R U OK? Day คือวันที่ 14 Sep
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่าทุกวัน ๆ ควรจะเป็น "R U OK?" Day นะครับ เพราะมันเป็นอะไรที่สำคัญมากเลย การสร้าง awareness เกี่ยวกับ mental health หลาย ๆ คนมองข้ามเรื่องนี้ไป หลาย ๆ คน take it for granted เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เราเป็นพวก ignorance เพราะมันเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แต่พอเราได้ทำงานตรงนี้จุดนี้ไปนาน ๆ ได้สัมผัสหลากหลายชีวิต หลากหลายครอบครัว จากความคิดอันตื้นเขินของเรา ตอนนี้เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ เราเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว 2-3 รอบใน 3-4 เดือนที่ผ่านมา ก็ลอง ๆ ไล่อ่านดูนะครับ ความเครียดและเรื่องวีซ่ามันมาคู่กัน ความคาดหวังและความเครียดมันก็มาคู่ ๆ กันเหมือนกัน เราอาจจะทำอะไรมากไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เป็น "listening ears" นะครับ เป็นผู้ฟังที่เห็นอกเห็นใจก็พอ ไม่ต้องพูดไม่ต้องออกความเห็นอะไรมาก เพราะเราไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เป็นแค่ shoulder ให้เขา lean on เป็น "กระโถนไร้ก้น" ให้เขาได้ระบาย ส่วนใครที่ตกอยู่ในภาวะอะไรก็ตามแต่ ปรึกษาหมอนะครับ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญนะครับ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เสาร์-อาทิตย์ลอง unplugged yourselves ดูนะครับ ลอง social detox ดูนะครับ มือถือลองเปิดเป็น flight mode บ้างนะครับ ไม่ต้องรับทุกสายที่เข้ามาก็ได้นะครับ ช่วยได้เยอะ หากต้องการใครซักคนคุยด้วย โทรไปที่ Life Line ได้นะครับ Ph: 13 11 14 24 hr x 7 days ขอล่ามได้ 22 Aug 2023; 10pm ในคืนที่ฝนตก
ปกติประมาณ 10pm เราต้องเข้านอนแล้ว แต่วันนี้ขออยู่ดึก ๆ นั่งขีด ๆ เขียน ๆ อะไรไป ช่วงนี้ลูกลิงกลับบ้าน เพราะสอบที่ UNSW เสร็จแล้ว บ้านก็จะคึกคักนิดหน่อย เราก็เลยถือโอกาสนอนดึกซะเลย ในคืนที่ฝนตก เขามองเห็นตัวเรายืนถือแก้วโกโก้อุ่น ๆ นั่งอยู่ตรงระเบียงชั้นบนของบ้านหลังใหม่ บ้านหลังใหม่เรา renovate เสร็จแล้ว ได้กุญแจตั้งแต่ Nov 2022 แต่พวกเราก็ยังไม่ย้ายกัน ใจเราหนะ "ไป" ตั้งนาน แต่บ้านหลังปัจจุบัน มันก็สะดวกกับทุกสิ่งอย่าง เพราะภรรยาเราเองก็ยังต้อง follow up กับหมอ นั่น นี่ โน่น แต่ก่อนก็ follow up ทุก ๆ 2 เดือน เพราะต้องทานยา และตรวจดูค่าเลือด ค่าอะไร ต่างๆ นานา ตอนนี้หมอบอกว่า follow up ทุก ๆ 3 เดือนก็พอ อันนี้ก็คงเป็นนิมิตรหมายที่ดี เป็น signal ที่ดีว่า "darling เราย้ายเถอะ" เพราะครอบครัวนี้ ภรรยาเป็นใหญ่ และเด็ก ๆ เองก็เหมือนยังยึดติดอยู่กับ Wollongong เพราะพวกเราอยู่บ้านหลังนี้กันมา 15 ปีแล้ว มันใกล้ มันสะดวกกับทุกสิ่งอย่าง ซึ่งเราก็เข้าใจได้ แต่บ้านใหม่เรา เราอุตส่าห์ต่อหลังคาตรงระเบียงให้มันยาวออกไปอีก ก็หมดไปหลายหมื่น AUD นะ เพื่อที่เวลาฝนตกฝนก็จะได้ไม่สาด หรือเวลาที่แดดออก แดดก็จะไม่ส่องมาก คือเอาโต๊ะไปวางไว้ข้างนอก ตรงระเบียง นั้งเหยียดขายาว ๆ ถือโกโก้อุ่น ๆ ทอดสายตาออกไปด้านนอก แล้ว "หายใจทิ้งไปวัน ๆ" แบบไม่ต้องคิดอะไร แบบ care free, worry free ภาพของเรา