ที่เรายังต้องคงทำงานหนักอยู่ทุกวันนี้เพราะเรายังเหลือ project สุดท้ายในชีวิตที่ออสเตรเลียที่ต้องทำ
คือซื้อ apartment 2 ห้องนอนใน Sydney ให้กับลูกลิงทั้ง 2 มันต้องใช้เงินเยอะมาก และมันก็จะเป็น apartment ให้กับลูกลิง ให้กับครอบครัวเรา มันจะไม่มีเงินจากค่าเช่ามาช่วยผ่อน ดังนั้นเราก็ยังคงต้องทำงานหนัก ถ้าลูกชายคนโตเริ่มทำงาน เขาก็ต้องมาช่วยออกค่าใช้จ่ายตรงจุดนี้ คือเขาก็ต้องจ่ายค่าเช่า ก็โอนเงินค่าเช่าเข้า home loan เลยนั่นแหละ เพราะ apartment ที่ Sydney ก็คือซื้อเอาไว้ให้ลูกทั้ง 2 คน; 2 ห้องนอน เอาไว้เผื่อพวกเราไปทำธุระอะไรใน Sydney ไม่อยากขับรถกลับ Wollongong ดึก ๆ เย็น ๆ รถติด เราก็ค้างที่นั่นได้ สำหรับครอบครัวเราแล้ว มันคือ project ที่ใหญ่ project ที่สำคัญ และน่าจะเป็น project สุดท้ายของพวกเรา เราจะยังคงซื้อบ้านเพื่อการลงทุนนะครับ ซื้อกับ buyer agent แต่บ้านเพื่อการลงทุนเหล่านั้น มันมีคนเช่าอยู่แล้ว เวลาเราเลือกซื้อกับ buyer agent เราจะซื้อเฉพาะหลังที่มีคนเช่าอยู่แล้วเท่านั้น คือจะต้อง positive cashflow income from day one อันที่ซื้อเพื่อการลงทุน หรือที่ซื้อกับ buyer agent พวกเราไม่เครียดกัน เพราะพวกเราทำการบ้านแล้ว ก่อนซื้อ และพวกเราซื้อในราคาที่ไม่แพงมาก พวกเราเลือก suburb ที่พวเราเอื้อมถึง จับต้องได้ แต่อันนี้ที่ Sydney ที่จะซื้อเพื่ออยู่เอง ซื้อให้ลูก ๆ เวลาพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ที่ออสเตรเลียแบบถาวรแล้ว ลูก ๆ จะได้ไม่ลำบากเรื่องที่อยู่ เพราะที่อยู่ใน Sydney ค่อนข้างแพง เราไม่อยากให้ลูก ๆ เราเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนอย่างที่พวกเรา 2 คนเป็น ก็แค่นั้นเอง มันคือหน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า "ไม่เห็นจำเป็นเลย ก็ให้ลูก ๆ หาเองสิ" hmmm... เอาเป็นว่า ชีวิตทุกคน "ไม่มีถูกไม่มีผิดนะครับ" พวกเรา "สะดวกแบบนี้" เรารักของเราแบบนี้ ส่วนลูกอยากจะอยู่หรือเปล่า อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าลูกไม่มาอยู่ เราก็ปล่อยเช่า ก็แค่นั้นเอง หรือถ้าลูกมาอยู่ ถ้าเรียนจบแล้วทำงานแล้ว ลูกก็ต้องจ่ายค่าเช่า เราก็เป็น landlord ให้ลูกไป ในราคาที่ย่อมเยาว์ หรือถ้าลูกอยากอยู่ใน Sydney ใจกลางเมืองเลย อันนั้นลูกต้องหาที่เช่าเอง เพราะเราคงไม่ทำอะไรให้แบบนั้น หลาย ๆ ที่แถว Wollicreek หรือเมืองใกล้เคียง 2-bedroom 2-bath apartment ก็ $1M+ AUD แล้ว เราไม่ต้องการ provide อะไรก็เกินกำลังเรา มันจะเหนื่อยเกิน ถ้าเสร็จ project นี้ก็ถือว่าหน้าที่เรากับภรรยา complete แล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เรา 2 คนก็จะออกไปใช้ชีวิตของพวกเรา ทำงานบ้าง เดินทางบ้างของพวกเราไปเรื่อยเปื่อย มันคือแรงขับเคลื่อนในการทำงานทุกวันนี้ 🏠 🏠 🏠 ปีที่แล้ว; 2024 เราไปทำงานที่ Melbourne
