Facebook เป็นสือ social media ที่มีคนใช้มากที่สุดตอนนี้
สำหรับคนที่ทำการตลาดแบบ content marketing อย่างเรา เราก็ต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลง algorithm ของ facebook อยู่เรื่อย ๆ แน่นอน การเข้าเห็น หรือ reach ของ post ต่าง ๆ ของเราที่ทำกับ "J Migration Team" หรือ page ตัวอื่น ๆ ณ ตอนนี้การเข้าเห็นมันก็ยัง OK อยู่ ขึ้นอยู่กับ content ที่เราปล่อยออกไปแต่ละที แต่สิ่งที่ content marketer ทุกคนควรจะรู้ก็คือ facebook คือบริษัทบริษัทที่ control อะไรทุกอย่างใน facebook และเราก็มาใช้ platform ของเขาฟรี ๆ พอเขามีการเปลี่ยนแปลง algorithm ทีหนึง มันก็มีผลกระทบต่อ post และ content อะไรต่าง ๆ ที่เรา post ไป เพราะ facebook ก็จะมี algorithm ในการคำนวญว่าใครควรจะเห็น post ของเราบ้าง ต่อให้เขา like หรือ follow page เราก็ตาม นอกจากว่าคนที่ follow เราจะกดเป็นแบบ "see first" หรือ "เห็นก่อน" สำหรับ content marketer แล้ว เราก็ไม่ควรที่จะ put the whole eggs in 1 basket เราก็ต้องกระจาย content ของเราไปที่ platform อื่นด้วย ถ้าจะให้ดีที่สุด เราต้อง host content ของเราเอง facebook เปรียบเสมือน "บ้านเช่า" ที่เรามาอยู่ชั่วคราว แต่ website หรือพวก blog post ที่เรา host เอง เปรียบเสมือน "บ้านของเราเอง" เพราะเรา host ของเราเอง เรา control content ของเราเอง สำหรับคนที่ทำธุรกิจอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะ online หรือ offline แล้วใช้สื่อ social media ในการทำการตลาด เราก็ต้องมีการทำ website ของเราเองด้วย และก็ host พวก blog post ของเราต่าง ๆ ด้วย อย่าหวังแค่พึ่ง facebook อย่างเดียว ถ้าเราสร้างฐานแฟนนี่แน่นพอแล้ว เราโยกย้าย content ของเราไปที่ไหน มันก็ง่าย โดยส่วนตัวแล้ว ตอนนี้เราาก็แบ่งเวลาในการทำ podcast ด้วย ไม่ว่าจะเป็นของ "J Migration Team" และก็ podcast เล่น ๆ ส่วนตัว "John Paopeng เพราะฉะนั้น" เพราะมันทำง่ายดี ไม่ต้องจัดแจงเรื่องเสื้อผ้า หน้าผม หรือ background ใครที่สนใจทำพวก content marketing ก็ลอง ๆ ศึกษากันดูนะครับ ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ศึกษา อย่าท้อ เพราะทุกอย่างมันมีจุดเริ่มต้นของมันเสมอ หนังสือพวก content marketing ก็มีขายกันเยอะแยะ ไปลองซื้อมาอ่านดูนะครับ ชีวิตต้องมีการลงทุน ไม่ได้อะไรมาฟรี ๆ ไปยิมส์มาแล้ว ก็ต้องตามด้วย smoothie ที่ healthy นิดหนึง
Liver detox ไม่รู้ detox จริงหรือเปล่านะ คิดเอาเองว่าถ้าเป็นผัก เป็นผลไม้ก็คงจะดีหมดแหละ ล้างตับ ล้างพิษอะไรออกซะหน่อย แต่ตับเราก็ไม่น่าจะมีพิษอะไรมากนะ เพราะก็ทาน clean มาครบ 1 ปีแล้วเต็ม ๆ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่ anyway.... เข้าเรื่องเลย Ingredient: - กล้วย 1 ลูก - avocado 1/2 ลูก - mint 4-5 ใบ (เจออะไรในตู้เย็นก็หยิบ ๆ มาหนะ) - พริกผง 1/4 ช้อนชา - เกลือ หยิบมือเดียว เพื่อเพิ่มรสชาติ (เกลือไม่ healthy จ๊ะ แต่นิดเดียวคงพอได้นะ) - soy milk เอาเยอะ ๆ จะได้ปั่นง่าย ๆ ดื่มสะดวก - black chia seeds 1 ช้อนชาเต็ม ๆ จะได้เพิ่ม Omega 3 กัน เสร็จแล้วก็ปั่นสิจ๊ะ รออะไร รสชาติใช้ได้ครับ :) ตื่นเช้าแล้วได้อะไร