ณ ตอนนี้มันอยู่ตรงนั้น เราหนะอยากจะย้ายแล้ว พื้นที่อะไรมันกว้างขวางกว่านี้เยอะ มีสวนหลังบ้านให้ปลูกผักเอาไว้กินเอง ที่เหลือตอนนี้ก็แค่พากันไปซื้อ furniture ที่ IKEA ก็แค่นั้นเอง ดูเหมือนว่าแต่ละ weekend พวกเราไม่มีเวลาว่างตรงกันเลย คนหนึ่งก็เรียนฟันดาบ คนหนึ่งก็ dance, ตัวเราเองก็จะไปวัด เฮ้อ แล้วเมื่อไหร่จะได้ซื้อ furniture กัน เราจะซื้อ furniture ใหม่หมดเลย ทุกอย่าง brand new ของอะไรที่อยู่บ้านหลังเก่า แทบจะไม่เอาไปเลย หรือเอาไปน้อยมาก ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ก็ไปซื้อเอาของใหม่เถอะ ของที่บ้านหลังเก่า บางอย่างมันก็ 15 ปีแล้ว หรือ sofa bed ก็น่าจะ 21 ปีแล้ว ถึงเวลาบอกลากันแล้วหละ เขียนเอาไว้ ณ วันที่ฝนตก บันทึกอารมณ์ ณ moment นี้เอาไว้ 22 Aug 2023; 10pm-ish เกิดเป็น MARN ก็ไม่ง่าย
ทุก ๆ ปีก็ต้องต่อ registration ทำนั่น นี่ โน่น คนที่พยายามทำอะไรให้มันถูกต้อง ก็เบื่ออีพวกลักไก่เหลือเกิน น่าเบื่อ น่ารำคาญ ต่อหมายเลข MARN แต่ละปี: 1. Registration fee: $1,595 2. Insurance: $907.50 (cover $250K ที่ไม่เคย claim เลย) 3. Database ของกฎหมาย legislation ต่าง ๆ: $811.20 4. CPD: Continuing Professional Development, ปกติเขาก็บังคับแค่ 10 points, แต่เราอยากเรียนรู้ ชอบเรียนรู้ ปีนี้ก็ลงไปทั้งหมด 26 points ก็ประมาณ: $1,030 = $4,343.70 อ๊ะ ก็ไม่เป็นไร ทุกสิ่งอย่างมีต้นทุน มีราคาที่ต้องจ่าย ก็ว่ากันไป อาทิตย์นี้ครอบครับเรา spend the weekend ที่ Chatswood เพราะว่าลูกลิงตัวเล็กมีแข่ง dance อาทิตย์นี้ก็เลยต้องอยู่ที่ Chatswood ไปเลย 4 วัน
ลูกลิงตัวโตเลิกเรียนเสร็จ ก็เลยต้องมาเจอกันที่ Chatswood แทน เพราะกลับไปที่บ้านที่ Wollongong ก็คงไม่มีใครอยู่ เป็นเรื่องปกติที่เรากับลูก ๆ จะถามกันเรื่องเรียนว่าแต่ละอาทิตย์เรียนเป็นยังไงบ้าง ลูกลิงตัวโตสอบได้ 97% ครับ วิชา Engineering Mechanic อะไรซักอย่างนี่แหละ จำชื่อไม่ได้ (ลูกลิงอยู่ปี 2 แล้ว) เพื่อน ๆ ในห้องส่วนใหญ่ได้ ประมาณ 80% กัน ดูจาก graph ของคะแนนทั้งหมดของห้องที่ลูกลิงเอาไห้เราดู 97% ก็ถือว่าอยู่ใน percentile ที่สูงอยู่ daddy กับ mummy ก็หายเหนื่อยเลยครับ ที่คอยส่งตังค์ให้ทุก ๆ อาทิตย์ เราจ่ายค่าเช่าบ้านให้ลูกลิง: $245/week pocket money: $100/week อาทิตย์หนึ่งก็ $345/week นะครับ แต่ถ้าผลเรียนออกมาแบบนี้ เราก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ ...บอกเล่าเก้าสิบ... ...บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ... 16/07/2023 ซื้อบ้านในรูปแบบของ Trust ไม่ง่ายเหมือนซื้อบ้านในรูปแบบของบุคคลทั่ว ๆ ไป
case นี้ฉุกละหุกนิดหน่อย เพราะต้องวิ่งหา local solicitor ใน Wollongong เซ็นเอกสารเป็น independent legal advice ปรกติเราเซ็นกับทนายส่วนตัวของเรา เซ็นผ่าน WhatsApp แต่คราวนี้ที่ VIC อยากรีบเซ็น รีบเสร็จ จะได้ move on to do something else ก็เลยต้องหา local solicitor ที่นี่ 30 นาที; $660 ($600 + 10% GST) อีกเจ้าหนึ่ง $1,000 เราก็เลือกเอาเจ้า $660 นี่แหละ แต่เซ็นเอกสารแค่ 30 นาทีเองนะ!!! ทุกอย่างไม่ได้ได้มาง่าย ๆ ครับ ไม่ได้ได้อะไรมาฟรี ๆ คำปรึกษาหรือเวลาของคนทำงาน