เช้านี้ฝนตกที่ Wollongong
บรรยากาศเฉอะแฉะ แต่เราก็ไม่ได้ออกไปใหนอยู่แล้ววันนี้ เราก็คงจะนั่ง clear งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราไป เพราะพรุ่งนี้เราจะไป Jervis Bay กัน 3 วัน โดยส่วนตัวแล้วเราก็ไม่ชอบฝนตกแหละนะ แต่เราก็คิดว่าฝนตกวันนี้ ดีกว่าตกเมื่อวาน เพราะเมื่อวานพระอาจารย์ออกมาบิณฑบาตที่ Wollongong ถ้าฝนตกเนี๊ยะ แย่เลย แต่เราก็คิดว่า เออ ตกก็ดีเหมือนกัน เพราะพวก farmer อยู่ที่ใน in land จะได้มีน้ำใช้ในการดำรงชีวิตและทำธุรกิจของพวกเขาต่อไป เรามีลูกศิษย์หลายคน ที่ครอบครัวมีธุรกิจหลักเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงวัวเนื้อส่งขายโรงฆ่าสัตว์ มีที่ดินเป็นหลายร้อย acre เราเคยพูดเล่น ๆ กับลูกศิษย์อยู่เลยว่า "บอกพ่อเธอให้ขายให้ฉันหน่อยสิ เอาเล็ก ๆ พอให้ฉันมาสร้างบ้านพักเวลามาเที่ยว" เมื่อวานเรากลับมาจากที่วัด เราก็นั่งทำงานต่อทั้งวันจนดึก เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมา เรามีกิจกรรมในการเดินทางเยอะเหลือเกิน นั่นก็คือการเดินทางไปทำงาน face-to-face ที่ Sydney ของ J Migration Team อย่างที่ทุกคนเห็นตามหน้า page หรือใน blog นี้ เมื่อวานเราก็เลยต้องนั่งปั่นงานจนค่ำมืด แต่เราก็มีความสุขในการทำงาน นี่ก็ถือว่าเป็น bonus ไป เพราะเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบและถนัด เดี๋ยววันนี้เราก็นั่ง tidy up พวก loose end ของ case ต่าง ๆ ที่มันคั่งค้างอยู่ งานจะได้เสร็จ ๆ ไป หลาย ๆ case ลูกทีมก็รอเรา check งาน พวกเขาจะได้ move on ไปทำ case ต่อ ๆ ไปด้วย ที่ Wollongong ช่วงนี้ พระอาจารย์จากวัดป่าโพธิศรัทธาจาก Wilton จะออกมาบิณฑบาตไม่เสาร์แรกของเดือน ก็จะเป็นเสาร์ที่ 2 ของเดือน เราก็โชคดีหน่อย ได้มีโอกาสได้ไปช่วยหยิบ จับ นั่น นี่ โน่น ถึงแม้ว่าเราจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องงานมากน้อยแค่ไหน ถ้าใจมันอยากจะทำ คนเรามันต้องสรรหาเวลาได้ ถ้าเราคิดว่าสิ่ง ๆ นั้นสำคัญกับเรามากพอ เราคิดว่าสิ่ง ๆ นี้สำคัญกับเรา คนเราเมื่อเราดำเนินชีวิตมาถึงจุด ๆ หนึ่ง เมื่อเรามีวัยวุฒิจุด ๆ หนึ่ง เรารู้ว่าเป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร เรารู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต ดังนั้นการตัดสินใจทำอะไรแต่ละอย่าง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุและผลอยู่ในตัว หากสิ่งที่เราไปแล้วมีความสุข เราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เราทำไปเถอะ และสิ่งที่เราทำ มันก็เหมือนว่าเราได้รับใช้สังคม รับใช้ศาสนา ไอ้เรื่องการได้บุญหรือเปล่านั้นหนะ เราไม่ได้คิดถึงจุดนั้นแล้ว ชีวิตมันเลยจุดนั้นมาแล้ว เราไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น เราไม่ได้คาดหวังอะไรทั้งสิ้นจากสิ่งที่เราทำ เรารู้แต่ว่า ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามทางของมันเอง ก็แค่นั้น จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ก็แค่ช่วยถ่ายเทบาตรของพระอาจารย์ตอนที่คนนำอาหารหรือของแห้งมาถวายเยอะ ๆ ก็แค่นั้นเอง มันก็เป็นอะไรที่สนุกสำหรับเรา เพราะเป็นอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อน หลังจากที่เราช่วยพระอาจารย์ช่วงที่ท่านเดินบิณฑบาต เราก็ไปช่วยต่อที่วัด ช่วยจัดเรียงอาหารและเสบียงของแห้ง ของคาว อะไรก็ว่าไป จริง ๆ แล้วชีวิตคนเรามันก็ดีนะที่เราได้ทำอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ บ้าง ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง ไม่ใช่มัวแต่ทำงานหาเงินอะไรอย่างเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็เหมือนว่าชีวิตนี้ไม่ค่อยมีความหมายอะไร ยังไง เท่าไหร่ วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มนิดหนึง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝนจะตกหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือออกก้อย แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็จะขอไป ไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย แต่ก็ทำให้เรามีความสุขได้ ความสุขเริ่มจากที่ใจจ๊ะ ความสุขในชีวิตของคนเรา ไม่ต้องไปซื้อมาด้วยเงินทองก็ได้ เราก็ขอให้มันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดีสำหรับทุก ๆ คนนะครับ ดูแลรักษากาย รักษาใจ บอกรักคนรอบข้าง พระวัดป่า พระวัดสายปฏิบัติ ท่านจะไม่จับเงินสดหรือปัจจัยนะครับ
กับการทำงานของเรา เราต้องเจอคนแทบทุกรูปแบบ
ทุกคนเป็นอะไร ยังไง เราไม่เคยตำหนิหรือ judge ใครทั้งสิ้น ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของใครมัน การทำงานของเรา เราต้องเจอคนเยอะ ไม่ว่าจะที่ office ไหน ๆ การเดินทางของเรา เราต้องมาถึงให้ก่อนเวลาเสมอ ดังนั้นการที่เราเป็นคนแต่เช้าเนี๊ยะ ช่วยได้เยอะเลย อย่างเช่นถ้าเราจะไปทำงานที่ Brisbane office หรือ Melbourne office เราก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 - ตี 3 ครึ่ง เพื่อที่จะได้ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า และให้ทันเที่ยวบินเที่ยวแรกเลยอะไรประมาณนี้ ถ้าเรามาถึง office ก่อน เราก็นั่งทำงานของเราไปเรื่อย ๆ เพราะงานหนะมันมีตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว และเราทำงานที่ Sydney office ก็เหมือนกัน เราก็ต้องออกจากบ้าน 6am เป๊ะ สายกว่านั้นไม่ได้ เพราะถ้าหลัง 6am รถจะเยอะมาก highway ก็ highway เถอะ ไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย ก็โชคดีที่เราเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ช่วงนี้ปรกติก็ตื่นตี 4- ตี 4 ครึ่งอยู่แล้ว ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกอยู่แล้ว นาฬิกาปลุกตั้งเอาไว้ 4:50am มันก็อาจจะมีบ้างเป็นบางทีที่เรานัดกับลูกค้าเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะช่วงที่เราทำ face-to-face consultation นี้ เราทำแบบ back-to-back เลย คือคนต่อคน ทุก ๆ 1 ชั่วโมง