บ้านหลังที่ 2 ที่ WA:
- settlement แล้วเรียบร้อย เมื่อวันที่ 16 Feb 2023 - tenant จะย้ายเข้า 28 Feb 2023 เลื่อนจาก 27 Feb 2023 เพราะหา cleaner มา clean บ้านไม่ได้ cleaner มา clean บ้าน 25 Feb 2023 - เปลี่ยน stove ใหม่ให้คนเช่า ราคา $700 กว่า ๆ จำไม่ได้ ราคามันอยู่ใน email นี่แหละ - ค่าเช่า $450/week, ที่ WA สามารถ review ค่าเช่าได้ทุก ๆ 6 เดือน แต่ขึ้นห้ามเกิน $30/week - ดอกเบี้ย RAMS: 5.24% คิดเป็น $1,632.69 ต่อเดือน (เขาคิดเป็นเดือน) - ค่า property management fee: $8.8% ของค่าเช่าบ้าน ถ้าอยากจะคำนวณว่าได้ passive income หรือเปล่า ให้คำนวณแบบนี้คร่าว ๆ 1. ค่าเช่า $450/week x 52 weeks เพราะ 1 ปีมี 52 weeks แล้วหารด้วย 12 เดือน = $450 x 52 / 12 = $1,950 ต่อเดือน 2. ค่า property management fee: $8.8% = $1,950 คูณ $8.8 หาร 100 = $1,950 x $8.8 / 100 = 171.60 ต่อเดือน 3. ดอกเบี้ย $1,632.69 ต่อเดือน (เดี๋ยวเรา negotiate ได้กับ RAMS) 4. เดือนหนึ่งจะมี passive income ประมาณ = $1,950 - $1,632.69 - $171.60 = $145.71 หรือ $33.625/week passive income $33.625/week อาจจะดูไม่เยอะ แต่ถ้าอีก 6 เดือนเราขึ้นค่าเช่าหละ และถ้าเราลดดอกเบี้ยจาก 5.24% มาเป็น 5.19% หละ และทุก week หรือทุกเดือนดอกเบี้ยมันต้องลดอยู่แล้ว ไม่ใช่ $1,632.69 ทุก ๆ เดือน เพราะว่าทุก ๆ week เราจ่ายเกินเข้าบัญชี $33.625/week ดังนั้นดอกเบี้ยก็ต้องลด $33.625/week อันนี้คือ 1 หลัง อันนี้คือเงินที่เรานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บ้านเฉย ๆ เงินก็เข้าบัญชี แล้วถ้าเราประมาณ 40 หลังหละ ก็ประมาณ $33.625 x 40 = $1,345/week อันนี้คือคิดคร่าว ๆ แบบหยาบ ๆ นะครับ อันนี้คือคิดคร่าว ๆ แบบหยาบ ๆ แบบบ้านที่ยังคงต้องกู้ ยังคงต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ เราก็มีบ้านที่ 4 ที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแล้ว ไม่มี mortgage แล้ว - บ้านที่อยู่เอง x 1 - บ้าน investment properties x 3 ไม่ต้องถามว่าอีก 6 เดือนจะขึ้นค่าเช่ามั้ย ขึ้นแน่นอนครับ แต่อาจจะไม่ถึง $30/week หรอก สัญญาว่าจะไม่ขูดรีด ขูดเนื้อใคร ส่วนดอกเบี้ยจาก RAMS 5.24% ตอนนี้ mortage broker คนใหม่เสนอ refinance กับ NAB: 5.19% ก็คงไม่เปลี่ยนหรอกครับ เหนื่อยและไม่มีเวลา เพราะกับ RAMS เราแค่ email ไปหา manager แล้ว negotiate ได้เลย ไม่ต้องกรอกอะไร ไม่ต้องเซ็นอะไร เพราะเรามี home loan อยู่ที่ RAMS เยอะ แต่ตอนนี้กำลังจะซื้อหลังที่ 3 ที่ WA ก็คิดว่าน่าจะใช้ NAB นะครับคราวนี้ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างจาก RAMS ฝากเอาไว้ให้เป็นแรงบันดาลสำหรับใครหลาย ๆ คนนะครับ คนไทยประสบความสำเร็จได้ คนไทยอยู่ที่ไหนก็ประสบความสำเร็จได้ จากศูนย์... ถึงหมื่นร้อยพัน 21/02/2023 หลักในการซื้อบ้านเพื่อการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ของเราเน้น passive income ไม่ได้เน้น capital grow เพราะไม่ได้กะจะขาย แต่ capital grow ก็สำคัญอยู่เพราะต้องดึง equity ออกมาในการซื้อหลัง ๆ ต่อไป แต่นั่นเดี๋ยวเอาไว้ blog ต่อ ๆ ไป หลักในการซื้อบ้านเพื่อการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่ stage ของการลงทุนของแต่ละคนว่า savvy มากน้อยแค่ไหน แล้วก็แล้วแต่เงินในกระเป๋าด้วยย หรือ equity จากบ้านหลังอื่น ๆ 1. การซื้อเพื่อมี passive income คือซื้อบ้านที่มีคนเช่าอยู่แล้ว จะได้ passive income from day 1 2. ถ้าไม่มีคนเช่าอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร ช่วงนี้หาคนเช่าง่ายหน่อยเพราะคนกำลังหลั่งไหลเข้าประเทศออสเตรเลีย ทุกคนต้องการที่พัก ที่อยู่อาศัย 3. ของเราตอนนี้อยู่ใน stage ที่เน้นซื้อบ้าน ไม่เน้นซื้อ apartment หรือพวก villa ที่ต้องจ่ายค่า strata fee หรือส่วนกลาง การลงทุนใน apartment ไม่ผิดนะครับ เราก็ซื้อเอาไว้เยอะแล้ว พอแล้ว อิ่มตัวแล้วกับ apartment เพราะค่าส่วนกลางหรือ strata fee ก็ทำให้ passive income เราลดลงเหมือนกัน แต่นั่นแหละ คนเราก็ต้องเริ่มต้นจากที่ไหนซักแห่ง หัดเดินก่อนที่วิ่ง 4. บ้านเราเน้นบ้านที่สร้างจากปี 2000 เป็นต้นมา จะได้ไม่เก่ามาก ไม่ต้องซ่อมอะไรเยอะ และที่สำคัญคือไม่มี abestos (abestos คือสารเคมีที่อยู่ใน material การสร้างบ้าน ตอนนี้ห้ามใช้มาแล้วประมาณปี 2000 เป็นต้นมา abestos คือสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ดังนั้นใครที่อยู่บ้านที่สร้างมาก่อนปี 2000 อย่าลืมเรียกช่างมา check) 5. ณ ตอนนี้เรากับภรรยาเน้นบ้านที่ Perth WA เพราะอนาคตอาจจะไปอยู่เอง เพราะ Perth ใกล้สิงคโปร์และเมืองไทย (ภรรยาเป็นคนสิงคโปร์) Perth กับสิงคโปร์บินแค่ 4 ชั่วโมง บินไปเสาร์-อาทิตย์ยังได้เลย 6. เราเน้นบ้านไม่ไกลจากทะเลมาก เพราะปล่อยเช่าง่าย หรือจะไปอยู่เองก็สะดวก 7. เราซื้อรัศมี 45 นาทีจาก Perth เท่านั้น ถ้าออกไปไกลกว่านี้ก็ไม่ซื้อ เพราะถ้าเผื่อไม่อยู่เองมันก็เดินทางไม่สะดวก 8. การเลือกซื้อบ้านที่ Perth ของพวกเราค่อนข้างแพลนเพื่ออนาคตในการไปอยู่เองด้วย อย่างน้อยก็เป็นตัวเลือกของพวกเรา ถ้าเป็นที่อื่นก็อาจจะ no สน no care ขอให้มีคนเช่าเป็นพอ ขอให้มี passive income เป็นพอ 9. ของเราต้องการ landsize 300 ตารางเมตรขึ้นไปเท่านั้น เพราะถ้าเล็กกว่านี้ ราคาบ้านก็จะไม่ค่อยขึ้น equity อาจจะไม่ได้เยอะ ถ้าราคาบ้านขึ้น equity ขึ้น เราก็ดึง equity ออกมาแล้วเอาไปซื้อหลังต่อ ๆ ไปได้ครับ :) หลัก ๆ เราก็จะดู: - landsize - ปีที่สร้าง - location - มีคนเช่าอยู่แล้วหรือไม่มีคนเช่า Note: เราไม่ได้พูดถึงบ้าน off-the-plan เลย เดี๋ยวจะมาบอกว่าทำไม โดยส่วนตัวแล้ว การลงทุนในอสังหา เราชอบซื้อบ้านที่มีคนเช่าอยู่แล้วครับ
อันนี้คือ ideal scenario เลย แต่เนื่องด้วยช่วงนี้ vacancy rate บ้านเช่าค่อนข้างต่ำ คนแย่งกันหาบ้านเช่า ต่อให้ตอนที่ซื้อยังไม่มีคนเช่า เราก็น่าจะหาคนเช่าได้ก่อนที่เราจะ settlement ทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ property manager ในการโฆษณาหาคนเช่า บ้านหลังที่เราเพิ่งซื่อที่ WA เรา sign contract 14 Dec 2022 และขอ settlement ภายใน 60 วัน (เราบอกทนายได้ใน contract) แทน 45 วัน ส่วนตัวแล้วชอบ 60 วัน มันกำลังดี เพราะการงานเราก็ยุ่งหัวฟูอยู่แล้ว ไม่มีเวลาเซ็นเอกสารอะไรมากนัก เราไม่ใช่ full-time property investor ก็เลยเอา 60 วันนี่แหละ เหมาะกับเรา คนส่วนมากเลือก 45 วัน เพราะรีบ ๆ อยากได้บ้าน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติครับ เรานี่แหละที่ไม่ปกติ ชอบ 60 วัน เพราะในนามของบริษัทและ trust ซึ่งต้องเซ็นเอกสารเยอะหน่อย sign contract: 14 Dec 2022 expected settlement: 13 Feb 2023 แสดงว่าบ้านจะเป็นชื่อเรา 13 Feb 2023, เราจะได้กุญแก 13 Feb 2023 แต่เราสามารถ negotiate กับเจ้าของเดิมได้นะครับ (ผ่าน agent) ว่าเราขอเอา property ไป list ให้คนเช่าได้มั้ย ทำ open house ได้มั้ย ส่วนมาก็ไม่ค่อยมีปัญหาแหละครับ เราสามารถมี prospect tenant ได้ตั้งแต่เรายังไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านนะครับ 1st week of Feb 2023, agent เข้าไปปะแป้งแต่งผม ทำให้ property ดูดีนิสตส์นึง Sat: 04 Feb 2023 ทำ open house (20 คน) Tue: 07 Feb 2023 มีคนยื่น application มา 8 คน แล้ว agent จะส่ง listed มาให้เราเลือกว่าเราจะเลือกคนไหนให้เช่า เมื่อเราเป็นฝ่ายเลือก ชีวิตดูดีเสมอ ดีกว่าเป็นฝ่ายถูกเลือก พอ settlement เสร็จ เราก็มี tenant แล้วทันที และที่สำคัญก็คืออย่าเป็น landlord ที่เรื่องมาก ปล่อยให้ property manager ทำงานไป ถ้าเขาบอกว่าอะไรควรเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยน เพื่อที่ property manager จะได้ทำงานง่าย ๆ คนเช่าก็ happy ด้วย เอาใจเขามาใส่ใจเราดีที่สุด บ้านหลังนี้ 527 ตารางเมตร หลังบ้านค่อนข้างกว้าง และคนเช่าที่เราเลือกให้เช่าบอกว่าอยากจะทำสวน ทำ garden ซึ่งดอกไม้ ต้นใม้ที่เขาปลูกก็จะเพิ่มมูลค่าให้บ้านเรา property manager ก็แนะนำว่า: - ไม่คิดค่าน้ำเขา 100% เพื่อที่เขาจะได้รดน้ำ ทำสวน (เราก็เห็นด้วย) - ซื้อปุ๋ย ซื้ออะไรให้เขาหน่อยก็ดี (เราก็เห็นด้วย) การที่เรามีคนช่วยเราคิด งานมันก็ flow ครับ เล็ก ๆ น้อย ๆ เราไม่ต้องทำเอง ไม่ต้องคิดเอง แค่เราให้ความร่วมมือกับ property manager ก็พอ Property manager เจ้านี้คิดค่าบริการที่ 8.8% แพงอยู่นะ แต่ถ้าบริการดีก็ OK บวกลบคูณหารแล้ว ถ้าเป็น positive cashflow income อยู่ ก็พอแล้วครับ เราไม่ต้องควักกระเป๋า ปล่อยให้ property มัน generate income ของมันไป แล้วเราจะได้ตั้งหน้าตั้งตาหา property หลังต่อไป.... WA... here we come :) จากศูนย์ถึงหมื่นร้อยพัน 07/02/2023 แต่ละคนมีความฝันที่แตกต่างกัน
