หลายชีวิต หลายครอบครัว ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ไม่ได้มีการศึกษาสูง
ฝรั่งที่นี่ หลายคนก็เป็นพวกกรรมกรที่ต้องใช้แรงงาน แบกหาม ขับรถบรรทุก จบการศึกษาแค่ year 10 (ม. 4)

ในฐานะที่เราก็เป็นอาจารย์ด้วย บอกได้เลยว่าการศึกษาแค่ year 10, สำหรับเราแล้วถือว่าต่ำมาก
มาตรฐานของเราอยู่ที่ อย่างน้อยก็ต้องจบ year 12

กับชีวิตบางที มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า
“เฮ้ย เราอย่าเรื่องมาก มากเลย”
ต่อให้คิวงานเราเต็มแล้วในวันนั้น แต่ถ้าน้องเขาจะแวะเข้ามาแค่  15 ถึง 30 นาที ก็คงไม่เป็นไรมั้ง
เราอย่าเรื่องมากเลย
เราให้น้องเขาเข้ามาพบเรานั่นแหละดีแล้ว
15 ถึง 30 นาทีสำหรับเขา มันอาจจะมีความหมายมากสำหรับเขาก็ได้
มันก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับคนอื่นได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับเราบ้าง
ไม่ใช่เจอเราแต่ในโลกออนไลน์

ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นการเปิดโอกาส

เปิดโอกาสให้กับตัวเราเองด้วย
เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้และสัมผัสกับชีวิตของคนอื่นด้วย
เพราะเราเองก็ไม่ใช่หุ่นยนต์
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเด็ก IT ชอบทำงานผ่านคอมพิวเตอร์มากกว่า
มากกว่าที่จะมานั่งคุยกับคน ตัวต่อตัว

บางทีเราก็มัวแต่คิดถึงตัวของเราเอง
Self-centred มากจนเกินไป จนลืมคิดถึงคนอื่น
บางครั้ง เราก็ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ก็เราเป็นเด็กยุค 4G,  เด็ก IT, เด็กเรียน, เด็ก nerd
เราจะมีกลุ่มของเราอยู่แล้ว กลุ่ม เด็ก IT, เด็กเรียน, เด็ก nerd อะไรประมาณนี้

ในฐานะที่เป็นอาจารย์
มาตรฐานของเราสูง
กำแพงกั้นของเราสูง

จริง ๆ แล้ว
บนโลกใบนี้กับประชากรไม่รู้กี่ล้านล้านคน
ถ้าเปรียบไปแล้ว ตัวเรานั้นเล็กมาก เหมือนแค่มดตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้
เราก็พยายามบอกตัวเองว่า
เราไม่ต้องมี “อัตตา” อะไรมากก็ได้
ไม่ต้องมีตัวตน
ไม่ต้องมีทิฐิ
ตัวเราไม่ได้พิเศษอะไร (มาก) ไปกว่าคนอื่นเขา
เราเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามาในชีวิตเราบ้างก็ดี
กำแพงที่มันกั้นอยู่ ไม่จำเป็นต้องสูงมากก็ได้

เรามีโลกส่วนตัวของเราได้
แต่เราก็ควรเปิดโอกาส ควรเปิดประตูให้มันแย้ม ๆ บ้างเล็กน้อย ให้คนอื่นได้เดินเข้ามาในชีวิตเราบ้าง แค่ 10 ถึง 15 นาที ก็คงไม่เป็นไรมั้ง

ถึงแม้ว่าวันนั้นเหนื่อยแล้ว แต่ถ้าจะเหนื่อยต่ออีกแค่ 10 - 15 นาที มันก็คงไม่เป็นไร

ทุกชีวิต ทุกเหตุการณ์
มันสอนอะไรเราได้เยอะจริง ๆ
เราก็เปรียบเสมือนมดตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้
เราอย่าไปอะไรมากมายกับ ชีวิตเลย

...อะ… เรียนรู้กันไป ชีวิตนี้
Comments

    Author

    John Paopeng

    Archives

    February 2023
    January 2023
    December 2022
    November 2022
    October 2022
    September 2022
    August 2022
    July 2022
    June 2022
    May 2022
    April 2022
    January 2022
    December 2021
    November 2021
    October 2021
    September 2021
    August 2021
    July 2021
    June 2021
    March 2021
    January 2021
    December 2020
    November 2020
    October 2020
    September 2020
    August 2020
    July 2020
    June 2020
    May 2020
    April 2020
    March 2020
    February 2020
    December 2019
    November 2019
    October 2019
    September 2019
    August 2019
    July 2019
    June 2019
    May 2019
    April 2019
    March 2019
    February 2019
    January 2019
    December 2018
    November 2018
    October 2018

    Categories

    All

    RSS Feed


  • Blog; journal of life
  • Daddy Diary
  • Investment Diary
  • Business Tips and Tricks
  • ข้างขอบเตียง Cancer
  • ครูไทยในต่างแดน
  • ebooks
  • About
  • กราบขอบคุณ