ที่ลูกค้ามาสาย บอกว่ารถติด นั่น นี่ โน่น เอ่อ.... ก็ใช่สิจ๊ะเธอ ในเมืองรถมันก็ต้องติดป๊ะ แล้วหาที่จอดรถยากอีก public transportation ก็มี ทำไมไม่ใช้ หรือออกจากบ้านให้เร็วกว่านี้ เพราะเราเองเราก็ไม่ได้ขับรถเข้า Sydney เพราะไม่เชื่อใจ traffic ในเมืองจ๊ะ เราจะขับมาแค่ถึง Sutherland แล้วก็นั่งรถไฟเข้ามาอีก 30 นาที ง่ายดีออก เพราะ office เราอยู่ชั้นบนของ TownHall Station จ๊ะ แสนจะสะดวกสบาย ทำไมต้องขับรถเข้ามาด้วยหละ แต่ก็นั่นแหละ แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เราก็แค่คิดว่า ถ้าเขาคิดได้เหมือนเรา เขาก็คงเป็นแบบเราแล้วสิ บางที สมการชีวิตง่าย ๆ แต่คนเลือกที่ให้ทำให้มันยาก เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่เราก็พยายามมองโลกในแง่ดี มองทุกคนด้วยความเมตตา ก็เพราะเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาถึงมาหาเรา เขาก็คงมีเหตุผลของเขา ทุกวันนี้มันไม่ค่อยมีอะไรมาทำให้เราโกรธได้ง่าย ๆ เหมือนเราปลง ๆ และปล่อยวางได้แล้วเป็นบางส่วน อะไรต่อมิอะไรมันก็เลยดูสวยงามไปหมด โลกนี้สวยงามเสมอ ถ้าจิตใจเราสวยงาม โลกสวยหรือเปล่า ก็แล้วแต่คนจะคิด ทุกวันนี้เราก็สามารถมีความสุขได้กับทุกสถานการณ์ ลูกค้ามาหาเราช้า มาหาเรา late ก็ไม่เป็นไร เขาก็เหลือเวลาในการปรึกษาน้อยลง ก็แค่นั้นเอง ในระหว่างที่รอ เราก็ทำงานอะไรก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ของเราต่อไป สถานการณ์ทุกสถานการณ์ถ้าเราให้มันเป็นบวกได้ ไม่ใช่แค่ "คิดบวก" เฉย ๆ ชีวิตเราก็จะมีความสุขจ๊ะ แต่ก็เอาเป็นว่า ไม่มาสายแหละดีที่สุด เพราะการมาไม่ตรงต่อเวลา มันส่อถึงอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเรา รถติดหรือรถไม่ติด มันก็มีมาแบบนี้ของมันตั้งนานแล้ว เราเองต่างหากและที่จะต้อง work around it และปรกติพอเขาอธิบายเหตุผลของการมาสาย เราก็เข้าใจและใจอ่อนเสมอ มันไม่ใช่การมาสายของเด็ก ๆ สมัยเราเรียนมหาลัยอีกต่อไป (เคยรำคาญเพื่อนตอนที่เขามาสาย) แบบนั้นมันเด็ก ๆ แต่ตอนนี้เราโตแล้ว เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว เราเริ่มมองโลกอีกมุมมองแบบหนึ่ง มุมมองที่เต็มไปด้วยความเมตตา เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เมื่อวันที่เราปล่อยได้ เมื่อวันที่เราวางได้ มันก็จะไม่หนักอีกต่อไป มันก็เบาและสบาย แต่เราก็ยังชื่อเรื่องของการตรงต่อเวลาอยู่ดี คนที่เขาประสบความเร็จในชีวิตได้ นอกจากฉลาด ทำงานหนัก แล้ว เราคิดว่าอีกหนึ่งคุณสมบัติที่พวกเขาเหล่านั้นมีกันก็คือ "การตรงต่อเวลา" เมื่อวานเราก็เขียน blog ไป เรื่องอิด ๆ ออด ๆ ในการเดินทางไปทำงานที่ Sydney office แต่สุดท้ายเราก็คิดว่าเราคิดถูกแหละที่ไปทำงานที่โน่น เหนื่อยหน่อย แต่ก็คุ้มค่าทางจิตใจ เรื่องการเงินไม่ต้องพูดถึง คือมันไม่คุ้มแน่นอน แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ถือสะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน การเดินสาย และที่แน่ ๆ คือการได้รับคำขอบคุณ และ message อะไรต่าง ๆ หลังจากที่ลูกค้าได้เจอเรา หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสไปทานข้าวกับน้องคนไทย 2 คนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ปรกติแล้วเราจะไม่ค่อยมีเวลาไปนานข้าว อะไร กับใคร เพราะทำงานเสร็จ เราก็อยากจะกลับบ้าน หรือถ้าจะทานข้าว โดยส่วนตัวแล้วเราชอบทานข้าวคนเดียว เพราะเป็นคนมีเวลาจำกัด คือทุกวินาทีมีค่าหนะจ๊ะ ไม่ได้ว่างมานั่งเมาส์มอยเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อวานเราก็เลือกที่จะทานข้าวกับน้องคนไทย มันเป็นการเปิดโอกาสให้กับตัวเอง เปิดโอกาสให้กับคนอื่นด้วย เพราะหลาย ๆ คนมองว่าเราเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก ถ้าไม่คุยกันเรื่องงานก็จะเจอเราได้ยากหนะ ก็เรา busy หนะเธอ เพราะทุกวินาทีคือการทำงาน และถ้าไ่ม่รู้จักกันจริง ๆ เราจะไม่ไปนั่งทานข้าวกับใครเป็นเด็ดขาด เราไม่ได้ต้องการเพื่อน เพื่อนที่มีอยู่ทุกวันนี้ ดีอยู่แล้ว Quality over Quantity จ๊ะ คุณภาพมาก่อนปริมาณ และที่สำคัญที่สุดเราชอบที่จะอยู่กับตัวเอง หรือครอบครัวเรามากกว่า แต่บรรยากาศเมื่อวาน มันก็เป็นอะไรที่ relax ยิงกระสุนนัดเดียวได้เป็ด 2 ตัว คือ ได้ไปทานข้าวกับน้องคนไทย และเราก็ไปทานข้าวร้านที่เจ้าของร้านเขาชวนเราหลายรอบแล้ว ไหน ๆ ก็มา Sydney แล้วก็เลยแวะสะหน่อย มันก็เป็นการทานข้าวที่นานแหละน๊อ 2 ชั่วโมง นี่เกินมาตรฐานการทานข้าวของเรามาก ปรกติทานไม่เกิน 30 นาทีจ๊ะ เพราะชีวิตนี้เรามีอะไรที่จะต้องทำเยอะแยะ วันนี้เราก็คงต้องลุยงานต่อ เพราะเมื่อวานไม่ได้นั่งทำ case อะไรเลย และก็ต้อง check งานกับทีมงาน นั่น นี่ โน่น อีก แต่เราไม่เคยบ่นจ๊ะ กับงานที่ทำ เราสามารถทำได้ตลอดเวลา 7 วันก็ได้ ไม่มีปัญหา บอกแล้วไง ถ้าเรารักในสิ่งที่ทำ และทำให้สิ่งที่รัก ทุก ๆ วันคือ holiday จ๊ะ เราก็ขอให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดีสำหรับทุก ๆ คนนะครับ บอกรักคนรอบข้าง ขอบคุณทุก ๆ คนรอบข้าง ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราก็ตามแต่ ขอบคุณกับทุกสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิต เพราะนั่นมันคือประสบการณ์และการเรียนรู้ วันนี้เราก็ต้องเข้าไปทำงานที่ Sydney office
เมื่อวานเราก็แอบถามตัวเองอยู่ว่า ทำไมเราจะต้องเข้าไปทำงานที่ซิดนีย์ด้วยนะ เพราะจริง ๆ แล้วเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำงานที่ซิดนีย์ก็ได้ ทุกวันนี้งานที่เราทำก็มีเยอะล้นมืออยู่แล้ว ทุกวันนี้ลูกค้าก็มาจากแทบทุกสารทิศอยู่แล้ว เรามีความสุขดี เราไม่ได้เดือดร้อนหรือดิ้นรนอะไรมากมาย นั่นไม่ได้หมายความว่า เรา “รวย” ล้นฟ้า แต่เปล่าเลย เราก็แค่มีพอกินพอใช้ พอกินพออยู่ เราก็ยังหาเช้า กินค่ำของเราไปตามปรกติของเรา เพียงแต่เราไม่มีหนี้สิ้นอะไร ก็แค่นั้นเอง รายจ่ายเราไม่ค่อยเยอะ เราไม่ได้เป็นคนฟุ่มเฟือยอะไร เราไม่ได้หลอกตัวเองด้วยการใช้สินค้าแพง ๆ เพราะสิ่งของเหล่านั้น