แต่ละคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เราก็ไม่ต้องเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับใคร หลาย ๆ คนเริ่มต้นลงทุนในอสังหาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งก็ดีไป เรายินดีด้วย บางคนอยู่ในวงการอสังหา 10+ ปี ซึ่งเราก็ยินดีด้วย เราเริ่มต้นค่อนข้างช้า หาเงินคนเดียว แต่กินกัน 4 ปาก และอีกหลาย ๆ ปากที่เมืองไทย ชีวิตไม่ง่าย ภรรยาเราเพิ่งมาช่วยงานบริษัทเมื่อตอนลูก ๆ เข้าเรียน high school เอง ก่อนหน้านั้นเขาก็ทำหน้าที่ดูแลลูก ๆ แบบ full-time มีช่วยงานบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เต็มตัว บ้านหลังแรกที่เราซื้อ 14 Nov 2017 เพิ่งซื้อได้ไม่นาน ก็เพิ่งจะมีบ้านหลังแรกในออสเตรเลียเมื่อแค่ 5-6 ปีที่แล้วนี่เอง asset อะไรต่าง ๆ อาจจะไม่ได้เยอะเท่าคนที่เขาอยู่ในวงการมานานกว่าเรา ทุกคนมีความฝันที่แตกต่างกัน หลาย ๆ คนอาจจะอยากเป็นบ้านหลังใหญ่ ๆ โต เป็นคฤหาสน์ แต่เราไม่ต้องการ เราต้องการบ้านที่อยู่กันแค่ 2 คนเรากับภรรยาก็พอ เพราะเราไม่ต้องการอยู่เป็นหลักแหล่ง ชีวิตที่แพลนกันเอาไว้คือ: - 3 เดือนออสเตรเลีย - 3 เดือนเมืองไทย - 3 เดือนสิงคโปร์ - 3 เดือนเที่ยวต่างประเทศ ไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ดังนั้นบ้านหลังใหญ่ไม่เคยมีอยู่ในหัว เพราะไม่เคยคิดอยู่เป็นหลักแหล่ง และอยากจะใช้เวลาอยู่ที่วัด ปฏิบัติธรรมมากกว่า ขอให้มีเงินบัญชีเยอะ ๆ หรือมีเงินไหลเข้ามาในบัญชีเรื่อย ๆ ทุก ๆ 2 weeks เป็น passive income เราก็พอใจแล้ว เราค่อนข้างมีตัวเลขที่ชัดเจนอยู่ในหัวว่าเราต้องการ passive income ต่อ week อยู่ที่เท่าไหร่ และ plan ค่อนข้างชัดเจนว่าจะต้องทำอะไร step-by-step; 1-2-3-4 เพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น ทุกอย่างมีการวางแผน เป้าหมายสำหรับการลงทุนของเราตอนนี้คืออยากมี investment property ที่เป็น duplex ซักหลัง สองหลัง บ้านติดกัน ปล่อยให้คนเช่าทั้ง 2 ได้ 2 income แต่ตอนนี้เรายังเดินไปไม่ถึงจุดนั้น ตอนนี้เก็บเล็กผสมน้อยไปก่อน ทำตัวเป็น "ป่าล้อมเมือง" ไปก่อน ภาพนี้จะเป็นภาพที่เราแปะเอาไว้ Googe Keep เก็บเอาไว้ดูเป็น "เป้าหมาย" เอาไว้พุ่งชน วันนี้เราอาจจะเดินยังไม่ถึงจุดนั้น แต่เราจะเดินไปเรื่อย ๆ เหนื่อยเราก็จะพัก แต่เราจะไม่หยุดเดิน ซักวันมันก็จะถึงเป้าหมายของเราเอง เราก็ set เวลาเอาไว้อยู่ว่าต้องถึงจุดนั้น ๆ ภายในกี่ปี ...ซักวันมันก็ต้องมีวันของเราบ้างแหละ... จากศูนย์ถึงหมื่นร้อยพัน From Zero to Hero การลงทุนของเราค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น
เราไม่ได้เน้นที่ capital growth เพราะเราไม่ได้กะจะขายอยู่แล้ว แต่ถ้ามี capital growth เข้ามาก็ดี เราก็สามารถดึง equity ออกมาเพื่อใช้ equity ตัวนี้ในการซื้อบ้านหลังต่อไป เมื่อเราไม่ได้เน้นที่ capital growth มากนัก เราก็ต้องหักห้ามใจจากการซื้อบ้าน off the plan ซื้อได้ แต่อย่าเยอะมากจนเกินไป เราก็ต้องหักห้ามใจ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการตลาด ต้องไม่โดนป้ายยาบ่อย :) การซื้อบ้าน off the plan คือการซื้อสินค้าในราคาปลีก ซื้อสินค้าในราคา at the end of the line product ซึ่งหมายความว่า: - developer ทำกำไรไปแล้ว - real estate agent ทำกำไรไปแล้ว เราเน้น positive cashflow income ตั้งแต่ day 1 นั่นคือซื้อ established home ที่มีคนเช่าอยู่แล้ว อาจจะหายากหน่อย แต่มันก็มีครับ ดูไปเรื่อย ๆ ที่ realestate.com.au สาเหตุที่เราเน้นที่ positive cashflow income ก็เพราะเราต้องการให้ positive cashflow income เหล่านี้เข้ามาแทนที่ active income ที่เราได้จากงานประจำหรือธุรกิจที่เราทำอยู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่ positive cashflow income เหล่านี้สามารถ replace income ที่เราได้จากงานประจำหรือการทำธุรกิจ นั่นก็หมายถึง positive cashflow income เหล่านี้สามารถ fund lifestyle เราได้แล้ว เราสามารถมีชีวิตอยู่แบบไม่ต้องทำงานก็ได้ เพราะทุก ๆ 2 weeks เราก็ได้ positive cashflow income เข้ามาในบัญชี การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศออสเตรเลีย เราสามารถบอกให้ agent โอนเงินเข้าบัญชีเราเดือนละครั้งหรือเดือนละ 2 ครั้งได้ เราก็ให้ agent โอนเงินเข้าบัญชีเดือนละ 2 ครั้ง ก็วันที่ 15 ของเดือนและสิ้นเดือน (30/31, 28/29) ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดีมากที่ทุก ๆ 2 อาทิตย์เรามีเงินเข้ามาในบัญชี แต่อย่าลืมว่าเราก็ต้องจ่าย mortgage นะครับ ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ค่าเช่าต้อง cover ค่า mortgage ถ้าไม่ cover มันก็จะกลายเป็น negative cashflow เลยทันที ซึ่งเราไม่ต้องการ negative cashflow คือเราต้องควักเงินเพิ่ม ซึ่งเราจะไม่ทำเป็นอันขาด เราไม่ต้องการซื้อบ้านมาเพื่อเป็นภาระ ซื้อมาเพื่อรอให้ราคาขึ้นแล้วขายต่อ แบบนั้นไม่ใช่ เราซื้อเพื่อเก็บและก็เพื่อเอา passive income จะมากจะน้อย ก็ต้องเป็น positive cashflow ต่อให้เป็น positive cashflow แค่ $1/week ก็ยังถือว่าเป็น positive cashfow คือมีเงินเข้ามาในบัญชี ไม่ใช่ negative cashflow ที่เงินออกจากบัญชี ที่เราต้องไป top up แบบนั้นไม่เอา ส่วนใครที่ซื้ออสังหาแล้วต้อง top up เงินทุก ๆ week หรือเป็น negative gearing ก็ไม่ว่ากัน สะดวกใครสะดวกมัน established homes ที่เราซื้ออาจจะไม่ได้ flashy เหมือนบ้านใหม่ บ้าน off the plan ที่หลาย ๆ คนลงโอ้อวดกันใน social media ว่าบ้านตัวเองสวย บ้านตัวเองหรู แต่มันทำเงินครับ เราซื้อมาเพื่อเป็น passive income ไม่ได้ซื้อมาเป็น trophy ไว้โอ้อวดคน หรือถ้าจะมีก็มีแค่ 1-2 หลังพอ อย่าเยอะมาก ของเราก็แอบมีเหมือนกัน ที่ซื้อไว้ที่ Surfers Paradise (7-Star hotel) อันนี้ให้รางวัลชีวิต เอาแค่ 1-2 หลังพออย่างที่บอก :) Anyway... investment strategy ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครที่ชอบซื้อมาขายไป ก็ไม่เป็นไร ก็ทำไป ใครก็ชอบ passive income เพื่อ fund your lifestyle ก็ทำไป เราต้องการแบบหลัง ต้องการ semi-retire ต้องการใช้ชีวิตแบบ worry free เรายังมีอะไรหลายอย่างในชีวิตที่เราอยากจะทำ แบบไม่ต้องมา worry เรื่องการทำงาน ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องมานั่งโดนกดดันจากลูกค้าเรื่องการทำ case อะไรต่าง ๆ นานา ชีวิตเรือจ้างก็ใช่ว่าจะสบายนะครับ งานของ "J Migration Team" เงินมันเยอะจริง ไม่เถียง แต่เราก็โดนกดดันหลายอย่างจากลูกค้าเหมือนกัน ชีวิตไม่ง่าย ไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่คนภายนอกคิด แต่... anyway... นั่นมันคือชีวิตของ "เรือจ้าง" ถ้าเป็น chef แล้วทนความร้อนของกระทะ ของไฟไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็น chef ฉันใด ถ้าทนแรงกดดันของชีวิต "เรือจ้าง" ไม่ได้ หรือไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ บางทีเราก็ต้องหาอะไรอย่างอื่นทำ แต่ก่อนที่จะหาอะไรอย่างอื่นทำ เราก็ต้องหา income ตัวใหม่ ซึ่งก็อาจจะเป็น passive income ก็ได้ เข้ามา replace income ตัวปัจจุบันอยู่ เพราะชีวิตก็ยังคงต้องกินต้องใช้ passive income ลองศึกษาหาความรู้ดูนะครับ หนังสือดี ๆ มีให้อ่านเยอะ โดยส่วนตัวเราก็อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ มันได้อรรรสในการอ่าน มันได้อ่านจาก original หนังสือไทยที่แปล ๆ กันออกมา ส่วนมากก็จะออกมาค่อนข้างช้า และบางทีเวลาแปลก็ใช้คำศัพท์แปลก ๆ ซึ่งเราไม่อิน Real estatement agent คือคนขายบ้านนะครับ หน้าที่ของเขาคือ "ขายบ้าน" เขาไม่ใช่ financial advisor ต่อให้เป็น financial advisor ก็ตามเถอะ เราก็ต้องดูด้วยว่า "เขาทำได้ในสิ่งที่เขาแนะนำแล้วหรือยัง" โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบศึกษาเองครับ เดินไปที่ Dymocks แล้วซื้อหนังสือมาอ่านเอง อ่านเองศึกษาเอง เพราะเราเป็นคนชอบอ่าน อ่านเสร็จก็นำเอามมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง หนังสือบางเล่ม อ่านเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจจจะไม่เข้าใจ ไม่ get เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างยังไม่พร้อม พอเราได้เริ่มลงทุน แล้วกลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิม เออ... เฮ้ย... มันเข้าใจ มัน make sense แบบนี้ก็มีเหมือนกันครับ :) passive income จากอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่ง tool ที่หลาย ๆ คนใช้ในการ retire หรือ semi-retire จริตของใครมันอาจจะแตกต่างกัน ก็ลองศึกษากันดูนะครับ เราก็ได้แต่หวังว่า blog นี้ post นี้จะเป็น inspiration ให้กับใครหลาย ๆ คน ไม่มากก็น้อย ก่อนสิ้นปี 2022, ในที่สุด สุดที่รัก
หลังที่ 2; VIC 23/12/2022; ก่อน Christmas จะเป็นหลังสุดท้ายที่ออกสื่อ แต่จะไม่ใช้หลังสุดท้ายที่จะซื้อ ปี 2023 ก็จะยังทยอยซื้อไปเรื่อย ๆ เท่าที่แรงเรามี ไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นเข้าซื้อกันราคาเท่าไหร่ ได้ equity กันเท่าไหร่ post โอ้อวดกันเท่าไหร่ เราก็ซื้อเท่าที่แรงเรามี VIC ก็ยังเอื้อมได้อยู่ และเราก้ไม่ได้ซื้อในเขตหรูหราหมาเห่าอะไร หลังเล็ก ๆ 3 ห้องนอน VIC ก็น่าจะซื้อเก็บได้ปีละหลังอยู่ ก็มีคนดูแล portfolio ที่ VIC ที่เขารู้ requirement ของเรา ไม่ต้องคุยกันเยอะ VIC ก็น่าจะทยอยซื้อได้เรื่อย ๆ ทุกปี ถ้ายอดขายของ "J Migration Team" ยังเป็นแบบที่เป็นอยู่ ก็ต้องยอดขายไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ เดือน นอกจาก VIC เราก็คงเบนเข็มไปที่ WA WA มีก็แล้ว 2 หลังและก็จะทยอยเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ diversify ไปเรื่อย ๆ ที่โพสต์มาทั้งหมดเราไม่ได้หวังจะอวดอ้างใคร เราโพสต์ใน blog และพื้นที่ของเรา; johnpaopeng.com เพื่อที่จะเป็น inspiration ให้กับหลาย ๆ คน From Zero to Hero นั้นทำได้ ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยัน และอดทน แล้วฟ้าจะประทานพร ชีวิตคนเราหากมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้
