ในวันที่เราจากโลกใบนี้ไป
เราต้องการให้ทุกคนจดจำเราแบบไหน เราอยากให้คนจดจำเราว่าเราตอบ email ไว หรือว่าเราอยากให้คนจดจำเราว่า เราได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารัก อยู่กับครอบครัว และช่วยเหลือคนรอบข้าง บางทีเราก็ต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง First Thing First จากเหตุการณ์การเลือกตั้งที่เมืองไทย เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง และเราจะสามารถนำสิ่งนั้นมาประยุกต์อะไรให้กับตัวเอง ให้กับธุรกิจของเราได้บ้าง
blog นี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะครับ เราไม่วิจารณ์ใคร หรือพรรคไหนทั้งสิ้น แต่เราอยากจะ analyse การใช้สื่อ social ให้เป็นประโยชน์ในเชิงธุรกิจและการสร้างตัวตนบนโลก online จากเหตุการณ์และผลการเลือกตั้งที่เมืองไทย มันทำให้เรารู้ว่า "สื่อ social" นั้นสำคัญมาก กับ mass communication กับการสื่อสารหรือส่งสารออกไป สื่อ social นั้นต้นทุนต่ำ ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ ถ้าทำได้ดี ก็จะสามารถส่งสารได้ดี ได้ทั่วถึง คนที่ใช้สื่อ social เป็น medium หลักในการส่งสารจะได้เปรียบกว่าการส่งสาร หรือสื่อสารแบบเดิม ๆ คนเราจะดี คนเราจะเก่ง ถ้าไม่มีคนรู้จัก มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรมาก เป็นคนเก่ง เป็นคนดี (ความคิดเห็นส่วนตัว) แต่สื่อ social ไม่ปัง ก็ดับได้ เป็นคนเก่ง เป็นคนดี (ความคิดเห็นส่วนตัว) และสื่อ social ดัง มันก็จะยิ่งช่วยสนับสนุนกันเข้าไปใหญ่ เขาก็ปังได้ ดังนั้นใครที่คิดจะทำธุรกิจ หรือสร้างตัวตนบนโลก online การใช้สื่อ social ให้เป็นนั้นสำคัญมาก เครื่องมือมันมีอยู่แล้ว เราต้องใช้ให้เป็น Tools มันมีอยู่แล้ว เราก็ต้อง leverage มันให้ได้ นำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ นำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับการสร้างตัวตนบนโลก online มันทำได้ ในวันที่เราเหนื่อย
ในวันที่เรา busy ภรรยาก็ busy เราก็ยังโชคดีที่เรามีเพื่อนเป็น chef แวะมาทำอะไรกินกันที่บ้าน ช่วงเสาร์-อาทิตย์ เขาทำอาหารชุดใหญ่ ทำใส่กล่อง ทานได้เป็นอาทิตย์เลย หิวเมื่อไหร่ก็เอาออกมาเข้า microwave ค่อยยังชั่วหน่อย ที่ Wollongong หาอาหารไทยที่อร่อยทานยากมาก ไม่เหมือน Sydney ที่ Wollongong ไม่ได้หาของกินอร่อยง่าย ๆ เหมือนใน Sydney สำหรับคนทำกับข้าวไม่เป็น และก็ time poor กันทั้ง 2 คน เรื่องกินสำหรับเรา เรื่องใหญ่ เพราะเราไม่อยากที่จะเสียเวลาคิดกันว่า เออ วันนี้จะทำอะไรกินกัน เราอยากเอาเวลาเหล่านั้นไปทำอะไรอย่างอื่นมากกว่า การที่มีใครสักคน มีเพื่อนเป็น chef มันก็ดีแบบนี้นี่เอง การที่เขาแวะมาเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่กันช่วง weekend มันก็ดีเหมือนกันนะ กับเหตุการณ์บางเหตุการณ์ เราอย่าเพิ่งด่วนไปตัดสินใคร
เราอาจจะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด เราอาจจะรู้หรือทราบข้อมูลแค่เพียงฝ่ายเดียว หรือแค่จากมุมมองของเรา และจากประสบการณ์ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การโกงแชร์ การรับทำผลภาษาอังกฤษ หรือใครทำอะไรต่อใคร บางทีเราก็รับข่าวสารแค่จากฝ่ายเดียว แล้วทุกคนก็รีบด่วนตัดสินใจ การรุมประชาทัณฑ์ หรือการโหมด่าหรือประจานทางโลก social ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรหรอก นอกจากความสะใจ การตั้งศาลเตี้ย ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร นอกจากความสะใจ ประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวก็จางหายไป วงจรอะไรต่าง ๆ มันก็จะกลับมาอีก กลับมาเหมือนเดิม เมื่อไหร่ที่มันมี demand มันก็ต้องมี supply เราเองต่างหากหละที่จะต้องศึกษาและรู้เท่าทัน ถ้าเราไม่โลภ ไม่หวังรวยทางลัด เราก็ไม่มีปัญหาเรื่องการโกงแชร์ ถ้าเราไม่มักง่าย ให้ใครมาทำผลสอบภาษาอังกฤษให้ เราก็ไม่ต้องสูญเสียเงินก้อนใหญ่ (แต่ถ้าเธอมีเงินเยอะ ไม่รู้จะเอาไปจับจ่ายใช้สอยที่ไหน เราก็ไม่ว่ากัน เราไม่ judge ใครทั้งสิ้น เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา) ถ้าเราเลือกที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย มันก็ทำได้ ถ้าเราเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบพอเพียง มันก็ทำได้ ทำมาหากินแบบสุจริต ไม่เบียดเบียนใคร มันก็ทำได้ (ยังไม่มีใครตายเพราะการใช้ชีวิตแบบพอเพียง หรือทำมาหากินแบบสุจริต) facebook บางกลุ่ม ก็เลือกใช้คำที่รุนแรงเหลือเกิน (เราเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน) แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็คิดว่าการเลือกใช้คำมันก็บ่งบอกถึงระดับความคิด (ไม่เกี่ยวกับระดับการศึกษา) แต่เราก็คิดว่า มันจะเป็นการดีไม่น้อยเลย ถ้าพวกเราอยู่กันอย่างสันติสุข ไม่โลภ ไม่เบียดเบียนใคร โลกนี้ สังคมนี้เราก็คิดว่ามันก็คงจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ hmmm... พระเอกอีกละ ไม่ต้องเชื่อเรามากก็ได้ ไม่ต้องเห็นด้วยกับเราก็ได้ เราอาจจะเป็นผู้ร้ายในคราบนักบวชก็ได้ ทุกคนต้องพิจารณาเอง ตามแต่กำลังบุญของแต่ละคนที่สั่งสมและปฏิบัติกันมา ทุกสิ่งอย่างในชีวิต มันมีกลไกของมัน ทุกการกระทำของมนุษย์ มันมีที่มาและที่ไปเสมอ มันมีเหตุและผลในตัวของมันเสมอ ทุกคนมีเหตุผลที่แตกต่าง เราไม่ได้ยืนที่จุดที่เขายืน เราอาจจะไม่รู้ เราไ่ม่ได้อยู่ในจุดที่เขาเป็น เราอาจจะไม่รู้ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใคร จริง ๆ มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา บางทีแค่มองดูอยู่ห่าง ๆ ก็พอแล้ว เราไม่ต้องลงไปเล่นด้วย เราไม่ต้องแสดงอารมณ์ ไม่ต้องออกความคิดเห็นก็ได้ อย่าเอาน้ำมันไปใส่ไฟ (เอ๊ะ เรากำลังทำอยู่หรือเปล่านะ ชักงง ไม่หรอก อย่างน้อยเราก็ใช้พื้นที่ของเรา ไม่ได้ใช้พื้นที่ของคนอื่น) บางทีการที่เราไม่พูดอะไรเลย การจะเป็นการพูดที่ดีที่สุด บางทีการที่เราไม่ทำอะไรเลย อาจจะเป็นการกระทำที่ดีที่สุดก็ได้ ทุกสิ่งอย่างในชีวิตมันมีกลไกของมัน ธรรมชาติก็มีกฏของธรรมชาติ หรือบางคนเรียกว่ากฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งการกระทำ เราไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของมัน แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุข ความสุขแบบสมถะ ความสุขแบบเงียบ ๆ ความสุขแบบเรียบง่าย โดยเฉพาะในโลกของสังคมปัจจุบัน โลกของสังคมยุค social network มันเป็นโลกของ "เดี๋ยวนี้" "ตอนนี้" "จะเอาทันที" Right here, right now. มันเป็นโลกที่ทุกคนอยากออกความคิดเห็น ทุกคนอย่างมีส่วนร่วม แต่การที่เราหยุด และ pause สักนิด smell the roses แล้วเราก็จะรู้ว่า "โลกนี้ยังสวยงามเสมอ" เดินให้ช้าลงหน่อยก็ได้ ไม่ต้องแสดงความคิดเห็น ไม่ต้องออก comment บ้างก็คงไม่เป็นไร... ...รักนะ... Sunday activities
ช่วงนี้ เดือน Feb-Mar ลูกสาว (ตัวเล็ก) ต้องมา practice dance ที่ Hornsby 9:30am - 12:30pm เราก็ต้องพากันออกจากบ้านแต่เช้านิดหนึ่ง ออกจากบ้าน 7:30am ขับรถ 1.5 hr มาถึงก่อนเวลา ดีกว่ามาพอดีแล้วเร่งรีบ หลังจาก drop ตัวเล็กที่ dance studio เสร็จแล้ว เรา ภรรยา และลูกชาย (ตัวโต) ก็พากันมานั่งรออยู่ที่ Westfield Shopping Centre เราก็จะนั่งทำงานของเราไป 2.5-3 ชั่วโมง ส่วนมากก็จะเป็นการเขียน blog มากกว่า วันอาทิตย์ ไม่อยากใช้หัวสมองมาก นั่ง cafe เดียว 2.5 hr มันคงไม่งาม เราก็นั่งที่นี่สัก 1.5 hr และอีก cafe ตรงข้าม 1 hr ก็ว่าไป การมาใช้สถานที่ของเขาแบบนี้ เราก็ต้องมีมารยาทด้วย เราก็ต้องสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มด้วย ที่สำคัญคือ ก่อนออกไปต้องวาง tips เอาใว้ให้เสมอ อย่าให้เขามาว่าเราได้ ว่าเรามานั่งแช่ เราไม่คิดที่จะเอาเปรียบใครทั้งสิ้นจ๊ะ เห็นมั้ย ชีวิตวันอาทิตย์เราก็ไม่ได้สบายอะไรมากมาย ก็ยังนั่งทำงาน ขีด ๆ เขียน ๆ อะไรของเราไป มันเป็นสิ่งที่ชอบ มันเป็น ikigai ของชีวิต เขียน blog ที่ไม่มีคนอ่าน ทำ video clip ที่ไม่มีคนดู ทำ podcast ที่ไม่มีคนฟัง ไม่คยเป็นปัญหาจ๊ะ เพราะเรามีความสุขในการทำ สักวันสิ่งเหล่านี้ที่เราทำ จะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ของมันเอง เราเชื่ออย่างนั้น |
AuthorJohn Paopeng Archives
August 2023
Categories |