เราเขียน blog นี้โดยที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ 5AM Miracle Morning ที่มีคนส่งมาให้ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็เริ่มตื่นแต่เช้ามาตั้งแต่ต้นปีแล้ว เราก็พอจะเดาออกว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร ทุกวันนี้เราตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ที่ 4:50am เพราะกะว่าตื่นก่อน 5am สัก 10 นาที แล้วจะได้เริ่มทำอะไรเลยตอน 5am เป็นต้นไป มีหลายครั้งมากที่เราตื่นก่อนนาฬิกาปลุก แต่ก็ไม่ได้ post อะไรหน้า page เพราะถ้า post ทุกคนมันก็เบื่อได้ อะไรที่มันเดิม ๆ ซ้ำ ๆ คนอ่านก็คงจะเบื่อ เราเป็นคนเขียนหนะไม่เบื่อหรอก เขียนได้ทุกวันอยู่แล้ว วันก่อน เราตื่น 4:12am เมื่อวานตื่น 4:42am วันนี้ตื่น 4:49am (ก่อนนาฬิกาปลุก 1 นาทีก็ยังดี จริง ๆ รู้สึกตัวตั้งแต่ 4:30am แล้วก็นอนต่อ บิดตัวไปมา เพราะเมื่อคืนเราก็แอบนอนดึกกว่าปรกตินิดหนึง เพราะต้อง email หาลูกค้า และจัดการพวกงานเอกสารอะไรบางอย่าง) หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าเราทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ ก็เอาเป็นว่างานเราเยอะ กิจกรรมส่วนตัวของเราก็เยอะ อย่างเช่นวินัยในการอ่านหนังสือ การเขียน blog การเขียน journal การสร้าง content ของ website และ facebook page ด้วย และกิจกรรมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้เราไม่อยากให้มันไปกระทบเวลาของงานที่เราทำ เราก็เลยต้องตื่นแต่เช้านิดหนึง ชีวิตตอนเช้า มันเงียบสงบ โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวจะรู้ ว่าเมื่อไหร่ที่ลูกตื่นขึ้นมาแล้วเนี๊ยะ สัก 7am เสียงก็จะเริ่มดังละ เพราะลูก ๆ ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน เมื่อตอนต้นปี เราจะตื่นขึ้นมาแต่เช้า แล้วอ่านหนังสือ พอกลาง ๆ ปีเป็นต้นมา เราก็เปลี่ยนเวลาอ่านหนังสือเป็นประมาณ 9pm-10pm แทน คืออ่านก่อนนอน แล้วเอาเวลาช่วงเช้า ๆ แบบนี้มาเขียน journal เขียน blog และสร้าง content แทน เพราะตอนนี้เราก็พยายามสร้าง content ที่ website และ blog ต่าง ๆ ที่เรามี เราก็ทำของเราเองคนเดียว ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ไปเรื่อย ไม่คนช่วย ไม่อะไรทั้งสิ้น เราชอบทำอะไรของเราคนเดียว แน่นอน หนึ่งในนั้นมันก็คือ "project X" ด้วย เดี๋ยวคงได้เปิดตัวกัน แล้วมันจะต้องมี "project Y", "project Z" ตามมาแน่นอน ทุกอย่างมันอยู่ในหัว มัน plan ไว้หมดแล้วหละ ว่าต้องทำ project ไหนก่อนหลัง และแต่ละ project คืออะไร อันไหนจะเสร็จช้า เสร็จเร็วก็ขึ้นอยู่ความอึดของการตื่นแต่เช้า ตอนนี้เรื่องตื่นก่อน 5am ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มันลงตัวแล้ว