สิงคโปร์ คนส่วนใหญ่มีการศึกษาที่ดี อัตราการอ่านออก-เขียนได้ค่อนข้างเยอะ
คนจึงทำงานเป็น white collar กันเยอะ ทำงานที่ office กัน ไม่ค่อยมี blue collar ไม่ค่อยมีทำงานที่ใช้แรงงาน คนงานที่ใช้แรงงานหลาย ๆ อย่าง import มาจากต่างประเทศ cleaner ที่ MRT stations ส่วนมากเป็นชาวศรีลังกา คนเก็บขยะของเทศบาล ส่วนมากเป็นชาวศรีลังกา คนงานทำถนนหนทาง บางส่วนก็เป็นแรงงานไทย แม่บ้าน หรือคนรับใช้ในบ้าน ก็จะมาจากอินโดนีเซีย หรือ ฟิลิปปินส์ ต่าง ๆ นานา อันนี้คือแค่ตัวอย่าง หลัง ๆ มาก็จะมีคนมาจากพม่าด้วย อันนี้คือ something new เพราะแต่ก่อนไม่ค่อยมีคนมาจากพม่าเท่าไหร่ ที่ประเทศสิงคโปร์ เราก็จะ slang หลาย ๆ อย่างที่พวกเราใช้ เราก็ได้เรียนรู้ slang เหล่านี้ตอนที่เราอยู่ที่นั่น "Yaya Papaya" คือ Singaprean slang ที่หมายถึง snob ที่หมายถึงคนที่ชอบ "เชิด" หรือ "Yaya" แต่ก็เติมคำว่า "papaya" เข้าไปเฉย ๆ ให้มันสอดคล้อง ในขณะที่เรานั่งรออาหารอยู่ที่ hawker centre แถวบ้านน้องสะใภ้ แถว Changi/Bedok ก็จะมีป้ามานั่งที่โต๊ะไม่ไกลจากเรามาก ป้าก็ถามพนักงานต่างชาติที่มาเช็ดโต๊ะที่ป้านั่ง ว่ามาจากไหน อะไร ยังไง มาเรียนหนังสือ หรือมาทำงาน blah...blah... เดี๋ยวก่อนนะครับ มันค่อนข้างเป็นมารยาทของคนทั่ว ๆ ไปที่เราจะไม่ไปถามเรื่องราวส่วนตัวอะไรของใครมาก น้องเขาเอาอาหารมาเสริฟ เราก็แค่ "ขอบคุณ" ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปถามอะไร ยกตนข่มท่าน เพียงเพราะน้องพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปลก ๆ ป้าก็จะมีความ bossy นิสต์นึง เรานั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ก็ได้แต่มองและถอนหายใจ Note: ป้าอาจจะไม่มีเจตนา เราอาจจะคิดไปเอง อาจจะด้วยน้ำเสียงและสำเนียงของป้า!!! ปีนี้เราตัดสินเรียนเพิ่มอีกใบครับ Gradudate Diploma of Psychology
Gradudate Diploma มันคืออนุปริญญาโทนะครับ ไม่ใช่ Diploma ตาม TAFE ตาม college Gradudate Diploma = สูงกว่าป.ตรี แต่ต่ำกว่า ป.โท สำหรับคนที่ป.ตรี แล้วอยากปลี่ยนสายหรือเรียนในสายอื่น ๆ ที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานการก่อน มันคือปริญญาอีกใบนะครับ ไม่ใช่แค่ประกาศนียบัตร 1. UTS Postgrad เรีนกัน 6 intakes ต่อปี ประมาณว่า intake ละ 2 เดือน ถ้าลง intake ละ 1 วิชาก็จบ 1.5 ปี เพราะของเราต้องเรียน 10 วิชา แตกต่างจาก UNSW นะครับ UNSW เรียน 3 terms ประมาณว่าเทอมและ 3 วิชา UOW เรียน 2 semesters ต่อปี หรือถ้า Postgrad ก็มีแบบ intake แต่ปีละ 4 intakes Term, Intake, Semester ไม่เหมือนกันนะครับ แล้วแต่มหาลัย 2. อะไร ใด ๆ เราคุยกับภรรยาแล้ว เราคงเรียน intake-เว้น-intake จะได้ไม่กระทบกับเวลาของครอบครัวมาก เรียน ๆ ชิล ๆ ไม่รีบ จบเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เราไม่ได้จะเอาความรู้หรือวุฒิการศึกษาไปทำมาหากินอะไร เราเรียนเพื่อ "รู้" เฉย ๆ สนองความ "อยากรู้" ล้วน ๆ แต่ความอยากรู้นี้ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่าย $40K วิชาละ $3.9K กว่า ๆ ถ้าคิดเป็นตัวเลขกลม ๆ ก็วิชาละ $4K นี่คือราคาของ citizen นะครับ ต่อให้เป็น citizen ก็เถอะ ก็แพงอยู่ แต่มันใช้ HECS ได้แค่นั้นเอง 3. เราจะไม่ใช้ HECS เพราะเรากับภรรยาค่อนข้าง heavily invest กับอสังหาที่นี่ เราจะต้องไม่มีหนี้ หรือมี liability ที่ไม่จำเป็น เพราะถ้ามีหนี้ มันก็จะทำให้ borrowing power ลดลง ก็จะทำให้ทำเรื่อง home loan ยาก เราก็เลยต้องจ่ายค่าเทอม upfront เราก็คุยกับภรรยาแล้วว่า เราก็จะเอาตังค์ค่า consultation ที่ได้จากงาน consult ทางโทรศัพท์นี่แหละ มาเป็นค่าเทอม เราจะไม่ยุ่งหรือวุ่นวายกับเงินในบริษัท หรือเงินส่วนอื่น ๆ งาน consult เราปรกติวันหนึ่งก็รับ 3 สาย (Mon - Sat) ก็พอได้อยู่ ดังนั้น ก็ตัดไปเรื่องค่าเทอม ไม่มีอะไรต้อง worry $40K เยอะจริง เอาไปวาง deposit ซื้อบ้านได้ แต่เราอยากเรียนจริง ๆ ครับ อยากรู้ และอยากได้ qualification ที่มัน formal ไม่ใช่ไปซื้อหนังสืออ่านเองจาก Dymocks งั้น ก็ไปให้สุดทางเลยละกัน $40K วน ๆ ไป แต่เราไม่รีบไง เรียน intake-เว้น-intake และ intake ละ 1 ตัว :) 4. เรียนเพื่อ "รู้" เฉย ๆ มีจริงครับ หน้าที่การงานเราลงตัวแล้ว เราพร้อม semi-retire แล้ว เราไม่ได้กะจะเอาความรู้นี้ไปทำมาหากินอะไร แต่อย่างน้อยมันน่าจะทำให้เราเข้าใจคนมากขึ้น เราทำงาน "J Migration Team" มาก็ 16 ปีแล้ว เจอเรื่องราวมาเยอะ เราอยากให้คำแนะนำคนอื่น แต่มันก็ติดตรงที่เราไม่มีความรู้ทางด้านนี้แหละ งั้นก็ไปเรียนให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเลยละกัน จะได้ไม่ "คาใจ" ไม่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ 5. Intake หน้า (July) คงไม่ลง ขอเวลาทำใจ ไหนจะย้ายบ้าน ย้ายอะไรอีก จะลง intake แรกตอน August 2024 6. ทุกการตัดสินใจ ผ่านการอนุมัติจาก CEO แล้ว อันนี้สำคัญ เพราะเงินที่ต้องจ่ายก็เยอะ และเวลาจะต้องกระทบกับเวลางานหรือเวลาครอบครัวน้อยที่สุด อันนี้คือปริญญาใบที่ 7 ครับ เรียนมาแล้ว 4 มหาลัยที่นี่ (UOW, USQ, ANU & CSU) UTS ก็จะเป็นมหาลัยที่ 5 จริง ๆ ชีวิตเราอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร Lifelong learning มีจริง เราทำให้เห็นแล้ว อะไรที่ทำแล้วมีความสุข อะไรที่ทำแล้วไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน "ทำ" เถอะ I hope my actions will inspire someone in some way. ถ้าเราคิดว่าเรา "ทำได้" เราก็จะ "ทำได้" ครับ เป็น trip ที่ครบ จบ ทุกเรื่อง
4 ปีช่วง COVID ที่ครอบครัวเราไม่ได้กลับเมืองไทยหรือสิงคโปร์ เราคนเดียว ได้กลับบ้างตอน Jan 2022 (Phuket Sandbox) 4 ปีนี้ ลูก ๆ เราก็โตขึ้นเยอะ คนโตก็เรียนมหาลัยแล้ว หลาน ๆ เราก็โตขึ้นเยอะ หลาย ๆ คนก็เรียนมหาลัยกันแล้ว เด็ก ๆ ที่เลยกล้าที่จะพูดคุยกันมากขึ้น ปรกติลูก ๆ เราก็จะสนิทกับหลานอีกคนอยู่แล้ว คนที่เสียไปเมื่อปี 2020 เพราะคนนั้นคือลูกชายของน้องสาวเราเลย เราไปไหนมาไหน เราจะเอาหลานเราไปด้วยเสมอ ไปเที่ยวหาดใหญ่เอย เกาะสมุยเอย ไปเที่ยวสิงคโปร์เอย หลานคนนั้นจะไปด้วยตลอด ก็เป็นลูกชายอีกคนของเราแหละ ความสนิทสนมมันก็จะอีก level หนึ่ง กลับเมืองไทยครั้งนี้ เรามีอะไรหลายอย่างในชีวิตที่ต้องสะสาง main หลักเลยคือพาเด็ก ๆ และครอบครัวมาบอกลาพี่ชายของพวกเขา ซึ่งก็เป็นการยากมาก แต่อย่างน้อย 4 ปี มันก็ทำให้อะไรเบาลง หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า "เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง" hmmm... จริงหรือครับ??? jigsaw 1 ชิ้นหลายไป จะต่อยังไงก็ไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ต้องยอมรับมันให้ได้ ก็แค่นั้นเอง การมาบอกลาในครั้งนี้ ต้องรอถึง 4 ปี เราถือว่า trip นี้คือ ครบ จบ ทุกเรื่อง ไม่งั้นมันก็จะยังคาใจอยู่ตลอด มันเป็นอะไรที่เศร้า แต่มันก็คือความจริงของชีวิต มันเกิดขึ้นแล้ว เราจะจัดการกับชีวิตยังไงหลังจากนี้ เมื่อการเดินทางต่างประเทศไม่ได้ปัญหาเรื่อง border restriction แล้ว
เมื่อภรรยาเรา ผ่านการรักษาทุกสิ่งอย่างแล้ว ทุกวันนี้ก็แค่ follow up ทุก ๆ 3-4 เดือน แล้วแต่หมอนัด เมื่อลูกชายคนโต ปีนี้ก็เรียนปี 3 ที่ UNSW แล้ว เมื่อลูกสาวคนเล็ก ปีนี้ก็เรียน year 11 แล้ว (ม.5) ตอนนี้แค่รอย้ายบ้าน cleaner ก็เข้ามา clean ทุกอย่างหมดแล้ว furnitures มาส่งเกือบหมดทุกอย่างแล้ว รอแค่ bed frames ของ Harvey Norman ที่ส่งมาทางเรือจากเมืองจีน เมื่อย้ายบ้านเสร็จ เราก็คงได้กลับเมืองไทยมากขึ้น เมื่อชีวิตเราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ก็คงจะได้กลับไปอยู่กับคนแก่ที่บ้านมากขึ้น