“เมื่อชีวิตต้องการคำตอบ”
ก็อาจจะมีบ้างเป็นบางเหตุการณ์ของชีวิต ที่จิตใจเราว้าวุ่น ต้องการคำตอบอะไรบางอย่างให้กับชีวิต ทั้ง ๆ ที่บางทีคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว โตขนาดนี้ ผ่านชีวิตมาเยอะแยะมากมายพอแล้ว เราก็พอจะคิดเองได้ แต่บางทีความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน มันก็เป็นอุปสรรคในการคิดแล้วก็ไต่ตรองได้เหมือนกัน สถานที่บางสถานที่ มันก็ไม่เหมาะกับการคิดและไตร่ตรองโดยเฉพาะเรื่องของจิตใจและความรู้สึก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน บางทีเราก็จำเป็นที่จะต้องไปสถานที่บางสถานที่ที่มันสงบ ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสิ่งรบกวน จิตใจไม่วอกแวก เดินจงกรมสักหน่อย นั่งสมาธิสักนิด เราก็พอมีพื้นฐานการวิปัสสนามาบ้าง ก็พอรู้อยู่บ้างว่าจะต้องจัดการกับจิตใจของตัวเองอย่างไร จิตใจที่มันวิ่งวอกแวก ไวเหมือนลิง แต่เมื่อเริ่มทำไปสักพัก เมื่อจิตใจมันสงบ สิ่งที่เราคาใจ สิ่งที่เราต้องการคำตอบ มันก็มาของมันเอง อันนี้ก็เป็นความรู้สึกส่วนตัว เป็นความชอบส่วนตัว ทุกคนที่อ่าน ก็โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและการเสพข้อมูล เราไม่ต้องการอ้างอิงถึงความเชื่อทางด้านทางด้านศาสนา เพราะเรารู้ว่าทุกศาสนาดีหมด หรือคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร ถ้าเผื่อเขาไม่เบียดเบียนใคร อันนั้นก็ไม่ผิด หลาย ๆ สิ่งอย่างในชีวิต คนเรามันคิดเองได้หมดแหละ เพียงแต่ว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราก็ยุ่งพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจ หน้าที่และการงาน ช่วงที่ว่างเราก็ต้องใช้เวลาอยู่กับครอบครัวด้วย ดังนั้น ปัญหาที่มันละเอียดอ่อนเราก็ต้องการที่จะอยู่เงียบ ๆ แล้วคิดอะไรของเราคนเดียว คนอื่นเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิของเรา มันช่วยได้ เมื่อจิตเรานิ่ง ปัญญาก็เกิด เราไม่ได้ไปบังคับอะไร มันมาของมันเอง ซึ่งจริง ๆ เราก็รู้อยู่แล้วแหละว่าคำตอบมันควรจะออกมาเป็นอย่างไร เพียงแต่ว่าเราก็ต้องการความสงบ ต้องการสัญญาณบ่งบอกอะไรบางสิ่งบางอย่างจากเบื้องบน ลม ฟ้า อากาศ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือเปล่าเราไม่รู้ เทวดาหรือจิตวิญญาณมีจริงหรือเปล่าเราไม่รู้ เรารู้แต่ว่าเราทำไปแล้วเราสบายใจ ปัญญาเราเกิด สิ่งที่เราต้องการคำตอบ เราก็ได้คำตอบมา เราก็เดินจงกรมของเราไปเรื่อย ๆ เดินจนกว่าขามันจะหมดแรง พอเหนื่อยก็นั่งพัก นั่งสมาธิบ้างเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาอันควร เราก็กลับบ้านด้วยจิตใจที่แจ่มใสมากขึ้น มีคำตอบให้กับสิ่งที่มันคาใจ แล้วเราก็สามารถนำสิ่งนั้นนำเอาไปปฏิบัติและดำเนินชีวิตของเราต่อไปได้ อย่างที่เรากล่าวไปเบื้องต้น ที่เราเขียนมาทั้งหมด มันเป็นประสบการณ์ส่วนตัว มันเป็นความรู้สึกส่วนตัว เอาเป็นว่าเราทำไปแล้วเราสบายใจก็เป็นพอ คนอื่นจะเห็นด้วยหรือเปล่าเราไม่ทราบ และนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา วันนี้เรามีความสุขแล้ว สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น แล้วคุณล่ะ “สุข” หรือยัง ก็เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเช่นฉะนี้ กับเหตุการณ์ของยุค Covid แบบนี้ ที่รัฐบาลก็ได้แต่พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจเรื่องปากท้อง และการเปิดประเทศให้นักศึกษามหาวิทยาลัยที่เป็นชาวต่างชาติบินกลับเข้ามาในประเทศก่อน
