คนที่อยู่รัฐอื่นที่ไม่ใช่ NSW อาจจะไม่รู้ว่า HSC คืออะไร
หรือคนที่ไม่ได้มีลูกเข้าเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย ก็อาจจะไม่รู้ระบบการศึกษาที่นี่ และระบบการศึกษาที่นี่ก็แตกต่างกันทุกรัฐ เพราะรัฐบาลกลางปล่อยให้รัฐบาลของแต่ละรัฐดูแลเรื่องระบบการศึกษาเอง เป็นเอกเทศใครมัน ที่ NSW, HSC; High School Certificate คือการสอบรวมของนักเรียน year 12 ข้อสอบจะมาจากส่วนกลาง เหมือนการสอบ Entrance เข้ามหาวิทยาลัยสมัยก่อนที่เมืองไทย การสอบ HSC คือการสอบวัดผลของนักเรียน year 12 ที่ข้อสอบมาจากกระทรวงศึกษาธิการซึ่งก็มีขึ้นตอนต้นเทอม 4 ของทุก ๆ ปี ส่วน HSC Trial คือการสอบปลายภาคของนักเรียน year 12 และจะเป็นการสอบครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในโรงเรียน เรียกง่าย ๆ ก็คือการสอบปลายภาคหนะแหละ เทอมนี้เป็นเทอม 2 จะเป็นเทอมที่นักเรียน year 12 ต้องสอบ HSC Trail เพราะเทอมหน้าเทอม 3 คือเทอมสุดท้ายของการเรียนการสอนของนักเรียน year 12 แล้ว เทอมหน้า เทอม 3 จะไม่มีการสอบ จะมีแค่การทำ assignment หรือการทำ project และเรียนในเนื้อหาต่าง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ประมาณ week 5; เทอม 3 ทุกวิชาของ year 12 ต้องสอนจบกันหมดแล้ว และใช้ 5 weeks ที่เหลือของเทอม 3 ในการทบทวนและเตรียมตัวในการสอบ HSC ของเทอม 4 เทอม 3 คือเทอมสุดท้ายของการเรียนการสอนของนักเรียน year 12 เทอมนี้เทอม 2 นักเรียน year 12 ก็ต้องสอบ HSC Trial กัน ลูกลิงตัวโตก็จะ busy กับการอ่านหนังสือและการเตรียมตัวในการสอบนิดหนึ่ง ปรกติลูกลิงก็อ่านหนังสือและทำการบ้าน 7 วันต่ออาทิตย์อยู่แล้ว แต่ช่วงใกล้สอบแบบนี้ ก็เป็นการยากในการไปโน่นมานี่ของครอบครัวเรา เพราะลูกลิงแทบจะไม่อยากออกไปไหนเลย เพราะการเรียนเขาต้องมาก่อน และวิชาที่เราลงเรียนแต่ละวิชาก็เป็นวิชาที่ยาก ๆ ทั้งนั้น ซึ่งเราก็เข้าใจ มีหลาย ๆ ครั้งที่พวกเราออกไปข้างนอกช่วง weekend กันเฉพาะเรา ภรรยา และลูกลิงตัวเล็ก ปล่อยให้คนโตเขาอ่านหนังสืออยู่บ้านคนเดียว เพราะเขาไม่อยากจะออกไปไหนช่วงใกล้สอบ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการดี ครอบครัวอื่นอาจจะต้องเคี่ยวเข็นลูกให้อ่านหนังสือ ให้เตรียมตัวสอบ แต่ครอบครัวเราไม่ต้องทำแบบนั้น ลูก ๆ ผ่านการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี ทุกวันนี้เขาอ่านของเขาเอง เขาอยากได้อยากดีของเขาเอง เราเองก็สบาย ก็เลยเบา ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง เราไม่เคย mind เพราะเรารู้ว่าลูกลิงได้ทำดีที่สุดแล้ว เขาไม่ได้ทำเล่น ๆ หัว ๆ ทุกวันนี้ช่วงเสาร์ อาทิตย์ เวลาที่พวกเราไปไหนมาไหนกันเป็นครอบครัว เราก็ต้องถามเขาก่อนว่าเขาว่างไหม มีเวลาไหม ทุกวันนี้ต้องเป็นแบบนี้ เพราะการเรียนของเขามาก่อนเสมอ มาก่อนสิ่งอื่น ๆ เรื่องทานข้าวนอกบ้านไม่ต้องพูดถึง ลูกลิงไม่ไปจ๊ะ เพราะการบ้านเขาเยอะ assignment เขาเยอะ อะ... ว่ากันไปตามวัย เราคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องปรับตัวและ support พวกเขาให้ถึงที่สุด ดีแล้วที่ลูกชอบเรียน ไม่ไปเกเรอะไรเหมือนเด็กวัยรุ่นที่มีปัญหาทั่ว ๆ ไป ช่วงนี้ก็เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของลูกลิง เราก็พยายามไม่ไปยุ่งหรือวุ่นวายกับ study timetable ของเขา เพราะเขามีตารางการอ่านหนังสือ ตารางการเรียนของเขาอยู่แล้ว วันไหนเขาไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดหลังเลิกเรียนกับเพื่อน ๆ เขา เราก็ต้องคอยขับรถไปรับ เป็นพลขับให้กับเขา รับใช้และอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ นี่แหละชีวิตคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ได้ง่ายเลย ไม่ได้บ่นนะ แค่เราสู่กันฟัง มันก็เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ดี ที่เห็นลูกเราตั้งใจเรียน มีความมุมานะ มันก็ทำให้เราเห็นตัวเราเมื่อตอนเด็ก ๆ เพราะตัวเราเองก็เด็กเรียนเหมือนกัน เราผ่านชีวิตพวกนี้มาหมดแล้ว เรารู้ว่าลูกลิงกำลังเจอและกำลังทำอะไรอยู่ เราและภรรยาก็ได้แต่ support อยู่ห่าง ๆ ก็แค่นั้นเอง เทอมนี้และเทอมหน้า ก็คงจะเป็นอะไรที่ busy และกดดันสำหรับเขาแหละ แต่เราก็คิดว่าเขาทำได้ เราก็บอกเขาอยู่เสมอว่า เราคิดว่าการเรียนของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร เราก็คิดว่าเขาน่าจะเข้าเรียนในคณะที่เขาอยากจะเรียนในมหาวิทยาลัย คะแนนเขาน่าจะถึงแหละ เดี๋ยวก็ต้องมาดูกันอีกทีตอนสิ้นปี รอใบตอบรับจากทางมหาลัย สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น ปี 2020 ลูกลิงทั้ง 2 ปิดท้ายกันด้วย academic achievement เป็นที่น่าภูมิใจ
คนโตเราเคย post ไปแล้ว top 6 วิชาจาก 7 วิชา วันรับรางวัล เพิ่งรู้ว่าได้ถ้วยนักเรียนดีเด่นของคณะ IA ด้วย; Industrial Arts ส่วนตัวเล็ก อยู่ year 7, ได้ A 8 ตัว, B 1 ตัว วิชาที่ได้ B ก็เป็น Maths ซะด้วยสิ เอ๊ะ ยังไง daddy บอกลูก ๆ เสมอว่า daddy ต้องการให้ลูกเรียนดีแค่ 3 วิชาพอ; วิทย์ คณิต อังกฤษ ส่วนวิชาอื่น ๆ ยังไงก็ได้ เราไม่ซีเรียส เพื่อที่ลูกจะได้สนุกกับชีวิตการเรียน ไม่เครียดมาก ส่วน Maths ที่ลูกลิงตัวเล็กได้ B มา เราก็ต้องมานั่งดูกันอีกว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะพี่ชายคนโต เรามีแบบฝึกหัดมาให้เขาทำตลอด แบบฝึกหัดจากโรงเรียนที่เราสอน แต่ตัวเล็ก เราไม่ได้มีอะไรให้เขาทำ เพราะแค่ dance ของเขาก็หนักพอแล้ว เราก็เลยไม่ได้จี้อะไรมากมาย ช่วงปิดเทอม หยุดพักเรื่องการเรียนก่อนละกัน ส่วนเรื่องแบบฝึกหัด เดี๋ยวเปิดเทอมเราจะจัดการหามาให้เพิ่ม เรามี resources มาจากโรงเรียเยอะ เรื่องการเรียน ถ้าเป็น junior year; year 7 - 10 คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจในเรื่องการเรียนของลูกนิดหนึงนะครับ ต้องหาแบบฝึกหัดอะไรเพิ่มให้ลูกด้วย หรือนั่งทำการบ้านอะไรกับลูกด้วย โดยเฉพาะ year 7 - 9 ไม่ว่าจะเป็นช่วงเลิกเรียน หรือช่วงเสาร์อาทิตย์ พอเริ่ม year 10 ถึงแม้จะยังเป็น junior year แต่เด็ก year 10 ส่วนมากก็จะมีความรับผิดชอบมากแล้ว ช่วง year 7 - 9 ก็ต้องฝึก ก็ต้องหัดกันอย่างใกล้ชิด ปีนี้ ลูกลิงทั้ง 2 ทำเอาไว้ได้ดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ความสำเร็จของลูก คือความสุขของพ่อแม่ แต่พ่อแม่เองต้องไปเอาความฝันของความหวังของเราไปอยู่ที่เขา ชีวิตพวกเขา เขาต้องเลือกเอง พ่อแม่ มีหน้าที่แค่คอยสนับสนุน เราจะไปบังคับเด็กไม่ได้ เราขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน ทุกครอบครัวนะครับ ครอบครัวอื่นเป็นยังไง เราไม่รู้ แต่ครอบครัวเราเป็นนี้