เป็นช่วงที่ลูกสาวเราปิดเทอมพอดี เราทำงานเสร็จลูกสาวเรากับภรรยาก็บินตามสมทบ ส่วนลูกชายเรา เสร็จ lecture วันศุกร์ เขาก็บินตามมาสมทบ ในระหว่างที่เดินโต๋เต๋กันใน Melbourne เราเดินผ่านตึก commercial building ที่เราซื้อหุ้นอยู่ เราก็เลยคุยกับลูกสาวถึงเรื่องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของออสเตรเลีย; ASX (Australian Securities Exchange) ลูกสาวเรายังเล็ก ยังอยู่ high school อยู่ อาจจะไม่เข้าใจอะไรมาก เราก็เลยหันไปคุยกับลูกชาย เพราะเราจำได้ว่าเขาเคยเปิดบัญชีกับ CommSec (CommonWealth Securities Limited) เพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ - เราซื้อหุ้นที่เป็นตัว ๆ ไปเลยจาก ASX - ลูกชายซื้อที่เป็น ETF (Exchange Traded Fund) ลูกชายเราไม่ได้ซื้อเยอะ เขาก็ทุบกระปุกออมสินเขาซื้อตามประสาเด็กน้อยผู้ที่ซึ่งไม่มีเงินเก็บอะไรมาก เขาซื้อไป $1,300 ซึ่งก็ไม่ได้มากอะไร แต่สำหรับเราแล้ว เราอยากให้เขามีประสบการณ์ในการลงทุนตั้งแต่เด็ก เข้าใจระบบ finance ตั้งแต่เด็ก ซึ่งก็ดีแล้ว เราไม่ก้าวก่าย แต่เอาตามตรงนะ เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องให้เขาเรียนรู้เอง ล้มเอง เจ็บเอง เพราะเรื่องบางเรื่อง - ถ้า daddy บอกให้เลี้ยวซ้าย เขาก็อยากจะเลี้ยวขวา - ถ้า daddy บอกให้เลี้ยวขาว เขาก็อยากจะเลี้ยวซ้าย สุดท้ายเราก็ต้องปล่อย อย่างเช่น: - เราบอกว่าใช้ SelfWealth สิ ค่า brokerage ถูกดี $9.50/transaction ไม่น่าจะซื้อมากหรือซื้อน้อย เขาคิด per transaction เขาก็ไม่เอากับเราด้วย เขาก็ต้องไปใช้ CommSec เขาบอกว่าถูกดีมี promotion อะไรของเขาไม่รู้ตอนนั้น... hmmmm... ก่อนที่เราจะใช้ SelfWeath เราทำการเปรียบเทียบมาแล้วแทบทุกบริษัทนะ เราถึงใช้ SelfWealth แต่ก็นั่นแหละ เราก็ต้องปล่อยเขา - เราว่าการซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ น่าจะดีกว่าการซื้อ ETF นะ ETF ก็เหมือนพวกกองทุน (Unit Trust หรือ Mutual Fund) ที่ต้องจ่าย admin fee ให้กับ fund manager เหมือนกับ superannuation เราก็คิดว่าทำไมต้องจ่ายค่า admin fee พวกนี้ด้วย บาง Unit Trust บาง Mutual Fund ค่า admin fee เยอะมาก แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตเขา เราก็ต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้เอง อะไร ใด ๆ $1,300 ไม่ได้เยอะมาก เดี๋ยว daddy ค่อย ๆ เกา ค่อย ๆ ตบให้เข้ากรอบเข้ารูปเข้ารอย แค่ลูกชายเราคิดที่จะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เราก็คิดว่าดีแล้ว การเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ดีกว่าเสมอ ก็เหลือแต่คนเล็ก ที่ต้องรอให้อายุ 18 ปี จะได้เปิดบัญชีทำการลงทุนกับ ASX ได้ 1. ASX ของเรา เราลงทุนในรูปแบบบริษัท ในวันที่เราไม่อยู่ ลูก ๆ ก็มาสานต่อ มา take over ได้ อันนี้ลงทุนแค่ในรูปแบบของบริษัทเฉย ๆ ไม่ได้ทำเป็น discretionary trust แต่ accountant