มันเป็นนิสัยไปแล้ว เหลือแต่ถ้าเรา push ตัวเองไปอีกนิดหนึงหละ เขยิบมาเป็น 4:30am แล้วค่อย ๆ เขยิบไปเป็น 4am มันจะเกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ได้หมายความว่า ชั่วโมงนอนเราจะน้อยลงนะ เปล่าเลย ช่วงโมงนอนมันก็คงจะเท่าเดิมนั่นแหละ เพราะยังไงเสีย ร่างกายก็ต้องพักผ่อน แต่เราก็แค่ต้องรีบเข้านอน ก็แค่นั้นเอง การที่คนเราจู่ ๆ จะต้องมาตื่นตอนเช้า มันก็ไม่ใช่แค่นึกและทำกันได้นะ มันก็ต้องมีการวางแผนและมีวินัยในการเข้านอนด้วย ถ้านอนดึก 11pm หรือเที่ยงคืนแล้วตื่น ตี 4 ตี 5 มันก็คงไม่ไหว เราก็พยายามเข้านอนประมาณ 10pm หรือใกล้เคียง ซึ่งมันก็สำคัญเพราะร่างกายต้องการพักผ่อนด้วย ทุก ๆ เช้า เราตื่นขึ้นมาแล้วต้องดื่มน้ำเปล่าก่อนเสมอ 1 แก้ว แล้วตามด้วยน้ำมะพร้าว 1 แก้ว ซึ่งน้ำมะพร้าวที่นี่ก็ไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ ถ้าอยู่ที่เมืองไทยเหรอ สบายไปแล้ว คงได้ดื่มน้ำมะพร้าวจากมะพร้าวลูกสด ๆ ทุกวัน แล้วเราก็หันมาดื่มชาเขียว หรือ green tea แทนกาแฟได้ประมาณ 1 ปีแล้ว การที่เราตื่นตอนเช้าก่อนที่คนอื่น ๆ ภายในบ้านเขาจะตื่นกัน มันก็ดีในเรื่องของการใช้ห้องน้ำด้วย เพราะเราไม่ต้องแย่งกันใช้ โดยเฉพาะลูก ๆ ที่จะต้องตื่นขึ้นมา 7am และเตรียมตัวไปโรงเรียนกัน ชีวิตตอนเช้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่ช่วงอายุและการทำงาน ถ้าคนที่ทำงาน มันก็เป็นอะไรคล้าย ๆ แบบนี้ แต่ถ้าเป็นคนที่เกษียณแล้ว เขาก็คงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ซึ่งเราจริง ๆ แล้วก็อยากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง ของเราไม่ต้องเกษียณ 100% หรอก เอาแค่ semi-retire ก็พอ คือมีอิสรภาพทางการเงิน financial freedom ซึ่งเราก็จะยังคงทำงานอยู่ แต่อาจจะทำงานน้อยลง แล้วเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรอย่างอื่นที่เราอยากจะทำ อะไรประมาณนี้ ก็อย่างที่เห็นว่า ถ้าเราตื่นขึ้นมาตอนเช้า เราก็มีเวลาเขียนอะไรนั่น นี่ โน่น อย่างเช่น blog นี้เป็นต้น เราก็นังเขียนของเราไปเรื่อย ๆ ไม่กระทบกับเวลาทำงานของตัวเอง เมื่อวานเราก็ตื่นแต่เช้านะ ตามเวลาข้างบน เราก็เขียน blog นั่น นี่ โน่นของเราเหมือนกัน พอสาย ๆ สาย ๆ ในที่นี้คือประมาณ 7:30am นะ เราก็ออกไปเดิน ใช่จ๊ะ เราเดิน ไม่ได้วิ่ง คิดว่าร่างกายยังไม่พร้อมที่จะวิ่ง และยังไม่อยากที่จะวิ่ง เดี๋ยวถึงเวลาของมันเมื่อไหร่ เราจะวิ่งเอง หรืออาจจะไม่มีเวลานั้นเลยก็ได้ ใครจะรู้ แต่ตอนนี้ก็อ่านหนังสืของนิ้วกลมนะ เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอน หนังสือที่พี่คนไทยซื้อมาฝาก ที่เราไม่วิ่งเพราะเรามีกิจกรรมการออกกำลังกายของเราอยู่แล้วประมาณ 5-6 วันต่ออาทิตย์อยู่แล้ว เราก็เลยคิดว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปวิ่งอะไรกับใครเขา ตอนเช้าเราก็ออกไปเดิน ออกไปเดินรับแสง blue light บ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่ทำงานแต่อยู่ห้อง