ทุก ๆ วันเสาร์ช่วงนี้ กิจกรรมของครอบครัวเราก็คือการออกไป inspect บ้าน
พวกเราไปกันทั้ง 4 คน มันก็เป็นกิจกรรมที่พวกเราได้ทำร่วมกันอย่างสนุก เพราะหลังจากที่ดูบ้าน นั่น นี่ โน่น ก็ประมาณ 1pm, 2pm พวกเราก็พากันแวะนั่งที่ cafe หาของว่างทานกัน แล้วก็คุยกันสัพเพเหระ เด็ก ๆ อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะลูกลิงตัวเล็ก เขาก็จะเป็นคนช่างพูดช่างถาม เขาก็จะถามว่า "เอ๊ะ ถ้าเราชอบบ้านหลังนี้ ขั้นตอนต่อไปพวกเราต้องทำอะไรบ้าง" เราก็นั่งอธิบายกันที่ cafe ว่า "อ๋อ มันก็ต้องมีการเสนอราคา offer ไปนะลูก นั่น นี่ โน่น" เขาก็จะถามกันต่อว่า "อ้าว แล้วทำไม่ต้องเสนอราคา ก็ซื้อเลยไม่ได้เหรอ" daddy ก็ต้องอธิบายต่อ นั่น นี่ โน่น มันทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ขบวนการและระบบการซื้อขายบ้านที่นี่ และเมื่อวานพวกเราไป inspect บ้านอยู่แถว ๆ Dapto (5-10 นาทีจาก Wollongong) มันก็ทำให้เขาเห็นว่าเอ๊ะ ทำไมเวลาไปดูบ้านบริษัท Ray White เขาก็เจอ agent คนเดิม ๆ หรือบางทีที่ไปเขาก็จะเห็นการพูด การทักทาย และเทคนิคการขายที่แตกต่างของ agent แต่ละคน จนลูกลิงตัวเล็กพูดเปรย ๆ ว่า "เอ๊ะ หรือว่าหนูจะเป็น real estate agent ดี ท่าทางจะได้รายได้ดี เพราะบ้านแต่ละหลังก็ราคาแพง ค่า commission จะอยู่ที่เท่าไหร่" แล้วเขาก็จะพูดของเขาต่อไปเองว่า "เอ๊ะ ถ้าเราต้องขายบ้านเก่า ๆ พัง ๆ ถูก ๆ หละ ใครจะมาซื้อ" มันก็ทำให้เราได้พูดเรื่องเทคนิค "การขาย" กับลูกลิงว่าคนขายของที่ดีต้องขายได้ทุกอย่าง ทุกอย่างมันจะมีตลาดของมัน ทั้งตลาดล่าง ตลาดกลางและก็ตลาดบน daddy ก็เลยบอกว่า "ไหน หนูลองขาย face mask อันนี้ให้ daddy สิ" เขาก็พยายามคิดว่าข้อดีของ face mask ว่ามันดียังไง ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid ได้จริงไหม อะไรประมาณนี้ shhhh... "ถ้าอยากเป็นลูกจ้างเศรษฐี ให้เรียน MBA, แต่ถ้าอยากเป็นเศรษฐี ก็ต้องเรียนรู้เทคนิคการขาย" (Honda Ken, คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น) การที่เด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมอะไรแบบนี้ มันทำให้เด็กได้ใช้กระบวนการทางความคิด critical thinking เพราะทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวของมัน ลูกลิงได้เรียนรู้ว่า อ๋อ เดี๋ยวเราจะต้องทำ homeloan นะ แล้วทำไมต้องทำ homeloan แล้วทำไมต้องกู้ธนาคาร แล้วบ้านหลังเก่า ๆ มันจะมีคนมาซื้อเหรอ daddy daddy ก็ต้องอธิบายในเรื่องของพวก investment property ด้วยว่า บ้านหลังเก่า ๆ มันก็มีคนซื้อ ทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ เก็งกำไรได้ มันก็เป็น conversation ที่เด็ก ๆ ได้คิดได้เบิกเนตรในเรื่องพวกนี้ โชคดี เด็ก ๆ เริ่มโตแล้ว ไม่งอแงที่ต้องตะเวนนั่งรถดูบ้านกัน เขาก็เกิดการเปรียบเทียบว่า เออ หลังนี้เป็นแบบนี้นะ ถ้าให้หนูมาอยู่ หนูไม่อยู่นะ เออ หลังนี้น่าอยู่นะ ถ้า daddy ซื้อ หนูจะหิ้วกระเป๋าย้ายเข้ามาอยู่เลยนะ (เดี๋ยวก่อนนะลูก ไอ้หลังที่หนูชอบกัน มันก็เกิน budget ไปนิด) แต่ก็นั่นแหละ มันก็ทำให้เกิดการพูดคุย มีองค์ความรู้ ที่แน่ ๆ คือได้นั่งกินอะไรกันที่ cafe ว่างั้นเถอะ ก็เป็นกิจกรรมที่พวกเราต้องทำกันทุก ๆ วันเสาร์ ช่วงนี้ จนกว่าจะได้หลังที่พวกเราต้องการ แต่ที่ไปดู ๆ มา เราก็ยังไม่ได้ทำ pre-approved homeloan เลยนะ เพราะคิดว่ายังไม่ได้เจอหลังที่ถูกใจจริง ๆ หรือ suburb ที่ต้องการไปอยู่จริง ๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างแล้ว วันนี้วันอาทิตย์ daddy ก็คงต้องกรอก pre-approved homeloan application แล้วสินะ... เรามี investment properties 3 หลังก็จริง แต่ทุกวันนี้เราก็ยังเช่า apartment อยู่ ยังไม่ได้ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง และพวกเราก็ plan เอาไว้ว่าเราจะต้องซื้อบ้านที่เป็นของตัวเองและก็เลิกเช่าซะที ก็กะว่าจะต้องซื้อให้ได้ภายในปีนี้ ก่อน 31 Dec 2020 มันจะได้เสร็จ ๆ ไป จบ ๆ ไปเป็นเรื่อง ๆ เราจะได้เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น
วันก็เป็นเป้าหมายของชีวิตที่เราเขียนเอาไว้ในสมุด A5 Note Book ของเราทุก ๆ เช้าด้วย :) การเงินเราพร้อม อะไรหลาย ๆ อย่างเราเริ่มลงตัว เราก็อยากจะมี family home เป็นของตัวเอง บ้านในฝัน อะไรก็ว่าไป หลังจาก Covid เริ่มคลายตัว พวกเราก็พอกันออกไปดูบ้านทุก ๆ วันเสาร์ ไปกันเป็นครอบครัวทั้ง 4 คน หลังที่พวกเราจะซื้อทุกคนต้องชอบด้วยกันทั้ง 4 คน ถ้าคนไหนไม่ชอบหรือคัดค้านเราก็จะไม่ซื้อเป็นอันขาด เราจะอยู่กันเป็นครอบครัว มันก็ต้องมีความสุขกันทั้งหมด 4 คน เด็ก ๆ ก็มีสิทธิ์ในการออกความคิดเห็นทุกคน หลังจากที่ไป inspect บ้านมาแล้วหลายอาทิตย์ และแล้วพวกเราก็เจอหลังที่ถูกใจ ราคาจับต้องได้ มีพื้นที่ให้เราได้ทำสวน ปลูกผักกินเอง ideally เมื่อเราซื้อบ้านเสร็จแล้ว เราก็ต้องย้ายเข้าไปอยู่กันเลยใช่ป๊ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งจ่ายค่าเช่าอยู่แบบนี้ แต่ลูกลิงตัวโตก็ชอบ apartment ที่เราอยู่กันเหลือเกินเพราะมันอยู่ใกล้เพื่อน ๆ เขา เหตุผลเขาแค่นี้เลยจริง ๆ เรื่องอื่นไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่เรื่องเพื่อนเนี๊ยะ โอ๊ยอะไรก็ไม่รู้ เด็กวัย teen ก็ติดเพื่อนเป็นเรื่องปรกติ เราก็บอกว่า หนูก็มาหาเพื่อนได้หนิ เดี๋ยว daddy ก็ขับรถมาส่งมาได้ 10-15 นาที แต่เขาก็บอกว่า มันไม่เหมือนกัน ถ้าเราอยู่ที่อยู่ปัจจุบัน เขากับเพื่อน ๆ ก็นั่งรถบัสฟรีไปหากันได้ หรือบางคนก็เดินไปหากันได้ เอาง่าย ๆ คือเขายังไม่อยากย้ายว่างั้นเถอะ ลูกลิงก็บอกว่าทำไมเราไม่ซื้อตึกนี้ไปเลย โอ๊ว daddy ไม่มีกำลังหรอกลูก ตึกใน Wollongong ติดทะเล ราคาแพงมาก และเราก็อยากได้พื้นที่ในการทำสวนด้วย เพราะถ้าเราจะย้ายบ้านกันคราวนี้ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะย้ายบ้านกัน บ้านหลังนี้จะเป็น family home หลักของพวกเรา จะไม่ขาย จะไม่ย้ายไปไหนอีก ถ้าจะมี