บอกแล้วว่าถึงเวลาค่อยเปลี่ยนก็ได้ 2. ASX ของลูกชายก็เป็นชื่อเขา ส่วนบุคคล ก็ไม่เป็นไร เงินลงทุนยังน้อยก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้ของเขาไป learning process, learning journey สำคัญกับการเรียนรู้ ลูกไม้หล่นใต้ต้น เห็นแล้วเราก็มีความสุข ลูกชายเริ่มเดินทางต่างประเทศเองกับเพื่อน ๆ เขาแล้วตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว (2023)
เมื่อเขาเดินทางเองกับเพื่อน ๆ เขา เขาก็ต้องจ่ายเองทุกอย่าง แตกต่างจากเดินทางกับครอบครัว เขาก็ใช้เงินเก็บของเขานั่นแหละ จาก weekly allowance บ้าง จากเงินที่ได้จากการสอนพิเศษบ้าง ปีที่แล้ว เขาก็ไปสิงคโปร์กับเพื่อน ๆ ของเขา เขาไปก่อน mummy 1 week เพื่อที่จะกิน เล่น เที่ยว กับเพื่อนเขาก่อน เขาก็พาเพื่อน ๆ ไปพักที่บ้านเราแหละ เพราะมี 2 ห้องนอน เด็ก ๆ ผู้ชายเดินทางง่ายหน่อย กินง่ายอยู่ง่าย ลุย ๆ ปีนี้เขาก็ไป New Zealand กับเพื่อน ๆ เขา เด็ก ๆ ก็พากันซื้อเป็น tour package อะไรของพวกเขา เราไม่ได้ถามอะไรมาก ปล่อยให้เขาไปใช้ชีวิต แต่ trip นี้เราก็ออกค่าใช้จ่ายให้ $5K ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิด (tour package ประมาณ $2.8K ที่เหลือก็แล้วแต่ลูกจะจัดการบริหารชีวิต) ลูกชายเราโตแล้วครับ ปีนี้จบ year 3; UNSW แล้ว ปีหน้าเรียน year 4 ช่วงปิดเทอมเขาก็ไปนั่น นี่ โน่น เรื่องของเขา เราปล่อยให้เขาใช้ชีวิตแบบอิสระ เพราะเรียนมหาลัยแล้ว โตแล้ว summer holiday ปีนี้พวกเราไม่กลับเมืองไทยหรือสิงคโปร์ เพราะเราเองก็เพิ่งกลับมาจากไทย พวกเราก็คงจะอ้อม ๆ แอ้ม ๆ กันอยู่แถวนี้แหละ ลูกชายเราโตแล้ว เขาก็เริ่มออกไปโบยบินอะไรของเขา เราก็เฝ้าคอยดูและเป็นห่วงเรื่องแค่เรื่องความปลอดภัยแค่นั้นเอง ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ แต่ก็อย่าโลดโผนเกิน เดินทางต่างประเทศ travel insurance ต้องมี ทีแรกเขาบอกว่าเขาจะไปญี่ปุ่นกัน กับเพื่อนอีกกลุ่มที่ UNSW แต่แผนล่ม น่าจะเรื่องการเงินแหละ เด็ก ๆ มหาลัย เงินไม่ได้เยอะอะไรมาก ส่วนที่ไป New Zealand เขาก็ไปกับเพื่อน ๆ ที่ Wollongong อันนี้ก็เพื่อนอีกกลุ่ม เราผู้ซึ่งเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ได้แต่เฝ้าดูการเติบโตของลูกน้อย การเดินทางเที่ยวต่างประเทศเองของเขาก็เป็นอีกหนึ่งก้าวเล็ก ๆ ของการเติบโตของเขา Daddy & Mummy ก็ได้แต่ตามดู Instagram's story ของเขา คนเป็นพ่อหรือหัวหน้าครอบครัว ทำงานเก็บเงินไว้เยอะ ๆ นะครับ เพราะบางทีค่าใช้จ่ายก็มาแบบไม่ได้ตั้งตัว