มันเป็นแค่วัตถุภายนอก เพราะสุดท้ายแล้ว ความสุขที่แท้จริงมันต้องมาจากข้างใน คนเราจะดูแพง เราต้องแพงมาจากข้างใน ไม่ใช่แค่วัตถุภายนอก จริง ๆ ต่อให้เราทำงานอยู่ที่ Wollongong office, เราก็มีลูกค้าเดินทางมาหาเราเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว แต่การที่เราตัดสินใจไปทำงานที่ Sydney office อาทิตย์นี้ ก็แค่อยากจะทำให้ชีวิตของลูกค้าหลาย ๆ คน สบายขึ้น ไม่ต้องเดินทาง ก็แค่นั้นเอง แต่ในขณะเดียวกัน เราก็อดที่จะแอบถามตัวเองไม่ได้ว่า การทำแบบนี้ มันเป็นการ “เบียดเบียนตัวเอง” หรือเปล่านะ เพราะการที่เราต้องเดินทาง แล้วต้องมานั่งคุยกับลูกค้าตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็น กับการที่ต้องมานั่งใช้เสียง ต้องพูด เพราะถึง 5 โมงเย็นเนี่ย คือมันหมดแรงเลย เราไม่อยากพูดอะไรกับใครอีก เสียงมันแหบไปหมด เพราะเราใช้เสียงเยอะ และการที่เราต้องมานั่งคุยกับลูกค้าตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็น นั่นก็หมายความว่า “เราไม่ได้นั่งทำ case” เพราะจริง ๆ แล้วการนั่งทำ case ของเรา เราได้ตังค์เยอะกว่ามาก เยอะกว่าที่จะต้องมานั่งคุยกับลูกค้าต่อชั่วโมง แต่เราก็เลือกที่จะทำแล้ว อาทิตย์นี้เราเข้ามาทำงานที่ซิดนีย์ 2 วันด้วยนะ คือวันนี้และก็วันศุกร์ เราได้ make commitment ไปแล้ว ชีวิตมันต้องเดินต่อไปข้างหน้า มันถอยไม่ได้ เราก็ได้แค่บอกกับตัวเองว่า วันไหนที่ไม่ต้องเดินทาง ก็ต้องนั่งเร่งทำ case ของเราต่อไปก็แล้วกัน ลูกค้าที่เข้ามาเจอเราแบบ face-to-face เขาจะรู้หรือเปล่านะ ว่าจริง ๆ แล้วเราเสียสละมากน้อยแค่ไหนเพื่อที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้กับเขา แต่ก็เอาเถอะ ถึงแม้จะไม่มีคนรู้ แต่ “เรา” รู้ แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนเวลาที่ต้องใช้ไปในการเดินทาง เราก็ฟัง Audio Book ไป อ่านหนังสือของเราไปก็แล้วกัน เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลา และก็จะได้ใช้เวลาในการเดินทางให้เป็นประโยชน์ เวลาทุกวินาทีมีค่า อย่าปล่อยให้เสียทิ้งไปโดยเปล่า วันนึงมี 86,4000 วินาที เราต้องใช้ทุกวินาทีให้มีค่า เราก็ได้แต่บอกกับตัวเองอย่างนั้น แล้วก็เดินหน้าลุยต่อ ทำงานของเราต่อไป ในฐานะที่เราเองก็เป็นเจ้าของธุรกิจ มันก็มีบ้างที่เราไปติดตามพวก facebook page ของหลาย ๆ คนที่ content เขาเกี่ยวกับพวกการทำธุรกิจ การตลาด หรืออะไรก็ว่าไป
มันก็มีบ้างเป็นบางที ที่พวกคนที่อยู่ในสังคม online พวกนี้พูดถึงเรื่องการตลาด "Blue Ocean" เราก็สงสัยว่าสรุปแล้ว พวกนี้ที่เขา ๆ พูดกันเนี๊ยะ เขารู้จริงหรือเปล่าว่า Blue Ocean คืออะไร เขาได้อ่านหนังสือ Blue Ocean จริงมั้ย หรือแค่จำ ๆ มาจากคนอื่น เพราะเท่าที่เราสังเกตุดู เราจะเห็นว่าคนที่พูดเรื่อง Blue Ocean อะไรประมาณนี้ จะเป็นเพื่อน ๆ กัน อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน พวกเขาจะพูดถึงกันและกันบ่อย ๆ เพราะหนังสือ Blue Ocean เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ เราก็ไม่แน่ใจว่าได้มีการแปลเป็นภาษาไทยหรือเปล่า หนังสือเล่มนี้ เราอ่านแล้ว นานมากแล้ว ตอนที่เราทำธุรกิจร้านอาหารใหม่ ๆ เราคิดว่าเราอ่านหนังสือเล่มนี้เกิน 10 ปีแล้ว ตอนที่เราซื้อหนังสือ Blue Ocean Strategy มาอ่าน เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ตอนนั้นเรายังเด็กนัก ไม่ค่อยรู้เรื่องการทำธุรกิจอะไรหรอก ก็เราเป็นเด็ก nerd เป็นเด็กเรียน รู้แต่เรื่องคอมพิวเตอร์ จาก programmer มาเป็นเจ้าของธุรกิจนี่นะ มันก็จะงง ๆ อยู่นิดหนึง เรารู้แค่ว่า เราไม่อยากเป็นลูกจ้างใครก็แค่นั้นเอง น่าเสียดายที่เราไม่ได้เก็บหนังสือดี ๆ เหล่านี้เอาไว้ เพราะแต่ก่อนทุกครั้งที่มีการย้ายบ้าน มันต้องมีการ pack และ unpack ซึ่งเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก หลังจากนั้นเราก็เลยเลิกสะสมของอะไรทั้งสิ้น ก็เลยขายหนังสือพวกนี้ที่ ebay หมดเลย แต่เริ่มปีนี้แหละ เริ่มสะสมหนังสืออีกแล้ว เพราะบ้านที่เราจะซื้อต่อไป ที่เราจะไปอยู่ เราจะมี library เป็นของตัวเองด้วย (คิดว่านะ) ปรกติเราเป็นคนอ่านหนังสือเยอะอยู่แล้ว ไม่ว่าจะตอนที่ทำงานในบริษัทเราก็อ่านหนังสือทุกเช้าในรถไฟตอนที่กำลังไปทำงานทุกเช้าอยู่แล้ว พอมาทำธุรกิจของตัวเอง ช่วงที่ร้านไม่ยุ่ง เราก็นั่งอ่านหนังสือ อะไรทำนองนี้ แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนเมื่อเราเริ่มทำงานของ J Migration Team และทำงานสอน เวลาในการอ่านหนังสือไม่มี แต่ทุกอย่างก็กำลังจะเปลี่ยนไปเพราะเราตั้งใจเอาไว้แล้วว่าปี 2018 จะเป็นปีแห่งการอ่าน การเรียนรู้ ก็กำลังจะดูว่าปีนี้เราจะอ่าน จะฟัง audiobook ได้ทั้งหมดกี่เล่ม เอ๊ะ เราเขียนจากหนังสือ Blue Ocean มาถึงเรื่องนี้ได้ยังไงเนี๊ยะ เอาเถอะ เอาเป็นว่า เราเป็นคนชอบเขียนก็แล้วกัน เปล่าหรอกก็แค่อยากจะบอกว่า หลาย ๆ คนที่ออกมา LIVE ออกมาแบ่งปัน ออกมาขายของ คือเราอยากให้เขารู้จริง รู้จริง ๆ จากการปฏิบัติ รู้จริง ๆ จากประสบการณ์ ไม่ใช่รู้เพราะว่าฟังคนอื่นมา ก็แค่นั้นเอง... วันนี้เป็นวันหยุดราชการ
ชีวิตการทำงานของเรา เราไม่มีวันหยุดจ๊ะ วันนี้เราก็ทำงานเหมือนเดิม เหมือนตามปรกติของทุก ๆ วันจันทร์ ถ้าหากเราทำในสิ่งที่ชอบ ชอบในสิ่งที่ทำ ทำไมเราก็ต้องมี public holiday ด้วยหละ ทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ ทุก ๆ วันคือ holiday อยู่แล้ว วันนี้เป็นวันแรกของอะไรหลาย ๆ อย่าง มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ต่อจากนี้ไป ทุกวัน จะเป็นวันที่ดีที่สุด ทุกวันจะเป็นวันที่สดใสที่สุด เรามี project อะไรหลาย ๆ อย่างในใจที่อยากจะทำ ที่ผ่านมาในชีวิต การงาน อะไรหลาย ๆ อย่าง เราทำกันแทบไม่มีเวลาจะหายใจ วันนี้แหละ ตอนนี้แหละ project ทุกอย่างที่อยู่ใน to do list ก็จะได้ทำให้มันเสร็จ ๆ กันเสียที ดับเครื่องชน เดินหน้ากันต่อไป เดิมพันเราสูง ไม่มีคำว่าถอย #จอห์นเผ่าเพ็ง #เพราะฉะนั้น |
AuthorJohn Paopeng Archives
February 2024
Categories |