จะมีพี่คนไทยใน Wollongong ไม่กี่คนที่เรียกเราว่า "หนู"
น่าจะมีอยู่ 3 คนนะ พี่เค๊าก็เห็นเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ และก็น่าจะมีพี่คนไทยใน Wollongong แค่ 2 คนนะที่เวลาแกมีกับข้าวอะไรก็จะส่งข้อความหรือโทรมาบอก ให้พวกเราแวะไปเอากับข้าวที่บ้านแก บ้านพวกเราไม่ไกลกัน แต่ก็จะมีพี่คนไทยแค่คนเดียว ที่เราแวะไปมาหาสู่กันแทบทุก week และเป็นคนไทยใน Wollongong คนเดียวที่เราเข้าไปในบ้าน เข้าไปในครัว ทำโน่น ทำนี่ที่บ้านแก ไปนั่งดื่มชากาแฟที่บ้านแก มีคนเดียวใน Wollongong จริง ๆ (พี่อีกคน เวลาเราไปเอาอาหาร เราก็เจอกันที่หน้าบ้าน เราไม่เคยละลาบละล้วง) บางที small gesture อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ของใครบางคน มันก็มีค่าสำหรับใครบางคนที่เป็นผู้รับนะ พี่เขาเป็นแม่บ้าน มีเวลาในการทำกับข้าวนั่น นี่ โน่น ส่วนเรา 2 คนกับภรรยาก็ต้องทำงาน ทำมาหากิน บอกตามตรงว่าเราไม่อยากปวดหัวเรื่องกับข้าวกับปลา ภรรยาเราจะทำกินกันเองง่าย ๆ พยายามไม่ซื้ออะไรกินนอกบ้าน เพราะเราไม่รู้เลยว่าในครัวของร้านอาหารแต่ละร้านเป็นไงมั่ง และใส่อะไรลงไปในอาหารบ้าง อันนี้คือเหตุผลหลัก ๆ ของครอบครัวที่ไม่ค่อยทานข้าวนอกบ้าน ถ้าไม่จำเป็น การที่ใคร someone ทำกับข้าวเผื่อครอบครัวเราด้วย มันทุ่นแรงทุ่นเวลาพวกเรานะ ต่อให้อาหารบางอย่างภรรยาเราอาจจะไม่กิน เพราะอาหารไทยบางทีก็รสจัดไปสำหรับเขา แต่อย่างน้อยภรรยาเราก็แค่ดูแลเรื่องอาหารของเขาเอง และอาหารของลูก ไม่ต้องมา worry เรื่องอาหารของเรา เพราะเรากินอะไรก็ได้ที่มี ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเน้นอาหารไร้แป้ง ไร้น้ำตาลก็ตามเถอะ แต่ถ้ามีคนทำอะไรมาให้ เราก็ไม่เคยปฏิเสธ วันนั้นมื้อนั้นก็ตัดปัญหาเรื่องอาหารของเราออกไป ภรรยาของเราก็จัดการแค่ของเขาเองและก็ของลูก ชีวิตพวกเราก็อยู่กันแบบนี้ ง่าย ๆ การที่ใคร someone บอกเราว่า "หนู... มาเอากับข้าว" มันอาจจะเป็น small gesture เป็นการกระทำของใครเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันก็ทุ่นแรงเราได้เยอะ พี่โทรมาวันพุธเช้า พอดีแกต้องทำอาหารไปวัด วันพุธเช้า แกก็เลยทำเผื่อเราด้วยถาดหนึ่ง ถาดใหญ่มากกกกกกกก อาหารถาดนั้น สำหรับเราก็ทานได้ 3 มื้อคือ พุธเที่ยง พุธ dinner และ พฤหัสเที่ยง เราไม่ทานข้าวเช้า เราทำ fasting (IF; Intermittent Fasting) สำหรับเรา มันทุ่นแรงไปได้เยอะ ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่มันทุ่นเวลา เราจะได้เอาเวลาเราไปคิดไปทำอะไรอย่างอื่น