อาทิตย์ก่อนเราทำงานที่ Melbourne ลูกลิงตัวเล็กกับแม่ลิงบินตามมาสมทบวันพุธเย็น ลูกลิงตัวโตบินมาสมทบวันศุกร์เย็น 1. เรามีนัดเจอน้องลูกค้านอกรอบที่ hotel lobby ตอน 8:30pm น้องลูกค้าบอกว่าวันเสาร์จะไปดู "The Weekend" concert น้องลูกค้าถามเราว่า "พี่พาลูกไปดูสิ" เราก็ "The Weekend" อะไร ไม่รู้จัก 2. เรากลับขึ้นที่พัก แล้วก็บอกลูกลิงว่าวันเสาร์นี้มี "The Weekend" concert ลูกลิงก็บอกว่า ก็คนที่เราเปิดฟังเพลงเขาใน radio ตอนไปเที่ยวที่ Jervis Bay ไง แล้ว you ก็บอกว่าเพลงเพราะและ you ไม่ mind ที่จะไปเป็นเพื่อนฉัน อ้าวววว ซวยแล้ว daddy Promise อะไรไปทั่ว พูดเสร็จ เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังไม่รู้เลยว่า concert มันจัดที่ไหน อะไร อย่างไร แล้วเราก็เข้านอนประมาณ 10pm 3. อ้าว เฮ้ย... ลูกลิงกับ mummy ยังไม่พากันนอน พวกเขา 2 คนแม่ลูกพากันเข้าไปดูตั๋ว The Weekend - OMG... ยังมีตั๋วของวันเสาร์อยู่ - OMG2... ที่จัดคอนเสิร์ตเดินจากโรงแรม 5-10 นาที Daddy เจอ surprised แน่พรุ่งนี้เช้า 4. เป็นไปตามคาดครับ ตื่นเช้ามาลูกลิงก็มาอ้อน และ daddy ก็ใจอ่อน แต่ก็มีข้อแม้ว่าลูกสาวเราจะต้องชวนพี่ชายเขาด้วย เพราะลูกชายเราก็จะบินตามมาวันศุกร์เย็นหลังจากเสร็จ lecture สรุป: - ลูกชายเราไม่ไป เพราะเขาก็ไม่ได้ชอบ The Weekend อะไร มีแต่ลูกสาวที่ชอบ แต่ยังไงก็ต้องชวนก่อน เขาจะไปหรือไม่ไปอีกเรื่องหนึ่ง - เรา book ร้านอาหารเอาไว้ รอว่าจะไปทานกันวันเสาร์ตอนที่ลูกชายเราบินมาสมทบ เราก็เลยต้องเลื่อนวันที่ไปร้านอาหาร และวันเสาร์ก็ไปนั่งดู concert กับลูกลิง "นั่ง" ที่นั่งจริง ๆ ครับ นั่งเป็น bodyguard ส่วนลูกลิงก็เต้นแร้งเต้นกาอะไรของเรา เดชะบุญเราซื้อตั๋ว aisle seat ให้ลูกลิงได้ลุกขึ้นยืน สนุกเขาหละ ค่าเสียหาย 2 คน: $400 mummy + ลูกชายไม่ไป ดูคอนเสิร์ตเสร็จก็พากันเดินกลับโรงแรม 5-10 นาที ไม่ไกล :) ก็เป็นอีก family trip ที่ปล่อย joy กัน ลูกลิงทั้ง 2 เริ่มโตแล้ว เริ่มอยากเดินทางกับเพื่อนมากกว่าเดินทางกับพ่อแม่ เวลาไหนพวกเราว่างตรงกัน ก็ต้องพากันเก็บเกี่ยวเอาไว้ ก่อนที่ลูก ๆ ทั้ง 2 จะออกไปโบยบินกัน พ่อแม่เองก็จะพากันโบยบินด้วย :) บางทีค่าใช้จ่ายมันก็มาแบบไม่ทันตั้งตัวมาก ดังนั้นคนเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องตั้งรับกับค่าใช้จ่ายพวกนี้ให้ดี ๆ บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ทันทีที่ลูกชายเราขับรถได้ สิ่งแรกที่เราบอกลูกให้ทำก็คือ ลูกต้องซื้อประกันชีวิต
ประกันชีวิตหรือ life insurance เป็นสิ่งที่หลายครอบครัวไม่อยากพูดถึง เพราะดูเหมือนเป็นการแช่งคนในครอบครัว หรือเป็นลางร้ายอะไร ต่าง ๆ นานา เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ก็แล้วแต่ครอบครัวของใครมันนะครับ ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่เอาเป็นว่าครอบครัวเราเป็นแบบนี้ คือถ้าลูกชายจะเอารถเราไปขับ โดยเฉพาะใน Sydney อย่างแรกที่ต้องมี คือ "Life Insurance" ครับ มันซื้อกันได้ง่าย ๆ จาก superannuation ลูกชายเราทำงานเป็น tutor มีเงิน superannuation ดังนั้นเขาสามารถซื้อประกันชีวิตจาก superannuation ได้ และเราก็ให้เงิน pocket money; $150/week ดังนั้นเขามีเงินที่จะจ่ายตรงนี้ได้ Life