ก็คงจะได้มีโอกาสพาคนแก่เที่ยวมากขึ้น ไปโน่น ไปนี่ ก่อนที่เขาจะเดินทางลำบากกัน ก็คงจะได้ทำ face-to-face consultation ที่เมืองไทยด้วย หลังจากห่างหายไปหลายปี (ถ. พระหลโยธิน เตรียมตัวจ๊ะ) หาเงินเป็น AUD ไปใช้เป็น THB ยังไงก็อยู่ไทยได้สบาย ๆ ครับ หลาย ๆ คนอาจจะอยาก #โยกย้าย มาอยู่ที่นี่ แต่เอาเถอะชีวิตใครชีวิตมัน ชีวิตของเราลงตัวแล้ว ใช้ชีวิตที่ไหนก็ได้ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไทย งานเราไม่กระทบอยู่แล้ว อยากจะทำ face-to-face consultation ก็บินกลับมาทำได้ทุก ๆ 3 เดือน จริง ๆ passport เราไปใช้ชีวิตอยู่ที่ New Zealand ก็ได้ แต่เอาแค่ 3 ประเทศนี้พอ มีความสุขแล้ว ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง อย่างที่เราอยากให้เป็น การที่เรามาถึงจุดที่เรา “พอใจ” ในชีวิตแล้ว ชีวิตที่เหลือเราอาจจะต้องการแค่ “ความสงบ” ก็อาจเป็นได้ สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น ทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกันนะครับ
ไม่มีถูก ไม่มีผิด ตัวเราเองเป็นคนไม่มี new year resolution เพราะถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร คือเราก็ "ทำเลย" ไม่ต้องรอปีใหม่ เราก็แค่ใช้ปีใหม่ เป็น "time reference" หรือ "date reference" เฉย ๆ เพราะจำง่าย - คนเขา ถ้าอยากจะเลิกเหล้า เขาเลิกไปนานแล้วครับ ไม่ต้องรอปีใหม่ - คนเขา ถ้าอยากจะเลิกบุหรี่ เขาเลิกไปนานแล้วครับ ไม่ต้องรอปีใหม่ - คนเขา ถ้าอยากจะเข้า gym เขาเข้าไปนานแล้วครับ ไม่ต้องรอปีใหม่ และต่าง ๆ นานา เอาเป็นว่าเราไม่ judge ใคร แค่ยกตัวอย่าง เราจัดการชีวิตเราก็พอ โดยส่วนตัวแล้ว ช่วงสิ้นปีแบบนี้ 1. เราก็ review life insurance ของเรากับ HostPlus เราเป็นคนไม่คิดเยอะ ไม่คิดนาน เพิ่มค่า cover เลยทันที ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เตรียมการเอาไว้ เราไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนใคร ถ้าเราไปก่อน คนอยู่ข้างหลังก็ไม่ต้องลำบาก 2. เพิ่มค่าแรงให้ตัวเองหน่อยละกัน ที่ผ่านมาก็รับค่าแรงจากบริษัทตัวเอง ต่ำเตี้ยเลียดินเหลือเกิน ทุกอย่างเราเข้าบริษัท เพิ่มค่าแรง จะได้เพิ่มค่า superannuation จะได้ไปจ่ายค่าประกันชีวิต ทุกอย่างมันก็จะวน ๆ กันไปแบบนี้แหละ ไม่ว่าใครจะมี new year resolution หรือเปล่า ก็ขอให้มีความสุขกันนะครับ สุขในทุก ๆ วัน ไม่ต้องรอปีใหม่ สุขในสิ่งที่มี อย่างแรกเลย เราไม่สนับสนุนการทำงานแบบ overwork หรือ workaholic นะครับ...
ปรกติ 10pm เราหัวถึงหมอนแล้ว งานของเราประมาณ 97-98% จะเป็น online application ซึ่งเรา manage และบริหารจัดการเวลาได้ ทำได้จากที่ไหนก็ได้ทั่วโลก ซึ่งบอกเลยว่า "สุข ณ จุดที่เป็น" เราก็จะมีงานแค่ประมาณ 2-3% ที่เป็น paper-based applications ซึ่งต้องมีการเซ็นฟอร์ม แล้วส่ง application ไปทางไปรษณีย์ บาง case ที่ส่งไปที่ Sydney office หลาย ๆ case ก็จะส่งไปที่ Perth office (Family Visas) พอดีวันศุกร์ 15 December 2023 เรามีธุระต้องไป somewhere ตั้งแต่ตี 4; 4am เราก็อยากจะเร่งงานนี้ให้เสร็จ ๆ ไป ไม่เร่งก็ได้ เราไปทำธุระของเราก่อนก็ได้ แต่นั่นหลายถึงการยื่น application ก็ยืดออกไปอีก ซึ่งก็คงไม่ดีแน่ ๆ เลย ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น เราไม่โทษใครทั้งสิ้น เราโทษตัวเองนี่แหละ บางทีรับงานก็คิดว่า "ตัวเองไหว" เราถึงบอกไงว่า "ธุรกิจ ต้องกินแต่พอดีคำ" อ๊ะ.. ไม่ว่ากัน เรียนรู้กันไป anyway... วกมาที่เรื่องนี้ เนื่องด้วยเรามีธุระที่ต้องไป 15 December 2023; 4am แต่เช้าเลย แล้ว 14 December 2023 ก็ดันยุ่งทั้งวัน Child Visa (Subclass 101): x 2 cases นี้ น้องทีมงานเตรียมอะไรไว้หมดแล้ว เราแค่ print เอกสารและฟอร์มออกมา doule check แล้วก็ส่ง post ทางไปรษณีย์ น้องทีมงานทำงานดีมากเลยครับ 110% มันมาช้าที่เรานี่แหละ เพราะต้อง check เองหมดทุกอย่างเลยก่อนยื่น ทุกอย่างต้องผ่านมือเรา ปรกติเราจะส่งเป็น Express Post อยู่แล้ว และจะส่งเป็น "Singnatue on Delivery" ซึ่งต้องไปส่งที่ AustPost; 8:30am - 5:30pm แต่ครั้งนี้คงแค่ไป drop ที่ post box แล้วคอย check tracking number เอา ที่ผ่านมา เอกสารที่ถึงหมด ยังไม่เคยตกหล่น อะไร ใด ๆ กว่าจะได้เริ่มทำ เริ่ม print เริ่ม check ก็ช้า เพราะ 14 December 2023 ก็ยุ่งหัวหมุนมาก โน่นแหละได้เริ่มทำก็ 7pm แล้วมี 2 cases ด้วยนะ พี่กับน้อง paper-based เอกสารทุกอย่างต้องเป็น true certified เดชะบุญ เราเป็น JP ก็เลยรอดไป (JP; Justice of the Peace) เราสามารถเซ็น JP ให้กับลูกค้าได้ เอกสารเยอะ ก็เซ็นเยอะ มันก็ช้าตรงนี้แหละ paper-based application ไม่เหมือน online application ลูกค้าโปรดเข้าใจ (99.99% เข้าในนะครับ ทำงานมา 15 ปี มี "xyz" cases ที่เรา say goodbye) เอกสารเยอะ ก็ต้อง print เยอะ มันก็ช้าตรงนี้แหละ 1 case ก็ประมาณ 3 ชั่วโมงนะครับ กว่าจะเสร็จ ไม่ใช่ง่าย ๆ 3 ชั่วโมง นี่คือทุกอย่างอยู่ในมือเราแล้วนะครับ ไม่รวมอีกหลายชั่วโมง หลาย emails ที่ทีมงานเราต้องติดต่อกับลูกค้าอีก ไม่ง่ายนะครับ บอกเลย ของพวกนี้ อย่าดูแค่ที่ราคา กว่าจะ JP