professional ก็เหมือนกัน เราใช้บริการ เราก็ควรจ่ายเงิน อยากให้คนไทยหลาย ๆ คนที่นี่ตัดความเป็น "Thainess" ออก วันนี้ก็เป็นหนึ่งวันที่ต้องจัดการการ settlement บ้านที่ VIC ให้มันเสร็จ ๆ ไป - real estate agent ก็จะได้ตังค์ - home loan broker ก็จะได้ตังค์ ใจเขา ใจเรา ถ้าเราไม่ settlement ซะที (เราสายชิล งานเราเยอะ เราไม่ค่อยรีบ) มันก็ไม่ดีสำหรับคนอื่น เขาก็ต้องรอเงิน commission จาก case ของเราเหมือนกัน - real estate agent ก็จะได้ค่า commission จากเจ้าของโครงการ - home loan broker ก็จะได้ค่า commission จากธนาคาร ถ้ายังไม่ settlement เขาก็ยังไม่ได้ตังค์ ใจเขา ใจเรา เห็นใจซึ่งกันและกันนะครับ home loan broker ได้ไม่เยอะนะครับต่อ case เราก็พยายามไม่หาเหาไปให้เขา พยายาม be nice อันไหนจัดการเองได้ เราก็จัดการเอง ไม่ต้องเรียกหา broker ตลอดเวลา เชื่อเถอะ broker ต้องอยากได้ลูกค้าอย่างเรา เรื่องไม่ค่อยเยอะ เอกสารค่อนข้างพร้อม แค่เราไม่รีบแค่นั้นเอง เราก็ต้องเร่งงานของเราก่อน ว่างค่อยจัดการเรื่อง paperwork พวกนี้ เวลาที่จะ email หา broker เราก็จะเป็นเวลาแปลก ๆ เช้า ๆ ก่อน 7am หรือเย็น ๆ หลัง 5pm เราเป็นคนซื้ออสังหาที่เนิบ ๆ ไม่รีบตาลีตาเหลือกเหมือนชาวบ้านเขา (งานเราเยอะ เราก็ต้อง clear งานเราด้วย) ต้องกราบขออภัยทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย anyway... อะไร ใด ๆ วันนี้ เสร็จไปหนึ่งงาน กว่าจะได้อะไรมาแต่ละชิ้น แต่ละอัน ไม่ง่ายนะครับ เงินทองไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า ปากก็ต้องกัด ตีนก็ต้องถีบ งานก็ต้องทำ บ้านก็ต้องซื้อ อนาคตก็ต้องวางแผน จะได้ไม่ต้องทำงานไปจนแก่ ไม่ง่ายนะครับ อนาคตก็ต้องวางแผน จะได้ไม่ต้องทำงานไปจนแก่ วางเรื่อง passive income ให้ดี ๆ วันนี้ กับวันที่ยุ่งแสนยุ่ง (แต่ก็น้อยกว่า May/June) กับวันที่เหนื่อยแสนเหนื่อย (แต่ก็น้อยกว่า May/June) อย่าลืม Pat yourself on the back. Celebrates small wins along the way. 11/07/2023 จะมีพี่คนไทยใน Wollongong ไม่กี่คนที่เรียกเราว่า "หนู"
น่าจะมีอยู่ 3 คนนะ พี่เค๊าก็เห็นเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ และก็น่าจะมีพี่คนไทยใน Wollongong แค่ 2 คนนะที่เวลาแกมีกับข้าวอะไรก็จะส่งข้อความหรือโทรมาบอก ให้พวกเราแวะไปเอากับข้าวที่บ้านแก บ้านพวกเราไม่ไกลกัน แต่ก็จะมีพี่คนไทยแค่คนเดียว ที่เราแวะไปมาหาสู่กันแทบทุก week และเป็นคนไทยใน Wollongong คนเดียวที่เราเข้าไปในบ้าน เข้าไปในครัว ทำโน่น ทำนี่ที่บ้านแก ไปนั่งดื่มชากาแฟที่บ้านแก มีคนเดียวใน Wollongong จริง ๆ (พี่อีกคน เวลาเราไปเอาอาหาร เราก็เจอกันที่หน้าบ้าน เราไม่เคยละลาบละล้วง) บางที small gesture อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ของใครบางคน มันก็มีค่าสำหรับใครบางคนที่เป็นผู้รับนะ พี่เขาเป็นแม่บ้าน มีเวลาในการทำกับข้าวนั่น นี่ โน่น ส่วนเรา 2 คนกับภรรยาก็ต้องทำงาน ทำมาหากิน บอกตามตรงว่าเราไม่อยากปวดหัวเรื่องกับข้าวกับปลา ภรรยาเราจะทำกินกันเองง่าย ๆ พยายามไม่ซื้ออะไรกินนอกบ้าน เพราะเราไม่รู้เลยว่าในครัวของร้านอาหารแต่ละร้านเป็นไงมั่ง และใส่อะไรลงไปในอาหารบ้าง อันนี้คือเหตุผลหลัก