Insurance จาก superannuation ที่ลูกชายเราซื้อก็ $13/week ไม่ได้เยอะมาก ซื้อเถอะ เพื่อความสบายใจ ในวันที่ลูกชายเราขับรถออกจากบ้าน ในวันที่เราเซ็นโอนชื่อเจ้าของรถ จากชื่อเราเป็นชื่อลูกชาย นั่นแหละ วันนั้นลูกชายเราก็เอา laptop มานั่งกรอก life insurance online application เลย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ให้เอารถไปใช้ใน Sydney บางครอบครัวอาจมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่สำหรับพวกเรา พวกเราผ่านความเจ็บปวดนั้นมาแล้วครับ เอาเป็นว่า ถ้าครอบครัวคุณผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาแล้ว คุณจะเข้าใจ!!! และลูกชายเราเองก็เข้าใจว่าทำไม daddy ถึงต้องให้ซื้อเอาไว้ เราไม่ได้แช่งคนในครอบครัว ชีวิตทุกคนมีค่าครับ ดังนั้นเราก็ translate "ค่า" นั้นออกมาให้มัน tangible จับต้องได้ไปเลย แค่นั้นเลยจริง ๆ เมื่อ daddy ต้องแชร์รถกับลูกชาย
ให้เราก็ set radio station เอาไว้ station หนึ่ง ฟังสบาย ๆ ส่วนลูกชาย เวลาเอารถไปขับ เขาก็ set radio station ไปอีก station หนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนกันไปมา จริง ๆ แล้วช่วง weekend เหมือน daddy โดนยึดรถไปแล้วเรียบร้อย ลูกชายก็จะมีธุระไปนั่น นี่ โน่น ตลอด... ซึ่งก็ดีแล้ว เราก็ encourage ให้เขาไปใช้ชีวิต ตอนนี้แค่รอย้ายบ้าน เพิ่งได้ furniture ครบเมื่อวาน; 17/06/2024 Daddy ก็คงจะซื้อรถใหม่ ส่วนคันนี้ก็คงยกให้เขา ให้เขาขับคันนี้ไปก่อน รอเรียนจบปีหน้าค่อยว่ากัน ลูกลิงของ daddy ตอนนี้ไม่ใช่ "ลูกลิง" แล้ว เรียนปี 3 แล้ว ปีหน้าจบ #ฉันรักเขา ความเป็นพ่อ:
1. ทุกเสาร์เช้า สิ่งแรกที่เราทำเลยเป็นอย่างแรกก็คือ login เข้าไปใน Internet banking โอนเงินเข้าบัญชีลูกชายทุก ๆ อาทิตย์ ค่าเช่าที่พักที่ Sydney + pocket money อีก $150/week (เพิ่มจาก $100/week แล้วนะ เพิ่มเมื่อช่วง Easter 2024) ที่เหลือลูกลิงก็ต้องสอนพิเศษ เก็บเงินเอง บริหารเอง ลูกลิงสอนพิเศษตั้งแต่สอบ HSC เสร็จแล้ว นี่ก็สอนมา 3 ปีแล้ว ก็พอมีเงินค่าขนมอยู่บ้าง 2. daddy ล้างรถ week เว้น week หนูเอารถไปขับไปหาเพื่อนนั่น นี่ โน่น จะซกมกมากก็ไม่ได้นะลูก ลูกจะสังเกตหรือเปล่าว่ารถ daddy จะดูสะอาดตาตลอด (เราเอารถไปล้างทุก ๆ 2 weeks อยู่แล้ว $22) รถมันไม่ได้ล้างตัวมันเองนะลูก โอ๊ยยยย อิหยังเนี้ยะ!!! 3. เติมน้ำมันในรถให้เต็ม น้ำมันรถจู่ ๆ มันไม่ได้เต็มโดยอัตโนมัตินะลูก มันต้องมีคนเติม เดี๋ยวเขาเอารถไปขับที่ Sydney ก็ต้องได้เติมเอง เดี๋ยวคงจะรู้!!! ลูกลิงตัวโตสอบใบขับขี่ผ่านแล้ว ในที่สุด
He ก็อยากจะสอบให้ผ่านเร็ว ๆ แหละ แต่การเรียนก็ต้องมาก่อน และ 2 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวก็โดนอะไรกันเยอะ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลากัน เราก็อยากให้ลูกสอบผ่านแหละ เราก็ไม่ไหวกับการเป็นพลขับเหมือนกัน เราจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง 1. รถเราก็คงโอนเป็นชื่อลูกลิง แต่ยังคงเป็น family car ที่ทุกคนใช้ร่วมกัน เพราะมันคือเงิน daddy ที่ซื้อมา 2. ที่โอนเป็นชื่อลูกลิงเพราะ - เวลาขับรถฝ่าไฟแดง หรือ speed camera ลูกลิงต้องรับผิดชอบเอง - ต่อ rego เอง เงินที่ daddy ให้ $100/week (เยอะมาก... oops!!!) นั่นแหละ + เงินที่เขาเป็น tutor เก็บหอมรอมริบเอา เพราะ daddy จ่ายค่าเช่าบ้านใน Sydney ให้แล้ว 3. Daddy ก็คงจะซื้อรถใหม่ EV อันนี้ลูกลิงขับไม่ได้ เพราะรถ daddy แทบจะไม่มี scratch เลย เห็นนิสัยการขับรถของ he ละ ไม่ไว้ใจ!!! 4. ลูกลิงเอาไปขับแถว ๆ UNSW ได้ แต่เราไม่ให้เข้าแถว ๆ China Town... คนขับแถวนั้น "ส่วนมาก" rude (ไม่ทุกคน) 5. เลิกเรียนมาจาก UNSW ลูกลิงกลับถึงบ้านวันศุกร์ เอาละ ทานข้าวเสร็จก็ต้องมีออกไปกับเพื่อนบ้าน นั่น นี่ โ่น่น daddy ไม่มีปัญหา เพราะลูกลิงโตแล้ว เราปล่อยให้เขาเป็นอิสระ ให้เขาออกไปใช้ชีวิต แต่แม่เขาก็ห่วง ๆ หน่อย เพราะขับรถกลางคืน แม่เขาอยากให้แรก ๆ ก็ขับเฉพาะกลางวันก่อน เรากับภรรยาก็ตกลงกันเอาไว้แล้ว เวลาเลี้ยงลูก ถ้าลูกขออะไร ถ้าคนหนึ่งได้อนุญาตไปแล้ว อีกคนจะมา say "no" ทีหลังไม่ได้ พ่อกับแม่ต้องคุยกันก่อน เผอิญว่าอันนี้ลูกลิงขออนุญาตเราแล้ว และเราก็คิดว่าลูกลิงโตแล้ว ปล่อยเขาเถอะ เราคิดว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่ห้าม "ดื่ม" ของมึนเมาแค่นั้นเอง และออกไปข้างนอกต้องเอากุญแจบ้านไปด้วย ห้ามมาเคาะประตู อะไรประมาณนี้ ส่วนบ้านใหม่ที่พวกเรากำลังจะย้าย ลูกลิงก็มีทางเข้าส่วนตัวด้านล่างอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ทางเข้าร่วมกับคนอื่นก็ได้ อะไร ใด ๆ มันคือ "part of growing up" Insurance ของเราเป็น comprehensive และ cover คนขับ 3 คน; เรา ภรรยา และลูกลิง ตอนนี้ลูกลิงก็ใช้คันนี้ไปก่อน รับมรดก daddy ไปก่อน คันนี้ก็ซื้อมามือหนึ่ง เราขับมายังไม่มีรอยขูดขีดที่เกิดจากเรา ทุกคนจะรู้ดีว่าหวงรถและค่อนข้างดูแลรถดี เดี๋ยวรอลูกลิงเรียนจบ ค่อยว่ากัน ถ้าเราจะซื้อให้เป็นของขวัญ อะไรก็ว่าไป หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า เดี๋ยวก่อนนะ ถึงขั้นต้องซื้อรถใหม่ให้ลูกเลยเหรอ hmmm... ใช่ครับ เรารักของเราแบบนี้ ครอบครัวไหน เลี้ยงลูกแบบไหน นั่นคือปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา ส่วนของเรา เราก็สะดวกแบบนี้ ครอบครัวเราผ่านการสูญเสียมาก่อน ทุกวันนี้พวกเราจับมือกันไว้แน่น ๆ อยู่กันด้วยความรัก ไม่มีอะไรที่ต้องทะเลาะกันเลย ถ้าหลานชายเรายังอยู่ เราก็จะซื้อให้หลานเราเหมือนกัน แต่เมืองไทยก็น่าจะเป็นมือสอง เพราะราคารถที่โน่นจะแพงกว่าที่นี่ เราบอกลูกลิงทั้ง 2 เสมอว่า ถ้าลูกลิงได้อะไร (วัตถุ สิ่งของ) หลานชายเราที่เมืองไทยก็ต้องได้สิ่งนั้นด้วย เราเลี้ยงกันมา เหมือนเรามีลูก 3 คน ภรรยาเราก็รักหลานคนนี้มาก