ทุกการศึกษาหาความรู้ จะนำเราออกจากวงจรเดิม ๆ เราจากเด็ก IT; Computer Science ผู้ที่ไม่เคยคิดจะออกมาทำอะไรเองเลย ก็คิดว่าจะเป็นพนักงานในบริษัทไปเรื่อย ๆ ทำงานไปเรื่อย ๆ ไต่ corporate ladder ไปเรื่อย ๆ เพราะตอนที่ทำงานตำแหน่งสุดท้ายก็คือ Senior Software Enginner ได้ title "Senior" เพราะว่าทีม computer programmer มีแต่เด็ก ๆ จบใหม่ คนที่อยู่มาก่อนก็เลยต้องเป็น "senior" และเราก็ได้เป็น manager ของ IT department สรุปคือตำแหน่งสูงสุดของ IT department มีลูกน้องที่แก่กว่าเราถึง 10 ปี และก็บินไปสัมนาได้ทั่วโลก นึกอยากจะไปญี่ปุ่นก็ไป นึกอยากจะไป San Francisco ก็ไป ตอนนั้นเขามีงานสัมนา JavaOne ถ้าใครได้ไปนะ เท่มาก เพราะเป็นการรวมตัวของ Java programmer จากทั่วโลก สัมนา 1 อาทิตย์ สัมนาด้วย เที่ยวด้วย ทุกอย่างบริษัทออก เงินเดือนสูง มีบัตร credit สีทองใช้ คือมันเท่มากตอนนั้น ถ้าใครมีบัตรทอง แสดงว่าเงินเดือนสูง เด็ก ๆ วัยละอ่อนหนะน๊ะ คิดกันแค่นั้นเองจริง ๆ เราไม่เคยคิดจะออกมาทำธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง เพราะงาน IT ค่อนข้างมั่นคง เงินเดือนเยอะ และกลุ่มเพื่อนฝูงอยู่ในแวดวง IT มันคุยภาษาเดียวกัน มันคุยกันรู้เรื่อง ถ้าได้คุยเรื่อง IT, เรื่อง computer programming มันคุยได้ทั้งวันจริง ๆ มันเป็นอะไรที่ amazing มาก แต่เมื่อเราได้อ่านหนังสือ Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki ความคิดของเราก็เปลี่ยนไปทันที เราเริ่มวางแผนเรื่องการเงินและอนาคต ไม่ได้คิดจะทำงานเป็นพนักงานบริษัทไปเรื่อย ๆ เราเริ่มอยากออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เราตั้งเป้าเอาไว้เลยว่า เมื่อพร้อม เราก็จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มี positive cashflow income และสามารถ semi-retire ใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการได้ คำถามที่อยู่หน้า page ที่เราปักหมุดเอาไว้ "What if money was no object?" "ถ้าเงินไม่ใช่ตัวแปรในชีวิต เราอยากจะทำอะไร" hmmm... มันทำให้เรารู้ว่ามันทำได้จริง ๆ นะ ความมุมานะ เพียร และพยายาม ซื่อสัตย์ สุจริต และจริงใจ แล้ว "กฎธรรมชาติ" จะทำงานของมันเอง ทุกอย่างมีเหตุและผลของมัน ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้จริง ๆ จากวันนั้น ถึงวันนี้ เรามาไกลนัก ความไฝ่ฝันสูงสุดก็คือ "Financial Freedom", Financial Independent ชีวิตที่นึกอยากจะทำอะไรก็ได้ทำ แต่ต้องไม่ฟุ่มเฟือยนะ พฤติกรรมตำพริกละลายแม่น้ำก็คงไม่เอา นิยามของคำว่า Financial Freedom ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่ละคนสะดวกไม่เหมือนกัน สำหรับเราแล้ว Financial Freedom คือศักยภาพของการทำอะไรกับชีวิตที่เราไม่ต้อง worry เรื่องเงิน มันไม่จำเป็นว่าเราต้องเลิกทำงานหรือ 100% retire ไปเลย สำหรับแล้ว เราก็ยังทำงานตามปกติ มีแรง เราก็ทำไป จริง ๆ แล้วเราก็ Financial Freedom ตั้งแต่ 01 Jul 2020 แล้ว แต่ 2 ปีที่ผ่านมา เราก็ยังทำงานตามปกติ เพราะเราก็คิดว่าเรายังมีแรงอยู่ ก็ทำไป ก็แค่นั้นเอง จริง ๆ เราต้องซื้อบ้านที่เป็น family home ตั้งแต่ Nov/Dec 2020 แล้ว ถ้าซื้อตอนนั้นนะ ประหยัดเงินไปเยอะ ตอน Nov/Dec 2020 เงินพร้อม ทุกอย่างพร้อม แต่ paper อะไรหลาย ๆ อย่างไม่พร้อม จะเราต้องเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ หาคนเข้ามาช่วยดูแลเรื่อง bookkeeping อะไรต่าง ๆ นานา จากวันนั้น ถึงวันนี้ ทุกอย่างเป็นระบบ มันทำให้ชีวิตเราง่ายมากยิ่งขึ้น หลาย ๆ คนอยากอยู่ใน position ที่เราอยู่ ที่เราเป็น ดังนั้นทำไมเราจะทิ้ง opportunity ตรงนี้ไปหละ เราก็เลยยังคงทำงานตามปกติ ทำงานเหมือนชีวิตเป็นหนี้ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ แต่ผลลัพธ์ของการทำงานหนัก มันออกมาดีมาก ถ้าทุกคนตามอ่าน blog หรืออ่านใน website; johnpaopeng.com ก็พอจะเห็นประวัติการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของเรา เมื่อเสร็จเรื่องบ้าน family home, เราก็หันหน้ามาลงทุนในอสังหาอย่างจริงจัง ซึ่งตอนนี้ก็มี investment properties อยู่ทั้ง 4 รัฐ: NSW, QLD, WA และ VIC ปี 2023 เราก็จะยังคงลงทุนในอสังหาและตลาดหุ้นไปเรื่อย ๆ แต่ก็คงไม่ได้ออกสื่อเหมือนปี 2022 ปี 2022 ที่ออกสื่อก็แค่อยากจะเป็น inspiration ให้กับใครหลาย ๆ คนว่า "เฮ้ย มันทำได้นะ" ก็แค่นั้นเอง เราเขียน blog ในพื้นที่ของเรา ใน