ๆ ของครอบครัวที่ไม่ค่อยทานข้าวนอกบ้าน ถ้าไม่จำเป็น การที่ใคร someone ทำกับข้าวเผื่อครอบครัวเราด้วย มันทุ่นแรงทุ่นเวลาพวกเรานะ ต่อให้อาหารบางอย่างภรรยาเราอาจจะไม่กิน เพราะอาหารไทยบางทีก็รสจัดไปสำหรับเขา แต่อย่างน้อยภรรยาเราก็แค่ดูแลเรื่องอาหารของเขาเอง และอาหารของลูก ไม่ต้องมา worry เรื่องอาหารของเรา เพราะเรากินอะไรก็ได้ที่มี ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเน้นอาหารไร้แป้ง ไร้น้ำตาลก็ตามเถอะ แต่ถ้ามีคนทำอะไรมาให้ เราก็ไม่เคยปฏิเสธ วันนั้นมื้อนั้นก็ตัดปัญหาเรื่องอาหารของเราออกไป ภรรยาของเราก็จัดการแค่ของเขาเองและก็ของลูก ชีวิตพวกเราก็อยู่กันแบบนี้ ง่าย ๆ การที่ใคร someone บอกเราว่า "หนู... มาเอากับข้าว" มันอาจจะเป็น small gesture เป็นการกระทำของใครเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันก็ทุ่นแรงเราได้เยอะ พี่โทรมาวันพุธเช้า พอดีแกต้องทำอาหารไปวัด วันพุธเช้า แกก็เลยทำเผื่อเราด้วยถาดหนึ่ง ถาดใหญ่มากกกกกกกก อาหารถาดนั้น สำหรับเราก็ทานได้ 3 มื้อคือ พุธเที่ยง พุธ dinner และ พฤหัสเที่ยง เราไม่ทานข้าวเช้า เราทำ fasting (IF; Intermittent Fasting) สำหรับเรา มันทุ่นแรงไปได้เยอะ ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่มันทุ่นเวลา เราจะได้เอาเวลาเราไปคิดไปทำอะไรอย่างอื่น ไม่ต้องคิดว่าวันนี้จะสั่งอาหาร takeaway ร้านไหน หรือเย็นนี้ภรรยาเราจะ cook อะไรกิน บางคนก็อาจจะบอกว่า "อะไรนะ มันเป็นปัญหาใหญ่มากเลยเหรอ" อ๋อ จริง ๆ ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่เรารู้สึกว่า "มันเสียเวลา" (กราบขอโทษทุกคนที่ชอบเข้าครัวหรือชอบทำกับข้าว) เพราะทั้งเราและภรรยาก็ต้องทำงาน แค่ทำงานก็เหนื่อยกันแล้ว ภรรยาเราก็ช่วยทำงานของ "J Migration Team" ครับ เราก็แค่อยากจะเอาเวลาของเราไปทำอะไรอย่างอื่นแค่นั้นเอง ส่วนใครที่มีความสุขในการทำกับข้าวก็ทำไป ที่เขียนมาทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่า: - small gesture ของใคร somone มันสามารถเปลี่ยนโลกของใครอีกคนได้ทั้งใบนะครับ ลองทำอะไรเล็ก ๆ น้อยให้กับคนอื่นดู - เรารู้สึกโชคดีที่อยู่ใน "หมู่มวลมิตร" ที่ดี มี "inner circle" ที่ค่อนข้างเล็กแต่มีความสุขมาก ขอให้ทุกคนหา "หมู่มวลมิตร" ที่ดีของตัวเองให้เจอนะครับ ขอให้ทุกคนมี "inner circle" ที่น่ารัก ที่ดูแลห่วงใยกันจริง ๆ นะครับ แบบไม่หวังผลอะไรต่อกัน และสุดท้าย และท้ายที่สุด อย่าลืมทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง small gesture อะไรยังไงก็ได้ มันสามารถเปลี่ยนโลกของใครบางคนได้ ตึกที่เราพักอยู่ทุกวันนี้ เราอยู่ 1st floor
มองไปลงข้างล่างตึกข้าง ๆ ตรง ground floor หน้าต่างครัวของตึกเรา ก็จะตรงกันกับประตูเข้าบ้านและหน้าต่างตรง living room ของตึกข้าง ๆ พอดี ตรง ground floor มีหลายครั้งที่คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวพาลูกน้อยออกมานั่งเล่น ลูกสาวตัวเล็ก ๆ น่าจะเพิ่ง 2-3 ขวบเอง ยังเล็กมาก เมื่อคุณพ่อ ต้องเล่นกับลูกน้อย ลูกสาว มันก็มีความน่านัก กระน๊องกระแน๊งตามประสาพ่อกับลูก ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คุณพ่อคงเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน เพราะน้ำเสียงไม่ค่อยมี energy เท่าไหร่ แต่เสียงลูกน้อยก็เจื้อยแจ้วมาก เสียงลูกน้อยท่าทางมีความสุข เล่นอะไรกับคุณพ่อก็ไม่รู้ มันก็มีความน่ารักของพ่อลูกที่มีให้ต่อกัน ชีวิตคนเรา ชีวิตครอบครัว มันไม่ง่ายเลยน๊อ มันคงไม่ง่ายที่ใครหลาย ๆ คนกลายเป็น single parent ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว หรือบางคนก็อาจจะ share custody บ้านหลังแรกที่เราซื้อที่ WA คนเช่าก็เป็นผู้ชาย แยกกันกับคนรักเก่า ก็ share custody กัน บ้างหลังที่สองที่ WA ที่เราปล่อยเช่า คนเช่าก็เป็นผู้ชาย แยกกันกับคนรักเก่า ก็ share custody กัน ...เฮ้อ... ไม่ง่ายเลยนะชีวิต ช่วง Nov-Dec-Jan เป็นช่วง 3 เดือนที่เราอยากจะพัก
พักในที่นี้คือทำงานตลอด แค่รับงานน้อยลง และก็พยายาม clear case ต่าง ๆ ที่อยู่ในมือ และช่วงนั้นมันก็รู้สึกผิดหวังอะไรหลาย ๆ อย่างจากการ treatment ที่เราได้รับจากลูกค้า เราก็เลยปัดตกหลาย ๆ case ที่ติดต่อเข้ามาช่วงนั้น รับงานน้อยลง ก็ OK แหละเราได้พักสมอง แต่เราก็ไม่ลืมว่าเราก็มีน้อง ๆ ทีมงานที่ต้องดูแล หลาย ๆ คนอู่ข้าวอู่น้ำเขาอยู่กับเรา เราก็ยังคงรับงานอยู่ แต่ก็รับน้อย และก็ช่วงนั้นก็ busy กับการซื้อบ้านด้วย และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง Feb ก็ยังปัดตกไปหลาย ๆ case เลือกที่จะไม่ส่ง invoice ไปให้ลูกค้า เมื่อไหร่ที่ลูกค้าได้รับ invoice และจ่าย invoice มา ท่าทีของลูกค้าก็จะเปลี่ยนไปทันที ลูกค้าไม่ผิด เราเองที่ผิด ที่ส่ง invoice ไปให้เขา ทั้ง ๆ ที่เราตอนนั้นมือก็ล้นมาก อย่าทำ!!!! เราไม่ใช่ Superman... เดี๋ยวเดือนหน้า; Mar ก็คงต้อง step up และ speed up กับหลาย ๆ case กับการรับงาน ทีมงานเราต้องไปต่อ ตัวเรายังไงก็ได้ ถ้าไม่มีทีมงาน เรารับ case กระหยุมกระหยิมของเราก็ได้ อยู่แบบพอเพียงก็ไม่เป็นอะไร รายได้จากที่อื่นเราก็พอมี แต่นั่นแหละ มันคือการเปิดโอกาสให้กับน้อง ๆ ให้กับทีมงานหลาย ๆ คน ฟังแล้วดูดี แต่เราคิดของเราแบบนี้จริง ๆ "โอกาส" เราต้องส่งต่อให้กับเด็กรุ่นใหม่ ๆ ให้กับ "inner-circle" ของเรา ลูกศิษย์เราบางคนมาช่วยงานเราตั้งแต่จบ year 12 บอกได้เลยว่าเขาจบ ป.ตรีได้เพราะเรา เพราะเขาไม่ขอเงินจากคุณพ่อคุณแม่เขาเลย และไม่ได้ขอเงิน Centrelink ทุก ๆ ครอบครัวของลูกศิษย์ เรารู้จักผู้ปกครองหมด และค่อนข้างสนิทกับผู้ปกครองเพราะหลาย ๆ คนเราก็สอน 5 ปีรวด เจอผู้ปกครองทุก ๆ 2 เทอม คุณพ่อคุณแม่ของลูกศิษย์ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึก appreciate กับสิ่งที่เราให้กับลูกของเขา จบ year 12 เรียนมหาลัย แล้วดึงมาทำงานกับเรา (รับงานเป็น case ๆ ไป) เรามีทีมงานที่เป็นฝรั่ง 5 คน เป็นลูกศิษย์เราหมดเลย เราเลือกเอามาเฉพาะลูกศิษย์จาก top class เท่านั้น เด็กเรียนเท่านั้น ทุกคนต้อง straight A ลูกค้าเราหลาย ๆ คนคงได้สัมผัสกับพวกเขาผ่านทาง email บอกได้เลยว่าทุกคนเราฝึกเองมากับมือ anyway... ออกนอกเรื่องเยอะ Nov-Dec-Jan; case อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ Feb เดี๋ยวค่อย ๆ ไต่เต้า Mar ต้อง speed up & step up แล้วเจอกันจ๊ะ.... "J Migration Team 2023" หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราถึงทำในสิ่งที่เราอยู่ทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่ทำก็ได้
ธุรกิจ "J Migration Team" ไปได้ด้วยดีอยู่แล้วครับ งานล้นมือ บอกปฏิเสธลูกค้าไปเยอะแยะ ทุกวันนี้เราเลือกลูกค้ามากยิ่งขึ้น กรองลูกค้าแล้ว กรองลูกค้าอีก เพราะหลาย ๆ คนเมื่อเขาจ่ายเงินเรามา เขาก็ทำตัวเป็น "เจ้าชีวิต" เราทันที ก็เลยต้องระวังตัว เบื่อกับการโดนกดขี่ เพียงเพราะเราเป็น "แค่" เรือจ้าง เราไม่เสียดายที่บางคนเลือกไปทำกับบริษัทอื่น 100 พ่อ 100 แม่ ก็ 100 ความต้องการ ใช่ว่าทุกคนจะ appreciate กับสิ่งที่เรา เขาต้องการแค่ "จ่ายเงิน" ให้เราทำงาน แล้วเขาก็รอวีซ่า แล้วก็ถีบหัวส่ง มีเยอะแยะครับ เราทำงานอยู่ตรงนี้มา 14 ปีแล้ว เราเจอทุกรูปแบบ ก็ได้แต่หวังว่า หลังจากมี portfolio การลงทุนพวกนี้แล้ว เราจะมีสิทธิ์เลือกลูกค้าได้มากขึ้น เลือกคนที่เขา appreciate กับงานที่เราทำจริง ๆ จากที่ทุกวันนี้ niche อยู่แล้ว หลังจากนี้ ก็น่าจะ niche มากยิ่งขึ้น แล้วทำไมเรายังลงทุนไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุดซักที แล้วทำไมเราไม่อยู่เฉย ๆ แล้วทำไมเราไม่ใช้ของ brandname จริง ๆ แล้วชีวิตเราค่อนข้าง Financial Freedom มาตั้งนานแล้วครับ ตั้งแต่ 01 Jul 2020 แล้ว ที่รายได้มากกว่ารายจ่าย และตอนนั้นเงินก็พร้อมที่จะซื้อ family home ที่ยังทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำอยู่หลังจาก 01 Jul 2020 ก็เพราะมันมีงานเข้ามา เราก็ทำ ก็แค่นั้นเอง ช่วง COVID ธุรกิจเราไม่มีผลกระทบเลย เรายังทำ case ของเราได้ตามปกติ จริง ๆ เราค่อนข้าง busy ด้วยซ้ำไปเพราะคนไม่อยากจะกลับประเทศ ต้องหาวีซ่าอยู่ต่อ เราก็สบายไป งานมาไม่ขาดสาย มีงานเข้ามาก็ทำไป มีแรงก็ทำไป Dec 2022 เดือนที่แล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็มีอสังหาที่ออสเตรเลียก็หลายหลัง ก็เป็นตัวเลข 2 หลัก กับเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกก็เป็นตัวเลข 6 หลัก AUD ถ้าเอาเฉพาะทรัพย์สินที่ออสเตรเลีย ถ้าคิดเป็นเงินบาทไทย THB เราก็มีเป็นตัวเลข 9 หลักแล้วครับ (ไม่รวมที่ไทยและสิงคโปร์) ไทย + สิงคโปร์ ก็ 8 หลัก THB ซึ่งก็ปลอด mortgage ทั้งที่ไทยและสิงคโปร์ ถ้าทรัพย์ที่ออสเตรเลียมีถึง 9 หลักแล้ว แล้วทำไมยังทำงานแบบที่เป็นอยู่ คำตอบง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ "ทำเพื่อครอบครัว" ครับ เพราะอสังหาและทรัพย์สินทุกสิ่งอย่างที่เรามี เราซื้อในนามของบริษัทและ family trust ทุกสิ่งอย่างที่เรามี เราไม่ได้ซื้อในนามของเรา ดังนั้นทุกสิ่งอย่างจะตกเป็นของทุกคนในครอบครัว พวกเรา 4 คน หากใครเป็นอะไรไป ก็ไม่ต้องมีพินัยกรรมให้วุ่นวาย เพราะ family trust มันจะ cover ตรงจุดนั้นแล้ว Family Trust หรือ Discretionary Trust ทางทนายและ accountant ต้องเป็นคนทำเรื่องให้นะครับ หา accountant ดี ๆ ที่ไม่ใช่ตาม facebook group ของคนไทย ยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งการบริการ และ asset protection ที่ดี บอกได้เลยครับ ว่าคุ้มมาก you จะ sleep well at night ค่า setup company และ Discretionary Trust = $2,800 ลำพังตัวเราคนเดียว อะไร ยังไงก็ได้ แต่เมื่อมีครอบครัวเข้ามายุ่งเกี่ยว เราก็อยากที่จะ provide ให้ดีที่สุด พวกเขาจะได้ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ อยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่ต้องไม่ฟุ่มเฟือย แค่นั้นเอง พวกเขาจะได้ไม่ต้องรูดบัตรเครดิตหมุนเงินทำธุรกิจเหมือนตอนที่เราออกมาทำธุรกิจใหม่ ๆ เราก็แค่อยากให้ภรรยาและลูก ๆ 2 คนใช้ชีวิตแบบ worry free (แต่ไม่ฟุ่มเฟือย) มีทรัพย์สินคิดเป็นเงินไทย 9 หลัก THB แล้วจะยังหยุดลงทุน หยุดซื้ออสังหามั้ย คำตอบก็คือ "ไม่" เราก็จะยังคงซื้อไปเรื่อย ๆ ตามเท่าที่แรงเรามี เงินเก็บไว้ในบัญชี มันก็ไม่งอกเงย Borrowing power เราก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ RAMS เรามีหน้าที่แค่ทำงานหาเงิน รักษาระดับยอดขายของธุรกิจให้ดี ๆ ทุก ๆ เดือน ๆ ถ้ายอดขายของ "J Migration Team" ดี เราก็กู้ได้ ถ้า assetts ของเราดี เราก็กู้ได้ ถ้า assetts มากกว่า liabilities เราก็กู้ได้ ก็แค่นั้นเอง Portfolio ที่ WA, เรามี buy agent ดูแลเราอยู่แล้ว 3 วัน เขาส่ง list มาให้ดู เราก็มีหน้าที่แค่จิ้มเลือกว่าชอบอันไหน Portfolio ที่ VIC, เราก็มี selling agent ที่คอยดูแลเราอยู่แล้ว เขารู้ว่า requirement เราเป็นแบบไหน เขาจะส่ง WhatsApp มาป้ายยาอยู่เรื่อย ๆ Portfolio ที่ NSW, ตอนนี้หยุดซื้อก่อน ราคาที่ NSW is a bit overprice แต่ทุกหลังที่มีที่ NSW ก็มีคนเช่าหมด และทุกหลังก็ปลอดหนี้ ไม่มี mortgage แล้ว ก็สบายหน่อย Portfolio ที่ QLD, ก็ดูไปเรื่อย ๆ ไม่ซีเรียส ก็ดูจาก realestate.com.au ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะตอนนี้ focus ไปที่ WA แต่ถ้ามีอะไรแจ่ม ๆ มาที่ QLD เราก็อาจจะกัดฟันซื้อก็ได้ แล้วแต่งบในการซื้อ แต่ตอนนี้ WA น่าซื้อกว่าเยอะ Portfolio ในตลาดหลักทรัพย์ เราก็หยอดกระปุกทุก ๆ เดือน เดือนละ $2,000 พอครบ 5 เดือน ก็จะได้ $10,000 แล้วค่อยซื้อหุ้นเก็บสะสมเอาไว้ เดี๋ยวเรื่องหุ้น เอาไว้ blog หน้า หาอ่านได้ที่ johnpaopeng.com นะครับ ชีวิตที่เหลือหลังจากก็ยังคงนั่งทำงานตามปกติ จะให้นั่งอยู่บ้านดู Netflix เฉย ๆ ก็คงไม่ใช่ แต่อย่างน้อยเราก็อุ่นใจว่าเราได้ provide อะไรต่าง ๆ นานาให้ลูกลิง 2 ตัวแล้ว เรากับภรรยาก็ลอยตัว ชีวิตที่เหลือคือกำไร อยากจะทำอะไรก็คงได้ทำ แบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเหมือนตอนที่มัน "ไม่มี" ตอนนี้ก็แค่รอลูกลิงตัวเล็กจบ year 12 ซึ่งก็อีก 3 ปี ตอนนี้ลูกลิงกำลังจะเรียน year 10 คนที่มีครอบครัวก็ต้องคิดหนักนะครับ ทำอะไรต่าง ๆ นานาเพื่อลูกน้อย สำหรับคนที่ไม่ครอบครัว ก็ไม่เห็นเป็นไร ชีวิตสามารถมีความสุขได้แบบ 2 คนตายาย ดูแลพ่อแม่เราไป ดูแลหลาน ๆ เราไปก็ได้ ประชากรทุกวันนี้จะล้นโลกอยู่แล้ว ถ้าไม่ผลิตเพิ่มก็จะดีมากเลย :) แต่... anyway... that's not my place to say.... เอาเป็นว่า ที่เขียนมาทั้งหมด: - ก็แค่อยากจะบอกเล่าเก้าสิบ เราค่อนข้างระวังในการเขียน คิดแล้วคิดอีกว่าจะ post ที่หน้า page ดีมั้ย เพราะมันก็มองได้หลายแง่มุม เราเขียนที่ blog เราอยู่แล้วหละ ที่ johnpaopeng.com แต่บางอันก็ไม่ได้เอามาลงที่ facebook page สื่อ social บางทีมันก็ public เกินและไปไว คนที่ไม่รู้จักเรา ก็อาจจะมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็ได้ - ก็หวังว่ามันจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน กว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ เลือดตาแทบกระเด็นครับ เราเริ่มจาก 0 คุณอาที่เมืองไทยบอกเลยว่า ถ้าจบ ป.