hmmmm ก็ OK นะ สังคมและเศรษฐกิจยุค globalization มันเชื่อมโยงกันมากเกินไปหรือเปล่านะ แต่ละประเทศพึ่งพาปัจจัยภายนอกจากประเทศอื่นมากเกินไปหรือเปล่านะ คงจะดีไม่น้อยที่แต่ละประเทศอยากจะเปิดประเทศ "เพราะเขาอยากจะเปิด" ไม่ใช่เพราะทำเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่รู้สิ เราไม่ใช่เด็ก Econ มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าประเทศออสเตรเลียลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกเหล่านี้ เศรษฐกิจถ้ามันจะหดตัว ก็ให้มันหดตัวไปสิ ประเทศออกจะกว้างใหญ่ไพศาล ไร่ ฟร์าม สวน อะไรก็เยอะแยะ คงไม่อดตายหรอกมั้ง ถ้าสินค้าพวกนี้ไม่ขนส่งออกไปขายต่างประเทศหมด ตัวอย่างมีให้เห็น นมผงไง ส่งออกไปขายหมด เอ๊าคนในประเทศหาซื้อของไม่ได้ ที่ประเทศออสเตรเลีย คนเปลี่ยน lifestyle เป็นพวก sea change, tree change ก็มีเยอะแยะ บอกลาสังคมในเมืองใหญ่ คนรู้หน้าไม่รู้ใจ แล้วไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ อยู่ตามชนบทมันก็ทำได้นะ ยุคนี้ยุค 4G, 5G เทคโนโลยีมันเข้าถึงหมด ไม่ได้ขี้เหร่อะไรมาก เห็นแต่ page วี๊ดว๊ายกระตู้หู้ว่านักเรียนต่างชาติจะกลับมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นั่น นี่ โน่น เรารู้สึกเฉย ๆ เป็นคนไร้หัวใจ เพราะมันชินชาและเจ็บมาเยอะ Aboriginal สมัยก่อน เขายังอยู่กันได้ ไม่ได้มีนักเรียนต่างชาติมากระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็ต้องหาวิธีอยู่ให้ได้สิ new normal hmmm... ถ้าอยากจะเปิดประเทศเพราะต้องการให้นักเรียนนักศึกษากลับมาเรียน กลับมาหาความรู้ อะไรประมาณนี้ จะดีกว่ามั้ย (เราก็กำลังจะเรียนใบที่ 7 จ๊ะ Master of Migration Law) ไม่รู้สิ อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว เราชอบสังคมนิเวศน์ที่เป็น self reliance พึ่งพาตนเองได้ มีภูมิคุ้มกันจากเศรษฐกิจโลก ไม่ต้อง interconnect กันขนาดนั้นก็ได้มั้ง หรือว่าเราจะย้ายไปอยู่ประเทศภูฏานดี จะไปอยู่กับเจ้าชายจิ๊กมี่แล้วนะ ไม่รอละนะ เปิด interstate border ก่อนเถอะ winter นี้อยากจะหนีหนาวขึ้นเหนือแล้ว July school holiday นี้, NT หรือ QLD ดี?? Qantas เริ่มบินกันบ้างหรือยัง?? หรือว่าจะติดแหงกอยู่ที่ NSW ต่อไป ...เฮ้อ... "J Migration Team" เมื่อปี 2008 เราไม่มีเงินที่จะไปลงโฆษณาอะไรในหนังสือพิมพ์ของคนไทยหรอก เพราะแต่ละฉบับเขาก็จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Sydney คอยเขียน column ให้อยู่แล้ว