อยู่ใน office พอเดินเสร็จ เราก็กลับมาอาบน้ำ แล้วก็เริ่มทำงาน พอตกตอนเย็น เราก็ไปยิมส์ ซึ่งเราคิดว่าวันหนึงออกกำลังกาย 2 รอบเบา ๆ แบบนี้ OK แล้วสำหรับเรา เพราะถ้าหักโหมไปกว่านี้ ร่างกายเราก็คงจะรับไม่ไหว เพราะเราก็ต้องทำงานด้วย จะให้กลับมานอนพักอย่างเดียวมันก็คงไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่ ถ้าทุกอย่างลงตัวมากกว่านี้ ถ้าเรามีทีมงานที่ลงตัวมากกว่านี้ เราก็อาจจะมีเวลาเพิ่ม และได้ทำอะไรมากกว่านี้ก็อาจจะเป็นได้ แต่ ณ เวลานี้ ณ จุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เราคิดว่ามัน OK แล้ว สำหรับเรา เราก็ balance ได้ในเรื่องของงาน และเรื่องการดูแลตัวเอง และคนรอบข้าง ส่วนการเขียน blog และการทำ content อะไรของเราต่าง ๆ เราก็เขียนวน ๆ ไป เราก็ต้องดูแลกันไป ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตอนนี้พวก content อะไรจต่าง ๆ เราก็ต้องให้ความสนใจ content ภาษาอังกฤษของเราด้วย ไม่งั้นยอดคนติตตามจะหาย เราก็ยังคงต้อง maintain และก็ provide content ไปเรื่อย ๆ มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราชอบและก็อยากจะทำ มีความสุขกับการได้ทำ ก็ถือว่าโชคดีที่เราก็เลิกดู TV เลิกดูข่าวมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว นาน ๆ ถึงจะดูทีหนึง มันก็เลยทำให้ชีวิตเรามีเวลามากขึ้น แทนที่เราเสพ content อย่างเดียว เราก็มาสร้าง content ของเราด้วย หลาย ๆ คนบอกว่า "ไม่มีเวลาในการสร้าง content" มีสิ ก็ตื่นให้มันเช้าขึ้นไง แล้วเวลาเหล่านี้จะไม่ไปกระทบต่อเวลาการทำงานหลักของเรา ก็อาจจะมีบ้างเป็นบางวันที่เราไม่เขียน blog หรือ post อะไรยาว ๆ วันนั้น ๆ เราก็จะเอาเวลาตอนเช้าไปเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ จากพวก facebook LIVE ของคนที่เราติดตามบ้าง อะไรบ้าง เราไม่ได้เล่นพวก social media เพื่อการ entertain จ๊ะ เราชอบที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากกว่า ในขณะที่เราออกไปเดินตอนเช้า เราก็จะเดินฟัง podcast ไปด้วย ในขณะที่เราไปยิมส์ เราก็จะฟัง podcast ไปได้วย ยกเว้นเวลาเข้า class ต่าง ๆ อย่างเช่น Zumba หรือ Pound ซึ่งเราก็คิดว่ามันเป็นการบริหารเวลาที่ดี ส่วนใครจะตื่นแต่เช้าหรือจะตื่นสายอะไรยังไง มันก็เป็นทางเลือกของแต่ละคนนะครับ ของเราเป็นแบบนี้ เราก็แค่อยากจะนำเอาออกมาแชร์... ก็แค่นั้นเอง . . . สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น ก็อาจจะมีบ้างเป็นบางทีที่เจ้ามดตัวเล็ก ๆ ตัวนั้นมันอาจจะทำให้เราต้อง “ปี๊ด”