ไม่ต้องคิดว่าวันนี้จะสั่งอาหาร takeaway ร้านไหน หรือเย็นนี้ภรรยาเราจะ cook อะไรกิน บางคนก็อาจจะบอกว่า "อะไรนะ มันเป็นปัญหาใหญ่มากเลยเหรอ" อ๋อ จริง ๆ ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่เรารู้สึกว่า "มันเสียเวลา" (กราบขอโทษทุกคนที่ชอบเข้าครัวหรือชอบทำกับข้าว) เพราะทั้งเราและภรรยาก็ต้องทำงาน แค่ทำงานก็เหนื่อยกันแล้ว ภรรยาเราก็ช่วยทำงานของ "J Migration Team" ครับ เราก็แค่อยากจะเอาเวลาของเราไปทำอะไรอย่างอื่นแค่นั้นเอง ส่วนใครที่มีความสุขในการทำกับข้าวก็ทำไป ที่เขียนมาทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่า: - small gesture ของใคร somone มันสามารถเปลี่ยนโลกของใครอีกคนได้ทั้งใบนะครับ ลองทำอะไรเล็ก ๆ น้อยให้กับคนอื่นดู - เรารู้สึกโชคดีที่อยู่ใน "หมู่มวลมิตร" ที่ดี มี "inner circle" ที่ค่อนข้างเล็กแต่มีความสุขมาก ขอให้ทุกคนหา "หมู่มวลมิตร" ที่ดีของตัวเองให้เจอนะครับ ขอให้ทุกคนมี "inner circle" ที่น่ารัก ที่ดูแลห่วงใยกันจริง ๆ นะครับ แบบไม่หวังผลอะไรต่อกัน และสุดท้าย และท้ายที่สุด อย่าลืมทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง small gesture อะไรยังไงก็ได้ มันสามารถเปลี่ยนโลกของใครบางคนได้ ตึกที่เราพักอยู่ทุกวันนี้ เราอยู่ 1st floor
มองไปลงข้างล่างตึกข้าง ๆ ตรง ground floor หน้าต่างครัวของตึกเรา ก็จะตรงกันกับประตูเข้าบ้านและหน้าต่างตรง living room ของตึกข้าง ๆ พอดี ตรง ground floor มีหลายครั้งที่คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวพาลูกน้อยออกมานั่งเล่น ลูกสาวตัวเล็ก ๆ น่าจะเพิ่ง 2-3 ขวบเอง ยังเล็กมาก เมื่อคุณพ่อ ต้องเล่นกับลูกน้อย ลูกสาว มันก็มีความน่านัก กระน๊องกระแน๊งตามประสาพ่อกับลูก ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คุณพ่อคงเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน เพราะน้ำเสียงไม่ค่อยมี energy เท่าไหร่ แต่เสียงลูกน้อยก็เจื้อยแจ้วมาก เสียงลูกน้อยท่าทางมีความสุข เล่นอะไรกับคุณพ่อก็ไม่รู้ มันก็มีความน่ารักของพ่อลูกที่มีให้ต่อกัน ชีวิตคนเรา ชีวิตครอบครัว มันไม่ง่ายเลยน๊อ มันคงไม่ง่ายที่ใครหลาย ๆ คนกลายเป็น single parent ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว หรือบางคนก็อาจจะ share custody บ้านหลังแรกที่เราซื้อที่ WA คนเช่าก็เป็นผู้ชาย แยกกันกับคนรักเก่า ก็ share custody กัน บ้างหลังที่สองที่ WA ที่เราปล่อยเช่า คนเช่าก็เป็นผู้ชาย แยกกันกับคนรักเก่า ก็ share custody กัน ...เฮ้อ... ไม่ง่ายเลยนะชีวิต ช่วง Nov-Dec-Jan เป็นช่วง 3 เดือนที่เราอยากจะพัก