certified เสร็จก็โน่นแหละ 12:30am หลังเที่ยงคืน หลังเที่ยงคืน ขับรถยามวิกาล ออกไป drop เอกสาร ก็ 12:42am เวลา ณ ที่ตู้ Express Post Box ขับรถ ถนนโล่ง อีกหนึ่งประสบการณ์ของชีวิต มันเงียบอะไรเยี่ยงนี้ drop เอกสารลง post box 12:42am (ครั้งเดียวพอนะ จะมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ จะไม่ทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก) นอกเรื่อง: 1. อาบน้ำ นอน 1am 2. ตั้ง alarm clock เอาไว้ 3am เพราะ 4am ต้องออกแล้ว 3. 2 ชั่วโมง 1am - 3am; 2 ชั่วโมง มันนอนไม่หลับหรอกครับ มันห่วงหน้า พะวงหลัง และมันเลยเวลานอนของเราแล้ว ปรกติเรานอน 10pm พอมานอน 1am มันนอนไม่หลับ ก็ได้หลับตา พลิกตัวไปมา 3am ลุกขึ้นมาอาบน้ำ 4am ก็มีธุระหน้าที่อื่นที่ต้องทำ สรุป 2 ชั่วโมงก็ไม่ได้หลับ แต่ได้เอนตัว เกิดเป็น J ต้องอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตาย กราบขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกัน แต่ละคนได้เรียนรู้อะไรบ้างครับ สำหรับเราแล้ว: 1. เราได้เรียนรู้อะไรในการทำงานเยอะ จริง ๆ ก็เรียนรู้อะไรเยอะอยู่แล้ว ทำงานมาตั้ง 15 ปีแล้ว แต่หลาย ๆ อย่างขอ "เก็บเอาไว้ในใจ" แต่ที่แน่ ๆ คือ "สัจจะ" นั้นสำคัญกว่าเงินทอง ถ้ารับงานมาแล้ว รับปากมาแล้ว ก็ต้องทำ กัดฟันแล้วกลืนเลือด เชิดหน้าแล้วยิ้ม ปัญหาอะไร เก็บไว้ในใจ รับรู้และเรียนรู้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอะไร บอกเล่าเก้าสิบ ชีวิตการทำงานของเราไม่ได้สบายอย่างที่หลาย ๆ คิดนะครับ แล้วคนอ่านหละครับ ได้เรียนรู้อะไรจากความโป๊ะป๊ะของเรามั่ง กราบขอบคุณทุกคนที่ร่วมสนุกใน facebook ส่วนตัว ไม่มีใครตอบถูกเลย... อิ อิ Note: เราเขียนแบบรีบ ๆ ยังไม่ได้ proofread เดี๋ยวกลับมาแก้คำผิด 14 October 2017; เป็นการเจอกันตัวเป็น ๆ ครั้งแรกของพวกเรา 3 คน หลังจากที่คุยกันทาง email และคุยกันผ่าน facebook page กันอยู่นาน
ก็เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น (หรือเปล่านะ เราไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียวใช่มั้ย) Apr 2018 เรากับครอบครัว ก็ไปเยี่ยมพี่เค๊านะ ขับรถไปจาก Mellbourne และ 2-3 ปีที่ผ่าน เราก็แวะไปหาพี่เขาอีก แต่คราวนี้ไปคนเดียว ขับรถไปจาก Wollongong เลย คนในครอบครัวก็ไม่ใช่ แต่ก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันเสมอมา พี่เค๊าคือ 200 คนแรก ๆ ที่เข้ามาติดตาม page "J Migration Team" ของเรา และทุกวันนี้ก็ยังคงติดตามและติดต่อพูดคุยกันหลังไมค์ตลอด พี่เค๊าคืออีกหนึ่งฟันเฟืองที่แนะนำลูกค้ามาให้เราเยอะมาก