ไม่นะไม่ เด็กยุคใหม่ ยุด 4.0 จะต้องไม่ “ปี๊ด” เอาตัวออกจากสถานการณ์นั้นไป เสร็จแล้วกลับมาทำงานต่อ มีงานเยอะแยะมากมายที่เราต้องสานต่อ เราอย่าให้เจ้ามดตัวเล็ก ๆ ตัวนั้นมาทำให้เราสะดุดได้ เราต้องมองเจ้ามดตัวนั้นด้วยความเมตตา ไม่ post ด่า (เค๊าเป็นเด็กดีแล้วนะตัวเอง) ไม่โต้ตอบ ให้คิดซะว่า ถ้ามดตัวนั้นเขาคิดเหมือนเรา เขาก็คงตัวแบบเราแบบเราแล้วสิ เขาคิดได้แค่นั้น เขาก็เลยทำตัวแบบนั้น ตัดมดตัวนั้นออกไป บอกกับตัวเองว่า หมดบุญของเขา หมดกรรมของเรา ทำตัวเป็นต้นไม้ใหญ่ ให้นก กา ได้อาศัย ก็อาจจะมีบ้างที่นก กา เหล่านั้นจะอุรดต้นไม้บ้าง ก็คงไม่เป็นไร ให้อภัยนกน้อย ไม่โกรธ ไม่ “ปี๊ด” คิดการใหญ่ ใจต้องนิ่ง เมตตาธรรมค้ำจุนโลก วันนี้ขอเป็นพระเอก… โค้งคำนับ โบกมือเบา ๆ โปรยยิ้ม “World Peace” สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น พอเราเริ่มอ่านหนังสือเยอะมากขึ้น
เราได้เปิดโลกทัศน์มากยิ่งขึ้น เราได้อ่านหนังสือ WHEN ของ Daniel Pink และก็ Own The Day, Own Your Life ของ Aubrey Marcus โดยเฉพาะ WHEN ของ Daniel Pink ที่พูดถึงเรื่องเวลา หนังสือเขาจะพูดถึงว่าเวลาช่วงนี้ เราควรทำอะไร สมองหรือร่างกายเราถึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างเช่น ประชุมควรประชุมตอนเช้า นักเรียนที่สอบตอนเช้า จะทำคะแนนได้ดีกว่านักเรียนที่สอบตอนบ่าย อะไรต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น ทั้ง Daniel Pink และ Aubrey Marcus ได้เขียนถึง Intermittent Fasting เราก็งง ๆ นิดหนึง เราก็แบบว่า huh อะไรนะ อดอาหารเหรอ "fasting แปลว่าอดอดอาหาร" Intermittent Fasting คือการทานอาหารแค่ช่วง 12 noon - 8pm คือตอนเที่ยงถึง 2 ทุ่ม เวลาก็สามาร adjust ได้ แล้วแต่คน แต่ก็ต้องดื่มน้ำตลอด เพื่อให้ร่างกาย hydrate อยู่ตลอดเวลา Idea ของทั้ง 2 คนนี้ก็คือว่า ถ้าจะทาน breakfast หรืออาหารเช้า มันจะต้องเป็นอาหารเช้าที่ healthy ถ้าไม่ healthy ก็อย่าทานเลย หลาย ๆ คนทานอาหารเช้าเพียงเพราะว่า มันเป็นอาหารมื้อแรกของวัน เราคิดกันไปเองแบบนักโภชนาการเก่า ๆ ว่า เราต้องการพลังงานจากอาหารมื้อแรก "ตอนเช้า" เราก็เห็นด้วยกับทั้ง Daniel Pink และก็ Aubrey Marcus แหละ ว่าถ้าอาหารเช้าเป็นพวก cornflakes ที่เต็มไปด้วยน้ำตาล หรือขนมปัง ที่ผ่านขบวนการการผลิต เป็นพวก non-complex carbohydrate ก็อย่าทานเลยดีกว่า ทานไปก็ไปเป็นภาระของร่างกาย ที่ต้องย่อยสลาย หรือเผาผลาญเฉย ๆ เราเป็นคนไม่ทาน cornflakes หรือ toast ตอนเช้าอยู่แล้ว เราเลยไม่มีปัญหาตรงจุดนี้ ปรกติ breakfast เราจะเป็น Oatmeal with soy milk และก็ใส่กล้วย และ black chia seeds เข้าไปด้วย แค่นั้นเอง เหตุผลในการทำ Intermittent Fasting ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน มันก็มีข้อมูลใน Internet เยอะแยะมากมายเรื่องนี้ แต่เราไม่ชอบอ่านอะไรที่เกี่ยวกับ health จาก Internet เพราะเราไม่รู้ว่าข้อมูลใน Internet เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน เราชอบอ่านจากหนังสือมากกว่า อย่างน้อยเราก็รู้ว่าคนเขียนเป็นใคร และเขาก็คงศึกษาหาข้อมูลมาแล้วก่อนที่เขาจะมาเขียนหนังสือ อันนี้เราคิดเอง เออเองนะ ใครจะคิดยังไงก็แล้วแต่เขา ปรกติเราก็ผอมอยู่แล้ว ยิ่งอยากจะเพิ่มน้ำหนักอยู่ด้วย เรื่อง fasting เนี๊ยะ ไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลย แต่การทานอาหารวันละ 3 มื้อ มันก็เป็นความคิดแบบเก่า ๆ เดิม ๆ ไปแล้วนะ เราก็ลองทำบ้าง ขำ ๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก ต้องการเพียงแค่ว่าอยากให้ร่างกาย clean และ detox ก็แค่นั้นเอง เพราะบางทีเราก็เผลอ enjoy dinner เยอะไปหน่อย กินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จะรู้สึกได้ว่าตอนเช้า หน้าท้องจะไม่แบน เราก็แค่อยากให้ร่างกายได้เผาพลาญอาหารที่เราทานไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ให้มันหมด ๆ ไป ก่อนที่จะทานอะไรเข้าไปใหม่ ดังนั้น skip breakfast บ้าง อะไรบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ต้องดื่มน้ำตลอด ของเราก็จะเน้น green tea และน้ำมะพร้าว (แอบมีน้ำตาลบ้างเล็กน้อย) ที่ผ่าน ๆ มาเราก็ลองทำ 2-3 วันต่อ 1 อาทิตย์ ก็ทำมาแล้ว 2-3 เดือน เราก็รู้สึกเฉย ๆ นะ ไม่ได้เวอร์วังอะไรเหมือนชาวบ้านเขา เราก็ follow พวก health professional ในสื่อ social บ้าง อะไรบ้าง หลาย ๆ คนก็บอกว่าช่วยให้เรา concentrate ได้ดี นั่น นี่ โน่น เอ่อ... เราไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย หรือว่าเรา concentrate อยู่แล้ว!!! ตอนนี้เราก็เป็นอะไรที่ flexible แต่ทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 คือวันอาทิตย์ เราก็แค่อยากจะ cleanse ร่างกายเราเฉย ๆ ไม่ต้องการกิน เพียงเพราะเพื่อให้มันครบ 3 มื้อใน 1 วัน เราไม่ได้ทำอะไรเดิม ๆ เพียงเพราะทุก ๆ คนทำกัน จริง ๆ แล้วเราก็ skip breakfast มาตั้งแต่ช่วงที่เรียนที่มหาลัย แล้ว อันนั้น skip เพราะตื่นสาย เราจะทาน brunch แทน นี่เราก็เพิ่งมาทาน breakfast ได้แค่ประมาณ 1 ปีเองนะ หลังจากที่ไม่ได้ทาน breakfast มาประมาณ 20 ปี ไม่รู้สิ เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรยุ่งยาก เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตื่นเช้ามา ดื่มกาแฟก่อนเลย แล้วนั่งหน้า computer ทันที ตาม style เด็ก IT นั่นแหละคือ breakfast แต่เราก็เพิ่งมา break the old habit เมื่อปีที่แล้วนี่เอง เริ่มทาน breakfast มาได้แค่ประมาณ 1 ปี ตอนนี้จะมี Intermittent Fasting เข้ามาด้วย เอาเถอะ ชีวิต ทำอะไรให้มันสุด ๆ ขอให้เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แค่นั้นก็เป็นพอ ของเราแค่ต้องการหน้าท้องให้มันแบนมากกว่านี้ตอนเช้า ก็แค่นั้นเอง ให้ร่างกายมัน cleanse ของเก่า ๆ ที่เราทานไปตั้งแต่เมื่อวานหน่อยก็ได้ ไม่ใส่ตื่นขึ้นมา ก็ใส่ ๆ เข้าไปในร่างกาย ร่างกายไม่ได้พักเลย แบบนี้ก็ไม่ไหว Anyway... ใครจะทำอะไร ยังไง เรื่องของเธอนะจ๊ะเธอ แต่เราเลือกที่จะทำแบบนี้ บอกแล้วไง การอ่านเป็นการเปิดโลกทัศน์และแนวความคิดใหม่ ๆ อยากเชิญชวนให้ทุกคนหาเวลาว่าง ในแต่ละวันหันมาอ่านหนังสือกันบ้างนะครับ อย่าข้ออ้างเยอะ... ถ้าเราคิดจะทำหนะ มันทำได้อยู่แล้ว ลงมือทำ ทำทันที |
AuthorJohn Paopeng Archives
February 2024
Categories |