ก็ไม่เป็นไรนะ เราเป็นเด็ก IT เราก็ต้องเขียน blog และใช้ Google ใช้อะไรเข้ามาช่วยใช่มั้ย หนังสือพิมพ์ไทยออกทุก ๆ 2 อาทิตย์ แต่ blog ของเราเขียนได้ตลอดเวลา update ได้ตลอดเวลา ไม่มีค่ายใช้จ่าย นอกจากเวลาที่เราต้องทุ่มเท เมื่อไม่มีเงินเม็ดใหญ่ในการลงโฆษณา เราก็ต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ของเรา เล็กมาก ณ วันที่ไปเข้าสัมนาปี 2008 เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่คนไทยบอกว่า "คุณจอห์นจะคุ้มกับค่าสมัคร registration หรือเปล่า เพราะอยู่ตั้ง Wollongong" ค่าสมัคร registration ประมาณ; $4,500.00 ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็คงเล็กจริง ๆ เพราะเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่มีลูกค้า แต่ของเขาติดตลาดบนแล้ว เขียน column ให้กับหนังสือพิมพ์ไทยใน Sydney ก็ไม่เป็นไรนะ ตอนนั้นเราก็มีธุรกิจอย่างอื่นอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไรนะ ตอนนั้นเราก็ทำงานอย่างอื่นด้วยอยู่แล้ว และก็ทำ "J Migration Team" ควบคู่กันไป ปี 2008 เราก็ลงโฆษณา ซื้อพื้นที่กรอบเล็ก ๆ ของหนังสือพิมพ์ Thai-Oz, ทุก 2 อาทิตย์ $100.00 ก็พอมีคนโทรมาบ้าง ก็พอมีคนรู้จัก เพราะคนไทยใน Wollongong ก็อ่าน Thai-Oz กัน เขียน blog เขียนอะไรของเราไป เขียนเสร็จก็แชร์ใน facebook ส่วนตัว พอมี facebook page ก็ทำ page "J Migration Team" เป็นภาษาอังกฤษ ก็เติบโตมาในระดับหนึ่ง เราจะได้ลูกค้าจาก Google search มากกว่า ลูกค้าจาก Google จะเป็นฝรั่ง จะเป็นลูกค้าต่างชาติ ส่วนลูกค้าคนไทย ก็จะเป็นคนไทยใน Wollongong, ร้านอาหารไทยบ้าง ร้านนวดบ้าง แล้วทุกคนก็ช่วยบอกต่อ ปากต่อปาก เราก็ลงโฆษณา Thai-Oz อยู่แค่ปีเดียว; 2008 หลังจากนั้นก็ไม่เคยลงโฆษณาอะไรที่ต้องเสียตังค์กับสื่อของคนไทยอีกเลย เมื่อทำ content facebook page ภาษาอังกฤษไปได้สักพัก ปี 2015 ก็เลยลองทำ facebook page ภาษาไทยดู ปี 2015 มีคนติดตาม 200 คนก็ดีใจตายห่าแล้ว เราอยู่ที่ Wollongong เราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ก็มีน้องคนไทยคนหนึ่ง เด็ก Wollongong นี่แหละ น้องย้ายไปอยู่ที่ Sydney น้องบอกว่าลงลงโฆษณาใน NaTui.com ดูสิ ฟรีนะ ของฟรีเราก็ชอบหนะจ๊ะ เพราะไม่มีงบ ก็เลยของเข้าไป post ทุก ๆ 2 อาทิตย์ คนก็เริ่มเข้ามา follow เรื่อย ๆ ประมาณ 10-20 คนต่ออาทิตย์ เราก็ดีใจแล้ว เรา post ใน NaTui.com อยู่ไม่นาน ประมาณ 3-4 เดือนเองนะ หลังจากนั้นก็เลิก เพราะตอนนั้นคนติดตามก็เพิ่มขึ้นมาแล้วนิดหนึง เราก็มีงานของเราอย่างอื่นอยู่แล้ว ไม่ได้ทำ "J Migration Team" อย่างเดียว หลังจากที่ไป post โปรโมท facebook page ภาษาไทยของ "J Migration Team" สักพัก เราก็เลิกทำ เราก็เริ่มหันมาเรียนรู้การยิง facebook ads และก็เป็นอะไรที่ work มาก หลังจากนั้น facebook page ของเราเติบโตแบบ exponential มาเลย ปี 2015 - 2016 เรา post ข้อมูลที่หน้า page เราทุกวัน แล้วคนก็เข้ามา follow เยอะมาก คน inbox มาปรึกษาเยอะมาก คนโทรมาปรึกษาเยอะมาก จนเรารับมือไม่ไหว และร่างกายก็เหนื่อยด้วย ปี 2017 เป็นต้นมา เราก็เลย post แค่ จันทร์-พุธ-ศุกร์ ที่เป็น post ให้ข้อมูลนะ วันเสาร์จะเป็นพวก free style day, จะ post พวกผลงานหรือพวก visa grant ของเราวันเสาร์ทีเดียวเลย เพราะคนอ่านน้อยอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นการ post ที่ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่คนอ่าน จันทร์-พุธ-ศุกร์ เนี๊ยะ คนอ่านเยอะอยู่แล้ว ปี 2018 เราก็เริ่มมีทีมงานเข้ามาช่วย และทุกอย่างก็ลงตัวมากจนถึงมากที่สุด มาจนถึงปัจจุบัน ปี 2018 - ปัจจุบัน ก็แทบจะไม่ต้อง boost post หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะเราสร้าง value content ล้วน ๆ เขียน blog อะไรที่มันตอบโจทย์คนหลาย ๆ คน เดี๋ยวเขาก็แชร์กันในสื่อ online เอง ที่เรามีวันนี้ มันต้องอาศัยความอึด การดูแล เอาใจใส่ในทุก ๆ detail ของงาน ไม่ง่ายกับคนที่ติดต่อเข้ามาทุกสารทิศ เพราะ online มันเปิดกว้างมาก 24 hr จนเราต้อง draw the line one the sand เลยว่าจะไม่ทำงานวันอาทิตย์ หลัง ๆ มาลูกค้าก็เริ่มให้ความร่วมมือละ ไม่มี inbox ไม่มี LINE เข้ามา มือถือไม่ต้องพูดถึงจ๊ะ เราไม่เปิดมือถือเสาร์ อาทิตย์อยู่แล้ว เพราะเราอยู่กับลูก ๆ และภรรยา เราไม่ต้องการ distraction โลกจะถล่ม ฟ้าจะทะลายก็เรื่องของโลกและฟ้า แต่ว่าเวลาของครอบครัวก็คือเวลาของครอบครัว ก็แค่นั้นเอง พอคนโทรไม่ติดเสาร์ อาทิตย์ เขาก็เลิกโทรเอง เราต้องจัดลำดับความสำคัญของชีวิตของเราเอง ทุกก้าวเดินของชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลยจ๊ะ คนใกล้ ๆ ตัวเราจะรู้ว่าเราอึดมาก ผ่านอะไรมาบ้างกับชีวิตนี้ ภายนอกอาจจะดูสบาย ทุกคนจะชอบมองเห็นเฉพาะตอนที่เราอยู่บนที่สูง ณ วันที่เราไต่เต้าขึ้นไป ทางมันชันมากนะ ไม่ง่ายเลย ณ ตอนนี้ที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างลงตัว แต่งานเราก็เยอะนะ งานล้นมือ อะไรที่มัน "ล้น" หนะ มันไม่ดีสักอย่างหรอก ชีวิตมันต้องไม่หย่อนมากเกินไป ไม่ตึงมากจนเกินไป งานเยอะ เงินเยอะ แต่เราก็เอา "พลังชีวิต" ของเราเข้าไปแลกนะ สุดท้ายมันจะคุ้มหรือเปล่า เราก็ต้องคิดให้ดี ๆ บางทีเมื่อเราพอแล้ว เรากินอิ่มแล้ว เราก็ต้องหยุดหรือชะลอความเร็วลงหน่อยก็ได้ จะวิ่งเป็นรถ hi speed car อยู่ตลอดมันก็คงไม่ไหว เดี๋ยวเครื่องมันก็คงจะสึกหรอ ในวันที่ครอบครัวเรามีพอแล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ต้องมีบ้านหลังใหญ่ ไม่ต้องขับรถหรู ไม่ใช้ของ brandname และคนรอบ ๆ ข้าง ไม่ว่าจะฝั่งทางพ่อ หรือฝั่งทางแม่ ถ้าหากเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว อย่างเต็มที่ อย่างสมบูรณ์ จริง ๆ แล้วหน้าที่ทางโลกที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพของเราก็คงไม่มีอะไรมากแล้ว ทุกอย่างเราวาง plan ไว้หมดแล้วสำหรับพวกเราและลูก ๆ ดังนั้นชีวิตที่เหลือก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงมาก เสร็จแล้วเราก็จะมีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นได้ เราก็ plan เอาไว้แล้วว่า May ที่ผ่านมา ต้องทำอะไรบ้าง June ทำอะไรบ้าง และ Jul ต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างมี milestone ของมัน โดยเฉพาะ 01 Jul 2020 สำหรับเรา มันเป็น milestone สำคัญเลยแหละที่เราตั้งใจเอาไว้ วันนี้เราหยุดแล้ว แล้วท่านหละ หยุดหรือยัง |
AuthorJohn Paopeng Archives
August 2023
Categories |