เพราะอายุไล่เลี่ยกันกับลูกชายเรา โตมาด้วยกันกับลูกลิง สิ่งที่เป็นห่วงคือเรื่องอุบัติเหตุ แต่ก็นั่นแหละ เราก็คิดว่าลูกลิงค่อนข้างเป็นคนที่ reasonable อยู่แล้ว คงจะทำอะไรด้วยสติ อย่างน้อยก็ "เหล็กหุ้มเนื้อ" ลูกลิงก็ค่อย ๆ ออกไปสยายปีกของเขา เดี๋ยว mummy and daddy ก็จะพากันไปเป็น "ผีตองเหลือง" แล้ว จะไปใช้ชีวิตพเนจรบ้าง ค่ำไหนนอนนั่นบ้าง มันคงจะมีความสุขดี หรือเมืองไทยบ้าง สิงคโปรร์บ้าง ออสเตรเลียบ้าง มันคงจะมีความสุขดีนะ เขียนเรื่องลูก มาจบที่เรื่องของตัวเองได้ไงเนี่ยะ อะไร ใด ๆ จบไปแล้วเรื่องหนึ่ง เรื่องการขับรถของลูกลิง daddy ก็ไม่ต้องคอยรับส่งแล้ว ย้ายบ้านเสร็จ เราก็คงซื้อรถใหม่ของเรา ลูกลิงก็น่าจะเอาคันนี้ไปขับใน Sydney เติมน้ำมันเองนะครับลูก แต่ daddy จะจ่ายค่า service ให้ทุก ๆ 6 เดือน มันคือ part of growing มันคือสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "รัก" บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ เมื่อวันหนึ่งเราและลูก ๆ จะกลับมาอ่านด้วยกัน (ลูกลิงอ่านภาษาไทยไม่ได้) 02 March 2024 ณ วันที่เขียน blog อยู่นี้; 10 December 2023
ลูกลิงตัวโตอยู่ที่สิงคโปร์แล้วครับ ลูกลิงสอบเสร็จแล้วตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว ลูกลิงก็เลยไปเที่ยวสิงคโปร์กับเพื่อนก่อน เราเสนอ idea นี้กับลูกเมื่อหลายเดือนก่อนว่า ถ้าลูกลิงตัวโตสอบเสร็จก่อน ก็ลองชวนเพื่อน ๆ ที่สนิทกันไปเที่ยวสิงคโปร์สิ เพราะปรกติ Uni ก็สอบเสร็จกันปลาย ๆ November อยู่แล้ว เพราะถ้าเพื่อน ๆ ลูกลิงไปเที่ยวสิงคโปร์กับลูกลิง เพื่อน ๆ ก็ไม่ต้องไปเสียค่าที่พักที่โรงแรม ก็ไปพักที่บ้านเราได้ เพราะบ้านเราที่สิงคโปร์ทุกวันนี้ ไม่ได้ปล่อยให้คนเช่าแล้ว ลูกลิงก็เลยเดินทางก่อน + เพื่อนจาก UOW อีก 2 คน ลูกลิงไปกับเพื่อน ๆ ไปกัน 12 วัน 12 วัน ไม่ต้องพักที่โรงแรม พักที่บ้านเราได้เลย มี 2 ห้องนอน และติดแอร์ทั้งหลัง ประหยัดค่าโรงแรมไปได้เยอะ ภรรยากับลูกลิงตัวเล็กเดี๋ยวตามไปทีหลัง เพราะคนเล็กยังไม่ปิดเทอม ลูกลิงคนโต เพิ่งจบ year 2 ที่ UNSW แต่ยังอยู่ในวัย teen อยู่นะครับ เราปล่อยให้ไปไหนมาไหนเองได้ บิน domestic หนะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่บิน international เองกับเพื่อน ๆ ไม่มีพ่อกับแม่ไปด้วย ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ลูกลิงถือ 3 สัญชาติอยู่แล้ว; Thai, Ausrtralian and Singaporean ดังนั้นการเข้าออกประเทศต่าง ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ลูกลิงก็อยู่ที่บ้าน + เพื่อนอีก 2 คน โต ๆ กันแล้ว อยู่กันเองได้ 3 คน เพราะสิงคโปร์ของกินสะดวกสบาย เดินทางสะดวกสบาย คนพูดภาษาอังกฤษได้ (ส่วนมาก) คุณยายก็แอบมาดูบ้าง ถ้าหลงทาง ก็ WhatsApp หาคุณน้าเขาบ้าง ก็แค่นั้นเอง daddy กับ mummy ก็คอย WhatsApp ตอนเย็น ๆ แต่จะไม่จู้จี้ คิดว่าลูกเอาตัวรอดได้ ฉุกเฉินอะไร