พักในที่นี้คือทำงานตลอด แค่รับงานน้อยลง และก็พยายาม clear case ต่าง ๆ ที่อยู่ในมือ และช่วงนั้นมันก็รู้สึกผิดหวังอะไรหลาย ๆ อย่างจากการ treatment ที่เราได้รับจากลูกค้า เราก็เลยปัดตกหลาย ๆ case ที่ติดต่อเข้ามาช่วงนั้น รับงานน้อยลง ก็ OK แหละเราได้พักสมอง แต่เราก็ไม่ลืมว่าเราก็มีน้อง ๆ ทีมงานที่ต้องดูแล หลาย ๆ คนอู่ข้าวอู่น้ำเขาอยู่กับเรา เราก็ยังคงรับงานอยู่ แต่ก็รับน้อย และก็ช่วงนั้นก็ busy กับการซื้อบ้านด้วย และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง Feb ก็ยังปัดตกไปหลาย ๆ case เลือกที่จะไม่ส่ง invoice ไปให้ลูกค้า เมื่อไหร่ที่ลูกค้าได้รับ invoice และจ่าย invoice มา ท่าทีของลูกค้าก็จะเปลี่ยนไปทันที ลูกค้าไม่ผิด เราเองที่ผิด ที่ส่ง invoice ไปให้เขา ทั้ง ๆ ที่เราตอนนั้นมือก็ล้นมาก อย่าทำ!!!! เราไม่ใช่ Superman... เดี๋ยวเดือนหน้า; Mar ก็คงต้อง step up และ speed up กับหลาย ๆ case กับการรับงาน ทีมงานเราต้องไปต่อ ตัวเรายังไงก็ได้ ถ้าไม่มีทีมงาน เรารับ case กระหยุมกระหยิมของเราก็ได้ อยู่แบบพอเพียงก็ไม่เป็นอะไร รายได้จากที่อื่นเราก็พอมี แต่นั่นแหละ มันคือการเปิดโอกาสให้กับน้อง ๆ ให้กับทีมงานหลาย ๆ คน ฟังแล้วดูดี แต่เราคิดของเราแบบนี้จริง ๆ "โอกาส" เราต้องส่งต่อให้กับเด็กรุ่นใหม่ ๆ ให้กับ "inner-circle" ของเรา ลูกศิษย์เราบางคนมาช่วยงานเราตั้งแต่จบ year 12 บอกได้เลยว่าเขาจบ ป.ตรีได้เพราะเรา เพราะเขาไม่ขอเงินจากคุณพ่อคุณแม่เขาเลย และไม่ได้ขอเงิน Centrelink ทุก ๆ ครอบครัวของลูกศิษย์ เรารู้จักผู้ปกครองหมด และค่อนข้างสนิทกับผู้ปกครองเพราะหลาย ๆ คนเราก็สอน 5 ปีรวด เจอผู้ปกครองทุก ๆ 2 เทอม คุณพ่อคุณแม่ของลูกศิษย์ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึก appreciate กับสิ่งที่เราให้กับลูกของเขา จบ year 12 เรียนมหาลัย แล้วดึงมาทำงานกับเรา (รับงานเป็น case ๆ ไป) เรามีทีมงานที่เป็นฝรั่ง 5 คน เป็นลูกศิษย์เราหมดเลย เราเลือกเอามาเฉพาะลูกศิษย์จาก top class เท่านั้น เด็กเรียนเท่านั้น ทุกคนต้อง straight A ลูกค้าเราหลาย ๆ คนคงได้สัมผัสกับพวกเขาผ่านทาง email บอกได้เลยว่าทุกคนเราฝึกเองมากับมือ anyway... ออกนอกเรื่องเยอะ Nov-Dec-Jan; case อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ Feb เดี๋ยวค่อย ๆ ไต่เต้า Mar ต้อง speed up & step up แล้วเจอกันจ๊ะ.... "J Migration Team 2023" |
AuthorJohn Paopeng Archives
February 2023
Categories |