ครอบครัวอื่นเป็นยังไง เราไม่รู้ แต่ครอบครัวเราเป็นนี้
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างลูกชายกับลูกสาว เนื่องด้วยเรากับภรรยาต้องเลี้ยงลูกกันเอง 2 คน เราไม่มีญาติ ไม่มีใครเลยที่ประเทศออสเตรเลีย พ่อแม่เราก็อยู่ที่เมืองไทย พ่อแม่ภรรยาก็อยู่สิงคโปร์ ตอนที่เรามีลูกคนแรกกัน เรา 2 คนก็ต้องเลี้ยงดูลูกกันเอง เหนื่อยมาก ยากมาก เรา plan กันว่าจะมีลูกคนเดียวก็พอ เพราะไม่มีคนช่วยเลี้ยง เราเองก็ต้องทำงาน แต่พอลูกชายเริ่มโต 2-3 ขวบ ภรรยาเราก็อยากจะมีลูกอีกหนึ่งคน เพราะไม่อยากจะมีลูกคนเดียว เดี๋ยวเขาจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว อะไรเขาก็มีของเขาแค่คนเดียว ไม่มีเกิดการแบ่งปัน อันนี้คือความคิดของภรรยาเรา ส่วนตัวเราเองก็ยังไงก็ได้ มีก็ได้ แต่ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากมีคนที่ 2 เพราะมันเหนื่อยจริง ๆ ลูกชายกับลูกสาวตอนที่เลี้ยง ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยมีความแตกต่างอะไร ไปโรงเรียนเดียวกัน ไปด้วยกัน แม่เป็นคนขับรถรับส่ง ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็เมื่อลูก ๆ เริ่มโตขึ้น ตอนเข้า high school หรือตอนลูกสาวเรียน year 6 ซึ่งถือว่าเป็นปีสุดท้ายของ primary school ช่วงวัยที่เรียน primary school ลูกชายเราจะไม่มีเรื่อง drama อะไร ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อน หรืออะไร นั่น นี่ โน่น เขาก็เรียนหนังสือชองเราไปเรื่อย ๆ แต่ลูกสาวตัวเล็กนี่สิ พอเริ่มอยู่ year 6 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นพี่โตสุดในโรงเรียน ก็เริ่มมี drama ละ ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงเขาจะมีเรื่องราวซุบซิบนินทามากเลย เดี๋ยวคนนั้นก็ไม่ชอบคนนี้ เดี๋ยวคนนี้ก็ไม่ชอบคนั้น เดี๋ยววันนี้เขาจะไม่คุยกับเพื่อนคนนั้น เมื่อวานเพื่อนคนนั้นไม่คุย ไม่เล่นกับเขา อะไรประมาณนี้ คือไร้สาระมาก และนี่คือห้องที่ถือว่าเป็นเด็กเรียนดีนะ ถ้าห้องทั่ว ๆ ไป ธรรมดาจะขนาดไหน เขาก็มีกลุ่มเพื่อนของเขาแหละ เดี๋ยวก็ทะเลาะกันเอง เดี๋ยวก็เปลี่ยนกลุ่มเล่นกัน อะไรประมาณนี้ ปวดหัวมาก ในขณะที่พี่ชายโต ตอนอยู่ year 6 ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเพื่อนในกลุ่มเลย จนมาถึงปัจจุบัน เรียน high school แล้ว ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร พอลูก ๆ เริ่มเข้า high school พวกเราก็เริ่มสบาย เพราะไม่ต้องขับรถรับส่ง ลูก ๆ โตพอที่จะนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเองได้ ครอบครัวเราโชคดี มี bus stop อยู่ไม่ไกลจากบ้าน และรถเมล์ไปโรงเรียนก็เป็น free bus ที่จัดขึ้นโดย town council ของ Wollongong เราก็สบายไป รถเมล์ก็ฟรี และก็ไม่ไกลจากบ้าน ตั้งแต่ขึ้น year 7 แล้ว ลูกชายบอกเรากับภรรยาว่า ไม่ต้องไปรับส่งเขา ฝนจะตกฟ้าจะร้องเขาก็จะนั่งรสเมล์กลับบ้าน เขาไม่อยากให้แม่ไปรับ "มันไม่เท่" เออ... มีแบบนี้ด้วย ก็ดีเว้ย ไม่เดือดร้อนพวกเราดี ลูกสาวเอง พอขึ้น high school เราก็ให้เขาขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนพร้อมกับพี่ชายเหมือนกัน คนละโรงเรียน แต่รั้วติดกัน สมัยก่อน 2 โรงเรียนนี้ที่ Wollongong แบ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน หญิงล้วย ก็เลยแยกัน แต่รั้วติดกัน ตอนนี้ทั้ง 2 โรงเรียนเป็นโรงเรียนสหะ co-ed (co-education) คือโรงเรียนผสม ทั้งชายและหญิง แต่โรงเรียนชายล้วนสมัยก่อน ตอนนี้พอเป็นโรงเรียนสหะ เราก็จะเน้นสาขาวิชาทางด้านเทคโนโลยี โรงเรียนหญิงล้วน ตอนนี้ก็กลายเป็น performing arts high school เป็นโรงเรียนที่เน้นการแสดง ลูกสาวเราก็เลือกเรียนที่ performing arts high school เพราะเขาชอบ dance เป็นชีวิตจิตใจ เนื่องด้วยโรงเรียนทั้ง 2 รั้วติดกัน ทั้งพี่ชายและน้องสาวจึงไปโรงเรียนด้วยกันตอนเช้า นั่งรถเมล์ไปโรงเรียน เป็น free bus ของ Wollongong ลูกชาย ตั้งแต่ year 7 แล้ว เขาจะนั่งรถบัสไปของเขาเอง ไม่ว่าผลจะตก แดดจะออก ลูกสาว "daddy วันนี้กระเป๋าหนูหนัก daddy ขับรถไปส่งหน่อย" เอ๊า daddy ก็ต้องขับรถไปส่ง (5 นาที) วันไหนก็ daddy ไปส่งลูกสาว ลูกลิงตัวเล็ก ลูกลิงตัวโตก็ติดมาด้วย ก็สบายไปทั้ง 2 คน แต่ถามว่าจริง ๆ แล้วลูกชายต้องการให้เราไปส่งมั้ย เปล่าเลย กระเป๋าจะเบาหรือหนัก เขาก็นั่งรถบัสของเขามาตั้งแต่ year 7 แล้ว ก็มีแต่เจ้าลูกลิงตัวเล็กนี่แหละที่วันไหนกระเป๋า เราก็ต้องไปส่งเขา ที่บ้านอื่นเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่ที่บ้านเรา เป็นแบบนี้ ความแตกต่างระหว่างลูกชายกับลูกสาว คนหนึ่งอะไรก็ได้ ง่าย ๆ คนหนึ่งก็จะ "เยอะ" นิดหนึง :) Comments are closed.
|
บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณพ่อลูก 2 Archives
October 2024
|