website ของเรา; johnpaopeng.com เราไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดอะไรยังไง ชีวิตเราเลยจุดนั้นมาแล้ว การลงทุน เราต้องทำเท่าที่กำลังเราไหว เราไม่ได้ลงทุนเพราะคนนั้นบอกว่ายังงั้น คนนี้บอกว่าอย่างนี้ แต่ละคนมีปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป หลาย ๆ คนอาจจะเห็นอะไรตามสื่อต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ที่คนนั้นคนนี้ซื้อบ้านได้กี่หลัง เท่านั้นเท่านี้ อะไรต่าง ๆ นานา นั่นก็เป็นเพราะเขามีปัจจัยที่แตกต่างไปจากเรานะครับ เราไม่ต้องเอาชีวิตเราไปเปรียบเทียบอะไรกับใคร ทุกคนมีจุดเริ่มต้นในเรื่องของการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป บางคนเริ่มต้นตอนอายุ 20s, บางคน 30s, บางคน 40s อะไรต่าง ๆ นานา แต่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนมากก็คือ "Financial Freedom" แหละ บางคนก็เรียกว่า Financial Independent Reitre Early (FIRE) แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบคำว่า "Retire Young, Retire Rich" ของ Robert Koyosaki มากกว่า และก็ lifestyle แบบ New Rich (NR) ตาม concept ของ Tim Ferris (4-hour work week) From Zero To Hero สามารถทำได้ ถ้าตั้งใจ ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ขยัน และอดทน เมื่อเราถึงที่หมาย เราก็ไม่เคยลืมที่ที่เรามา มันเหนื่อยมากนะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราทำงานหนักมากถึงมากที่สุด ในวันที่เหงื่อหวาน ในวันที่เราไม่ต้องกังวลอะไร หวังว่าต่อจากนี้ไป เราก็ไม่ต้องเป็น "เรือจ้างที่ต้องโดนโขลกสับ" อยู่ร่ำไป ขอเป็น "เรือจ้างที่เลือกผู้โดยสารได้" ก็แล้วกัน และที่สำคัญคือ "สงสารคนให้น้อยลง" (ยกเว้นคนที่มีบุญคุญกับเรา) อย่าให้คนอื่นเขาเอาเปรียบ และก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่เราขอเก็บเอาไว้แค่คนเดียวพอ ไม่ต้องเขียนทุกอย่างที่อยู่ในใจ มันมีอีกหลายหมื่อนร้อยล้านความรู้สึกที่ไม่สามารถเขียนออกสื่อได้ ก็เอาเป็นว่าจาก Zero to Hero มันทำได้ครับ ใครที่กำลังตามหาฟัน เราขอเป็นกำลังใจให้ สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังสืออ่าน เราแนะนำ 3 เล่มนี้: - Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki - The Richest Man in Babylon - 4-Hour Work Week ของ Tim Ferris ก่อนสิ้นปี 2022 เราก็ซื้อ investment property ที่ WA เพิ่มอีกหลังหนึ่ง
หลังจากที่ซื้อหลังแรกไปเมื่อ Oct 2022 3 เดือน 2 หลังทำได้ ถ้าวางแผนดี ๆ หรือจะ 3 เดือน 3 หลังก็ทำได้ ถ้าวางแผนการเงินดี ๆ หลังนี้เป็นหลังที่ 2 ที่ WA เราซื้อผ่าน buyer agent ประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากที่ได้ preapproval จาก RAMS เราก็บอก buyer agent เลยว่าเราต้องการ property แบบไหน ที่อยากได้ที่สุดคือ property ที่มีคนเช่าอยู่แล้ว ภายในไม่เกิน 5 วันทำการ เขาก็ส่งบ้านมาให้เราเลือก 3 หลัง เราก็ตัดสินเลย ไม่เกิน 30 นาทีว่าจะเอาหลังไหน เพราะ specification ค่อนข้างชัดเจนว่าเราต้องอะไร ยังไง แบบไหน หลังนี้ OK หน่อย เป็นบ้านอยู่ตรงหัวมุม ไม่ต้องไปวุ่นวายกับเพื่อนบ้านมาก และที่สำคัญคือพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ 527 ตารางเมตร (หลังแรก 224 ตารางเมตร) และได้ approval จาก town council ให้แบ่งโซนแล้วสร้างบ้านอีกหลังหรือหลาย ๆ หลังได้ ให้ redevelop ได้ ทุก ๆ คนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เราไม่ต้องเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับใครให้วุ่นวาย การลงทุนในอสังหาของเราเริ่มจากจุดเล็ก ๆ เริ่มจากจุดที่เราไหว เงินเรามีเท่าไหร่ เราก็ซื้อเท่านั้น เราไม่ทำอะไรเกินตัว เราไม่ได้ไปหยิบยืมหรือขอความช่วยเหลือจากทางบ้าน ทุกบาททุกสตางค์เราหาเอง จากสมองและสองมือที่มี เราเองก็เริ่มหัดเดินก่อน ก่อนที่จะวิ่งหรือก้าวกระโดด หากเราทำอะไรด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และจริงใจ ทุกอย่างจะออกมาดีเอง มันคือกฎของธรรมชาติ จุดเริ่มต้นในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาจจะแตกต่างจากคนอื่น คนอื่นเขาอาจจมีเงินซื้อบ้านหลังใหญ่โตไปเลย แล้วรอ equity ขึ้น นั่นสำหรับคนเงินหนา ซึ่งเราไม่ใช่ ราคาใน NSW โดยเฉพาะแถว ๆ Wollongong บอกได้เลยว่ายากส์มากถึงมากที่สุด ถ้าไม่มี backup ที่ดีจากเมืองไทยก็ยาก การลงทุนในอสังหาของเราเริ่มจากจุดเล็ก ๆ มดตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่ง อพาร์ทเมนท์หลังเล็ก ๆ 2 ห้องนอน เก็บหอมรอมริบ เก็บเล็กผสมน้อย ค่อย ๆ ซื้อสะสมอพาร์ทเมนท์หลังต่อ ๆ ไป เมื่อเวลามาถึง เราก็ค่อย ๆ ขยับขยายซื้อบ้านเป็นหลัง ล่าสุดก็ 527 ตารางเมตร ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้น เราไม่ต้องเอาเราไปเปรียบเทียบกับใครเขาให้ปวดหัว แค่รู้ว่าเป้าหมายเราคืออะไร และทำยังไงถึงจะถึงเป้าหมายนั้น และเป้าหมายนั้นจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าเราจะไปถึง วางแผนให้ดี ๆ ศึกษาให้ดี ๆ มันทำได้ หากเราคิดว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ mindset อย่าให้ใครดับฝันเราได้ คนที่จะดับฝันเราได้ มีแค่คนเดียว นั่นคือตัวเราเองเท่านั้น เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง หากฝันเราใหญ่มากพอ อุปสรรคเล็ก ๆ ระหว่างทางก็หยุดเราไม่ได้ "From Zero to Hero" จากสมองและสองมือที่มี แล้วพบกัน at the end of the rainbow นะครับ ซื่อสัตย์
สุจริต จริงใจ แล้วฟ้าจะประทานพร ในที่สุด สุดที่รัก investmnet property หลังแรกที่ WA ก็ได้มาอยู่ในอ้อมกอด หลังนี้ไม่ใหญ่มาก 225 ตารางเมตร แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสมาก มันคือจุดเริ่มต้น และที่สำคัญคือมันมีคนเช่าอยู่แล้ว Passive income from day 1. เดี๋ยวทิ้งไปอีก 1-2 ปี ถ้ามูลค่าบ้านขึ้น เราก็ดึง equity ของบ้านหลังนี้ออกมา แล้วใช้ equity ของบ้านหลังนี้ในการจ่าย deposit ในการซื้อหลังต่อไปได้ การลงทุนแบบนี้เราเรียกว่า "leap frog" และการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินตัวเองเลย เราก็เรียกว่า OPM (Other People Money) อ่านหนังสือพวก personal finance และ property investment นะครับ ศัพท์พวกนี้มันจะมาของมันเอง หนังสือบางเล่มอ่านครั้งแรกแล้วอาจจะงง ๆ แต่พออ่านรอบที่ 2, โอ๊วววววว เปิดกระโหลกมาก :) ทุกสิ่งอย่างไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ มันคือหยาดเหงื่อและแรงงานของเรา เงินทองไม่ได้หล่นลงจากฟากฝ้า เราไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง เราไม่ได้แบมือขอเงินจากทางบ้าน ทุกสิ่งอย่างเริ่มกันเอง 2 คน สามี-ภรรยา ไม่มีญาติ ไม่มีพี่น้องที่ประเทศออสเตรเลีย แต่มีสมองและสองมือที่ไม่เคยย่อท้อ สำหรับใครที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างแดน ไม่รู้นะ เรากับแฟนค่อนข้างเป็นเด็กเรียน ค่อนข้าง nerd ด้วยกันทั้งคู่ เราทั้ง 2 คนจบ IT เราจบ UOW, แฟนเราจบ QUT เราคิดว่าการศึกษาสำคัญมาก จะได้ใช้ในสิ่งที่เรียนมาหรือเปล่า เราไม่รู้ แต่ถ้าชอบอะไรให้เรียนอันนั้นไปเลย ไม่ต้องคิดนาน เราชอบ Computer Science เราก็เรียน Computer Science อันนี้ทำเพื่อตัวเองล้วน ๆ 110% เราเคยเรียนวิศวะครับ Engineering (Computing) แต่ไม่ชอบเรื่อง hardware เรียนไปเฉย ๆ เพียงเพื่อต้องการพิสูจน์ว่า "ฉันทำได้ ฉันเก่ง" และทำให้ครอบครัวมีความสุข คุณอาคุณย่ารักเรามากกกกกกก เราอยากให้คน 2 คนนี้มีความสุข คุณอากับคุณย่าจะได้อวดคนข้างบ้านได้ไงว่าหลานตัวเองเรียนวิศวะ (เราเติบโตมากับคุณอาและคุณย่า ไม่ได้เป็นเด็กกำพร้า แค่คุณอากับคุณย่าคิดว่าเอามาอยู่กับแก ชีวิตการเรียนน่าจะรุ่งกว่า ลองไล่อ่านดู blog เก่า ๆ ที่ johnpaopeng.com) แต่เรียนปีเดียวพอนะ เบนเข็มมา Computer Science เพื่อตัวเองล้วน ๆ 110% มีความสุขกับการเรียนมาก คะแนนออกมาดี เพื่อนฝรั่งขอลอกบ้านการเยอะแยะ :) เอ๊ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการซื้อบ้าน การลงทุนในอสังหา เกี่ยวครับ เพราะทุกอย่างคือ domino ทุกอย่างคือ jigsaw เล็ก ๆ ที่ขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไป ภาพที่ออกมาก็จะไม่สมบูรณ์ เพราะระบบการเรียนการศึกษาที่ประเทศออสเตรเลียสอนให้เราคิดเอง สอนให้เราใช้ critical thinking เยอะมาก ยิ่งเราได้เป็นอาจารย์สอนหนังสือด้วยแล้ว เราชอบระบบการศึกษาที่นี่มาก ทุกอย่างไม่มีถูกไม่มีผิด แค่เราจะมาเหตุผลมา support มันยังไง หากคนเราไม่มี critical thinking หากคนเราไม่ชอบขวนขวายหาความรู้ หากตัวเราเองไม่รักการเรียน เราก็คงไม่เรียนจนถึง 6 ใบปริญญาหรอก เราคงไม่ได้จบกฎหมายอิมมิเกรชั่น เราก็คงไม่ได้ทำ "J Migration Team" ถ้าไม่มี "J Migration Team" เราก็ไม่มีอสังหาพวกนี้ ทุกอย่างมันคือ jigsaw ทุกอย่างมันคือ domino มันคือฟันเฟืองที่บางคนอาจมองไม่เห็น คนอืนไม่เห็นไม่เป็นไร แค่เราเห็น เรารู้สึกคนเดียวก็พอ BTW, 100M (THB) ก็แตกไปแล้วเรียบร้อย แต่ไม่ใช่เงินสดในบัญชีนะครับ ไม่ต้องมาปล้น ไม่ต้องมาจี้ ไม่ต้องมาลักตัวเรียกค่าไถ่ เงินในบัญชีส่วนตัวมีไม่ถึง $3,000 AUD หรอก ทรัพย์สินส่วนมากมันก็อยู่ในรูปแบบของบริษัท ของ Trust ต่าง ๆ นานา เมื่อเราซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ฟ้าท่านจะประทานพร