holiday home อยู่ที่อื่นบ้าง นั่นก็คือ holiday home ไม่ใช่ family home ที่เราจะอยู่กันแบบถาวร เราก็อยากจะได้สวน ได้พื้นที่ semi-retire มาก็จะได้นั่งทำสวน ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ไป ทุก ๆ เสาร์อาทิตย์ อะไรก็ว่าไป แต่บางทีหัวอกของคนเป็นพ่อ เราก็ต้องฟังเสียงเรียกร้องและความคิดเห็นของลูกด้วย ถ้าอันไหนที่เราพอจะผ่อนปรนได้ เราก็จะผ่อนปรน เราก็เลยเกิดไอเดียว่า เอางี้ 1. ถ้าเราซื้อบ้าน เราก็ไม่จำเป็นต้องย้ายเลยทันทีก็ได้ เราก็อาจจะปล่อยให้คนเช่าไปก่อน 2. เราก็จะอยู่ที่ apartment ที่พวกเราเช่าอยู่ปัจจุบัน ไปจนกว่าลูกลิงจะจบ year 12 ซึ่งก็ปีหน้า เพราะพอจบ year 12 เพื่อน ๆ ลูกลิงแต่ละคนก็คงจะแยกย้ายกันไปเรียนมหาลัยกันแล้ว ยังไงมันก็ต้องแยกย้ายกันอยู่ดี 3. แล้วพวกเราก็ค่อยย้ายปีหน้า หลังจากที่ลูกลิงจบ year 12 อะไรประมาณนี้ เราก็เลยให้ลูกลิงกดเครื่องคิดเลขเลยทันที เราจ่ายค่าเช่า week ละ $330 ถ้าเช่าต่ออีก 1 ปี $330 x 52 weeks = $17,160 ต่อปี OK นะ เราก็สู้ไหว ถ้าทำเพื่อลูก บางทีมันก็ต้องทำ แต่ถ้าเราซื้อบ้านแล้ว บ้านที่เราซื้อแล้วปล่อยให้คนเช่า $350/week มันก็จะมา cover ค่าเช่าที่พวกเราเช่าอยู่ดี ซึ่งมันก็ OK เรามีเพื่อนที่รู้จัก บางคนก็ทำแบบนี้ คือมีบ้านเป็นของตัวเองแหละ แต่ปล่อยให้คนเช่า แล้วตัวเองก็ไปเช่าบ้านใกล้ ๆ โรงเรียนลูก เพราะคุณพ่อคุณแม่บางคนที่เคร่งศาสนาหน่อย เขาก็อยากที่จะส่งลูกไป private school ตามความเชื่อทางด้านศาสนาของเขา เมื่อวานพวกเราก็เลยนั่งคุยกัน ก็คงจะต้องเป็นอะไรแบบนั้น อย่างน้อยพวกเราก็จะได้มีเวลาในการเตรียมตัวเอาของทยอยออกไปบริจาค เพราะเราจะไปแต่ตัว เสื้อผ้า ทีวีและเครื่องซักผ้า เราต้องการย้ายกันแบบง่าย ๆ เฟอร์นิเจอร์อะไร เดี๋ยวเราจะไปซื้อเอาใหม่ เพราะเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ เราซื้อมาตั้งแต่ 2001 ซื้อมา brand new ก็จริง แต่มันก็ 19 ปีแล้วนะ มันคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วจริง ๆ ภรรยาก็บอกว่า ตู้เย็นก็จะไม่เอาไป เพราะอยากได้ใหญ่กว่านี้ อะนะ ว่ากันไป เราก็ต้องตามใจเขานิดหนึง ชีวิตคู่จะได้ไม่ต้องมีปัญหา จะได้บ้านหรือไม่ได้บ้าน เราไม่รู้ แต่วันนี้ Sunday 02 Aug 2020, เราเสนอ offer ไปแล้ว ที่ real estate agent คิดว่าพรุ่งนี้ วันจันทร์อาจจะได้รับการติดต่อกลับมา ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกเราก็จะหากันไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ วันเสาร์มันกลายเป็นกิจกรรมครอบครัวไปแล้วแหละ ก็หวังว่าจะได้ภายใน 31 Dec 2020 ตามที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่ถ้าได้ ก็จะยังคงไม่ย้าย เพราะลูกลิงตัวโตขอมา เขาอยากอยู่ใกล้เพื่อน ๆ เขาว่างั้นเถอะ (เจอเพื่อนจันทร์ - ศุกร์ ที่โรงเรียนยังไม่พออีกเหรอลูก เฮ้อ...) |
บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณพ่อลูก 2 Archives
June 2024
|