เขาจะ WhatsApp หาแม่เขาเอง บ้านที่สิงคโปร์เราไม่ได้ปล่อยให้คนเช่ามาหลายปีแล้ว แม่ของภรรยาเราก็มาอยู่ทุกวันอาทิตย์ เป็นที่หลบหนีความวุ่นวาย เป็นที่เล่นไฟ่นกกระจอกของเขา บ้านที่สิงคโปร์ของเราไม่ติด mortgage แล้ว ไม่มี home loan แล้ว พวกเราก็เลยไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ก็ให้แม่ของภรรยามาพักทุก ๆ วันอาทิตย์ ก็เลยประจวบเหมาะให้ลูกลิงกับเพื่อน ๆ เขาไปพักกันช่วงปิดเทอม หรือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาให้กับเด็ก ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า 12 วันลูกลิงกับเพื่อน ๆ เขาจะไปกันโต๋เต๋ที่ไหนบ้าง สิงคโปร์มันก็เกาะเล็ก ๆ เหมือนเกาะภูเก็ต จากทิศเหนือไปทิศใต้ก็ 45 นาที จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกก็ 45 นาที แต่เราก็คิดว่าเป็นโอกาสดีของเพื่อน ๆ ลูกลิง เพราะไปพักได้เลยฟรี ก็เป็นประสบการณ์ให้กับเด็ก ๆ เขา เมื่อลูกโตแล้ว เข้ามหาลัยแล้ว เราก็สบายแล้วครับ แต่ถ้าลูกเดินทางเองกับเพื่อนแบบนี้ ลูกก็ต้องซื้อตั๋วเอง จัดการทุกอย่างเองกับเพื่อนของเขา ขาไป แต่ขากลับ พวกเราก็กลับด้วยกัน อันนี้เราก็จ่ายให้ทั้งครอบครัว ตอนไป ทุกคนแยกไปใครมัน แล้วแต่ตารางความสะดวกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ขากลับพวกเรากลับพร้อมกัน เราก็อยากให้ลูกออกไปใช้ชีวิตให้คุ้ม บริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายระหว่าง trip เอง ของที่สิงคโปร์ก็ไม่ได้แพงอะไร เราก็คิดว่าลูกลิงจัดการชีวิตของเขาเองได้ หรือจะข้ามไป Malaysia ก็ทำได้ ก็นั่งรถบัสไปได้เลย แสนจะสบาย อะไร ใด ๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็อยากให้ลูกเราออกไปใช้ชีวิตครับ สนุกกับชีวิตให้เต็มที่ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ เดี๋ยวเปิดเทอมก็ต้องเรียนหนักกันอีก เพื่อน ๆ ของลูกลิงเป็นเด็กเรียนทั้งนั้น เราไม่เป็นห่วง ปีที่แล้วลูกลิงติด Dean List ของ Engineering ปีนี้ก็รอดูผลสอบเทอมสุดท้ายว่าจะติด Dean List หรือเปล่า แต่เราก็เฉย ๆ กับ Dean List แล้วหละ ตอนนี้เราก็แอบ ๆ เชียร์ให้เขาไป exchange program ที่ไหนก็ได้ซัก 1 ปี จะไปประเทศจีน หรือญี่ปุ่นก็ได้หมด ไปใช้ชีวิตเรียนที่ต่างประเทศสัก 1 ปี เราก็บอกลูกเอาไว้ว่า daddy พร้อม support เต็มที่ เราอยากให้ลูกลิงได้ไปสัมผัสการเป็นใช้ชีวิตต่างแดนบ้างสัก 1 ปีก็ยังดี หรือขี้เหล่สุดก็ซัก 1 เทอมก็ได้ แต่เท่าที่เราพูดไป ลูกลิงก็เฉย ๆ นะ เข้าหูซ้าย ออกหูขวา... ไอ้เราก็อยากให้ลูกไปเหลือเกิน... ลูกก็ไปโครงการแลกเปลี่ยนไง daddy กับ mummy ก็จะตามไปเที่ยว... oops!!! ...ไปใช้ชีวิตซะ... เขียนไว้ให้ลูกอ่าน วันหนึ่งเราจะกลับมาอ่านด้วยกัน (ลูกลิง พูด-อ่าน-เขียนภาษาไทยไม่ไ่ด้) 10/12/2023 |
บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณพ่อลูก 2 Archives
January 2025
|