ไม่ต้องไปอ้อนวอน ขอนั่นขอนี่ที่ไหน ถ้าตัวเราเองศีล 5 ยังไม่ครบ เริ่มจากที่ตัวเราก่อน ก่อนที่จะอ้อนวอนฟ้าดิน เมื่อจิตเราบริสุทธิ์ ไม่ประสงค์ร้ายต่อผู้ใด เบื้องบนท่านรับรู้ เดี๋ยวท่านจะจัดสรรค์เอง เราก็ทำงานหนักของเราต่อไป หากตั้งใจจริง ทุกอย่างต้องออกมาดี และที่สำคัญอย่าโหมงานมากจนเกินไป 2-3 weeks ที่ผ่านงาน เราค่อนข้างโหมงาน นอนดึก ร่างกายเดี้ยง อะไรที่เกิน 10pm สำหรับเราคือดึก เพราะปกติตื่นเช้าอยู่แล้ว ร่างเรามีร่างเดียว หมั่นดูแลรักษานะครับ เดี๋ยวจะตายก่อนที่จะได้ใช้เงิน ทำงานหนักแล้วเอาเงินไปหาหมอก็คงมิงาม วันนี้ไม่รู้เขียนอะไรไปบ้าง ตื่นมาเช้า ๆ ก็เขียนอะไรไปเรื่อยเปื่อย จากเรื่องนั้น โยงไปเรื่องนี้ เกี่ยวกันบ้าง ไม่เกี่ยวกันบ้าง แต่มันคือ "อารมณ์พาไป" ที่เขียนทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่า "ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ แล้วฟ้าจะประทานพรนะครับ" เราไม่ได้เขียนเพื่ออวดอ้างสรรพคุณอะไร เพราะคนที่สำเร็จกว่าเราก็มีเยอะ เพียงแต่เขาอาจจะไม่ได้ออกมาแชร์ความรู้และวิธีการ เราก็แค่อยากจะบอกว่า ทุกคนทำได้ จากสมองและสองมือที่มือที่มี ทุกคนมีต้นทุนที่เท่ากัน นั่นคือ "ความเป็นคน" Note: ใครอยากรู้ราคาบ้านที่ WA ก็ให้เข้าไปดูกันได้ที่ https://www.realestate.com.au/ นะครับ 15/12/2022; Brisbane, QLD ก็ settlment ไปอีกหลังที่ Kangaroo Point
ปีนี้เราซื้อ property ที่ QLD ค่อนข้างเยอะ ภายในปีเดียว ถ้าเทียบกับรัฐอื่น 15/12/2022 ก็ปิด project ของ QLD สำหรับปีนี้อย่างสวยงาม ตอนนี้ขอมุ่งหน้าไปที่ Perth WA เพราะราคาที่ WA เป็นราคาที่จับต้องได้ง่าย สมมุตินะ เรามีเงินก้อนอยู่ก้อนหนึ่ง ก้อนนั้นอาจจะซื้อบ้านที่ NSW (Wollongong) ได้แค่ 1 หลังเดียว ซื้อที่ QLD ได้หลังครึ่ง (จะได้มองงเห็นภาพ) แต่ซื้อที่ Perth WA ได้ 2 หลัง ตอนนี้ก็เลยค่อนข้างเบนเข็มมาที่ WA ตอนนี้เริ่มหัดเดินเตาะแตะที่ Perth WA ก่อน ถ้าเก่งแล้วอาจจะซื้อที่อื่น ๆ ของ WA ด้วยเพราะบางที buyer agent ก็นำเสนอ property บางตัวที่อยู่แถว regional ด้วย แต่เราก็ยังไม่ถนัดอะไรแบบนั้น ตอนนี้ขอเน้นที่ Perth ก่อน เผื่อวันหนึ่งจะต้องไปอยู่เอง อย่างน้อยก็อยู่ใกล้เมือง ใกล้สนามบิน จะอะไรยังไงก็ตามแต่ เราก็ต้องทำการบ้านเรื่องของ WA ให้เยอะ ๆ เพราะ WA ค่อนข้างใหม่สำหรับเรา เพราะที่ผ่านมาเราก็ focus แค่ที่ NSW และ QLD เริ่มจากอะไรที่ใกล้ตัวก่อน 15/12/2022 ก็ปิด project ที่ QLD ชั่วคราว เราซื้อ property ที่ QLD ก็เผื่อเอาไว้ว่าถ้าลูกลิงตัวเล็กในอนาคตไปเรียนอะไรที่ QLD อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องไปเช่า แต่นั่นก็อีก 3 ปีข้างหน้า กว่าลูกลิงตัวเล็กจะจบ high school ไม่แน่ เขาก็อาจจะไม่อยากไป QLD แล้วก็ได้ Investment properties ทุกหลังที่ NSW และ QLD เป็น apartment หมดเลย ต้องจ่ายค่า strata fee ต้องจ่าย sinking fund Properties ที่ VIC และ WA ก็เลยจะเน้นบ้าน จะได้ไม่ต้องปวดหัวเรื่อง strata fee และค่าส่วนกลางอะไรต่าง ๆ นานา หลาย ๆ คนก็อาจจะบอกว่า อ้าว แล้วทำไมไม่ลงทุนบ้านเป็นหลังหละที่ NSW & QLD ตรง ๆ ง่าย ๆ คือเงินมันมีเท่านี้ เราก็ซื้อและลงทุนเท่าที่เราไหว ยังไงมันก็ได้ค่าเช่า ได้ passive income แต่ equity มันก็อาจจะช้ากว่าบ้านที่หลัง ก็ช่างมัน ไม่เป็นไร หัดเดิน ก่อนที่จะวิ่ง ทุกคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน แค่บ้านที่เราอยู่ ที่เป็น family home เป็นบ้านเป็นหลังก็พอใจแล้ว Properties ทั้งหมดที่ Australia ก็เป็น 2 หลัก บวกกับที่สิงคโปร์และเมืองไทยอีก เราก็พอใจในระดับหนึ่ง Properties ที่สิงคโปร์และเมืองไทย ปลอดหนี้ทุกหลัง จะมีหนี้ก็แค่ properties ที่ออสเตรเลีย แต่มันก็ยังถือว่าเป็น positive cashflow income อยู่ เพราะเรากู้ไม่เยอะ ดังนั้นค่าเช่า cover ค่าใช้จ่ายทุกหลัง เราไม่ต้องควักเงินเพิ่ม ไม่มีเข้าเนื้อ ปีหน้าก็คงไม่ได้ซื้ออะไรแบบ crazy เหมือนปีนี้ เพราะกำลังในการกู้เรากู้มาค่อนข้าง max แล้ว เดี๋ยว Sep 2023 ก็ต้อง settlement ที่ VIC อีก ดังนั้นปีหน้าเราก็ค่อนข้างระวังในการกู้ ทุกอย่างในชีวิต หากเรามีความตั้งใจจริง เราก็สามารถทำได้ อย่าให้ใครบอกเราว่าเราทำไม่ได้ อย่าให้ใครมาดับฝันของเรา คนที่จะดับฝันของเราได้ก็คือเราคนเดียวเท่านั้น ขอบคุณตัวเองที่มีความมุมานะ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ เป็นกำลังให้กับทุกคนนะครับ Note: อยากรู้ราคาบ้าน กดเข้าไปที่ realestate.com.au เลยครับ |
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
December 2023
|