ถึงมากที่สุด พี่เค๊าเป็นคนแรก ๆ เลย เมื่อปี 2015/2016 ที่ช่วยแนะนำลูกค้า "ปากต่อปาก" กันมา ทั้ง ๆ พี่เขาก็ไม่ได้อะไร ครอบครัวเรา 4 คน เป็นหนี้บุญคุญของพี่ ๆ ตลอดไปนะครับ Note: ก่อนลงรูป เราขออนุญาตแล้ว ตั้งแต่ 2017 :) จากที่โพสต์ไปเมื่อวันก่อน ว่าสำหรับปี 2023 เราก็แค่ต้องการอีกแค่ 2 cases ใหญ่ มันจะถึงโควต้า หรือตัวเลขของจำนวน case ที่เราต้องการทำ "ที่อยู่ในใจ"
มันเป็นตัวเลขที่เราได้มาตั้งแต่ประมาณปี 2017 แล้ว และทุก ๆ ปีก็ hit this number เรื่อยมา ไม่ต้องการมากไปกว่านี้ แค่นี้ก็ OK แล้ว เมื่อเรา hit the target แล้ว (13 Oct 2023) เวลาที่เหลือหลังจากนี้จนสิ้นปี ก็ไม่เป็นไร อย่างที่บอก ต่อให้ Nov จะได้ทำ 0 case ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ Dec จะได้ทำ 0 case ก็ไม่เป็นไร เชื่อเถอะ ต่อให้ปิดทำการ Dec & Jan เราก็จะยังมี case หยิบหย่อยให้น้อง ๆ ทำอยู่ ไม่ต้องห่วง Dec ก็คงเป็นการ clear case เก่า ๆ ให้หมด Jan ก็คงเป็น heal ใจ heal ร่างสำหรับทุก ๆ คน โน่นแหละ กับมารับงานอีกที 01 Feb 2024 ก็จะยังคง checks email ทุกวัน ทีมงานก็ยังติดต่อได้ทั้งทาง email และ WhatsApp ก็จะเป็นอะไรที่ "เล็ก ๆ เฉพาะคนรู้ใจ" สรุปก็ปิด job ของปี 2023 อย่างสวยงาม เมื่อวันที่ 13 Oct 2023 คำว่า "พอ" ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับเรา เรา "พอ" แล้ว แค่เรา live comfortably เราก็ OK แล้ว ไม่ต้องอะไรเวอร์วังมาก แค่ไม่เดือดร้อนก็พอ มีจุนเจือคนรอบข้างบ้าง อันนั้นก็คือ bonus ของชีวิต ถ้ามีเงินเข้ามาเพิ่มช่วง Nov & Dec ก็ถือว่าดีไป เราก็จะได้เอาไปทำ project อะไรอย่างอื่น อะไร ใด ๆ ทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ ก่อนทำ project อะไร ก่อนตัดสินใจอะไร มันคือการตัดสินใจร่วม ชีวิตครอบครัวจะได้ไม่มีปัญหา สำหรับคนที่ follow เราใน facebook ส่วนตัว (ที่เปิดเป็น public) ก็คงจะพอเห็นอยู่บ้างว่า ปี 2024 เรามี project อะไรบ้าง ทุก project ต้องการผ่านคุยกัน 2 คนกับภรรยา ที่เขียนมาทั้งหมดก็แค่ต้องการบันทึกเรื่องราวของชีวิต บอกเล่าเก้าสิบ และเป็นกำลังใจให้กับหลาย ๆ คนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวกัน เราก็เป็นมดตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่งที่ Wollongong ที่สร้างเนื้อสร้างตัว เริ่มจาก "0" จริง ๆ เริ่มจากสมองและสองมือที่มี ทำเองทุกอย่าง เป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ ต้องการปรึกษาอะไร ทักเข้ามาได้ |
AuthorJohn Paopeng Archives
February 2024
Categories |