ตรีแล้วห้ามแบมือขอเงิน ดังนั้นเราต้องจัดการชีวิตของเราหมดเลย จะลงทุนอะไรต้องเก็บหอมรอมริบ ทำเองทุกอย่างจากสมองและสองมือที่มี - จาก Zero to Hero เราสามารถทำได้นะครับ ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยันและอดทน แล้วฟ้าจะประทานพร เมื่อถึงที่หมาย อย่าลืมที่มา ไม่ใช่เพราะโชคชะตา แต่เป็นเพราะเรานั่นแหละ ที่ทำมันขึ้นมาเอง เขียนไว้ให้ตัวเองอ่าน บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ เขียนเอาไว้ ณ วันที่ 11/01/2023 เขียนก่อนเข้านอนก่อน 10pm มันอาจจะวกวนไปบ้างตามประสาคนง่วง (ในขณะที่ลูกลิงกับแม่ลิงพากันดู Netflix เกาหลี) หลังปีใหม่ ถึงแม้ว่าเรายังคงทำงานอยู่ แต่ก็ไม่ได้หามรุ่งหามค่ำเหมือนสมัยก่อน ตกเย็น เราก็ดู Netflix บ้าง เสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่อ่านหนังสือ เราก็ดู Netflix บ้าง อะไรบ้าง
ดูหนัง ดูละคร แล้วย้อนดูตัว เราได้อะไรจากสิ่งที่เราดู Sweet Magnolias เป็น drama series ที่ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่เราก็ได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างในความ imperfection ของ drama series เรื่องนี้ Sweet Magnolias: - เป็น drama series ที่ไม่ได้ดังหรือหวือหวาอะไรมาก นักแสดงหน้าใหม่ no name กันทั้งหมด - เป็น production ที่ไม่ได้มี budget อะไรใหญ่โต - setting เป็นแบบเมืองรอบนอก regional areas ถ้าใครอยู่แถว ๆ Wollongong, ก็ให้คิดถึงเมือง Bowral, Mittagong และ Moss Vale - เรื่องราวไม่มีอะไรมาก เราก็นั่งดูฆ่าเวลาได้ เพื่อพักผ่อน มันไม่ต้องคิดตาม.... ด้วยความที่ cast (นักแสดง) แต่ละคนเป็นนักแสดงหน้าใหม่ นักแสดง no name แต่ละคน acting ไม่ค่อยได้ หลาย ๆ ฉากจะดูฝืน ๆ plots และ stories ไม่มีอะไรเลย ภรรยาและลูก ๆ เราเลยไม่มีใครดูด้วย แต่ละคนจะบอกว่า "Daddy ดูอะไรเนี๊ยะ" เราก็เลยดูคนเดียว ดีออก :) ในความ imperfection ที่นักแสดงตีบทไม่ค่อยแตก มันก็ดูธรรมชาติดีนะ ก็เขาก็คือ "คน" ไง ก็เขาพยายามแล้ว มันอาจจะแสดงไม่ได้จริง ๆ มันก็ทำให้เราสัจธรรมของชีวิตนะ มันก็ดูธรรมชาติดี เรียบง่าย ๆ การแสดงเหมือนท่องบทมา สีหน้าท่าทางและสายตาไม่ให้ มันทำให้เราเห็นว่า เออ นักแสดงก็คือ "คน" ไง ก็เขาพยายามแล้ว มันได้แค่นี้จริง จะเอาอะไรกับเขาอีก อะไรประมาณนี้ ส่วนเรื่องราวเนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไร ก็คนชีวิตคนทั่ว ๆ ไปในเมืองเล็ก ๆ ก็แค่นั้นเอง ดีออก เราไม่ต้องคิดตาม ไม่ต้องลุ้น :) เราคิดว่ามันคือความสวยงามของชีวิตนะ มันทำให้เรารู้ว่า "เออ ชีวิตไม่ต้อง perfect อะไรมาก" OK... มันอาจจะไม่ใช่กิจกรรมครอบครัว เพราะลูกลิงและแม่ลิงบอกว่าไม่ชอบเอาเสียเลย และก็จะคอยถามว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ.... oops!!! :) |
AuthorJohn Paopeng Archives
August 2023
Categories |