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างลูกชายกับลูกสาว เนื่องด้วยเรากับภรรยาต้องเลี้ยงลูกกันเอง 2 คน เราไม่มีญาติ ไม่มีใครเลยที่ประเทศออสเตรเลีย พ่อแม่เราก็อยู่ที่เมืองไทย พ่อแม่ภรรยาก็อยู่สิงคโปร์ ตอนที่เรามีลูกคนแรกกัน เรา 2 คนก็ต้องเลี้ยงดูลูกกันเอง เหนื่อยมาก ยากมาก เรา plan กันว่าจะมีลูกคนเดียวก็พอ เพราะไม่มีคนช่วยเลี้ยง เราเองก็ต้องทำงาน แต่พอลูกชายเริ่มโต 2-3 ขวบ ภรรยาเราก็อยากจะมีลูกอีกหนึ่งคน เพราะไม่อยากจะมีลูกคนเดียว เดี๋ยวเขาจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว อะไรเขาก็มีของเขาแค่คนเดียว ไม่มีเกิดการแบ่งปัน อันนี้คือความคิดของภรรยาเรา ส่วนตัวเราเองก็ยังไงก็ได้ มีก็ได้ แต่ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากมีคนที่ 2 เพราะมันเหนื่อยจริง ๆ ลูกชายกับลูกสาวตอนที่เลี้ยง ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยมีความแตกต่างอะไร ไปโรงเรียนเดียวกัน ไปด้วยกัน แม่เป็นคนขับรถรับส่ง ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็เมื่อลูก ๆ เริ่มโตขึ้น ตอนเข้า high school หรือตอนลูกสาวเรียน year 6 ซึ่งถือว่าเป็นปีสุดท้ายของ primary school ช่วงวัยที่เรียน primary school ลูกชายเราจะไม่มีเรื่อง drama อะไร ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อน หรืออะไร นั่น นี่ โน่น เขาก็เรียนหนังสือชองเราไปเรื่อย ๆ แต่ลูกสาวตัวเล็กนี่สิ พอเริ่มอยู่ year 6 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นพี่โตสุดในโรงเรียน ก็เริ่มมี drama ละ ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงเขาจะมีเรื่องราวซุบซิบนินทามากเลย เดี๋ยวคนนั้นก็ไม่ชอบคนนี้ เดี๋ยวคนนี้ก็ไม่ชอบคนั้น เดี๋ยววันนี้เขาจะไม่คุยกับเพื่อนคนนั้น เมื่อวานเพื่อนคนนั้นไม่คุย ไม่เล่นกับเขา อะไรประมาณนี้ คือไร้สาระมาก และนี่คือห้องที่ถือว่าเป็นเด็กเรียนดีนะ ถ้าห้องทั่ว ๆ ไป ธรรมดาจะขนาดไหน เขาก็มีกลุ่มเพื่อนของเขาแหละ เดี๋ยวก็ทะเลาะกันเอง เดี๋ยวก็เปลี่ยนกลุ่มเล่นกัน อะไรประมาณนี้ ปวดหัวมาก ในขณะที่พี่ชายโต ตอนอยู่ year 6 ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเพื่อนในกลุ่มเลย จนมาถึงปัจจุบัน เรียน high school แล้ว ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร พอลูก ๆ เริ่มเข้า high school พวกเราก็เริ่มสบาย เพราะไม่ต้องขับรถรับส่ง ลูก ๆ โตพอที่จะนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเองได้ ครอบครัวเราโชคดี มี bus stop อยู่ไม่ไกลจากบ้าน และรถเมล์ไปโรงเรียนก็เป็น free bus ที่จัดขึ้นโดย town council ของ Wollongong เราก็สบายไป รถเมล์ก็ฟรี และก็ไม่ไกลจากบ้าน ตั้งแต่ขึ้น year 7 แล้ว ลูกชายบอกเรากับภรรยาว่า ไม่ต้องไปรับส่งเขา ฝนจะตกฟ้าจะร้องเขาก็จะนั่งรสเมล์กลับบ้าน เขาไม่อยากให้แม่ไปรับ "มันไม่เท่" เออ... มีแบบนี้ด้วย ก็ดีเว้ย ไม่เดือดร้อนพวกเราดี ลูกสาวเอง พอขึ้น high school เราก็ให้เขาขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนพร้อมกับพี่ชายเหมือนกัน คนละโรงเรียน แต่รั้วติดกัน สมัยก่อน 2 โรงเรียนนี้ที่ Wollongong แบ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน หญิงล้วย ก็เลยแยกัน แต่รั้วติดกัน ตอนนี้ทั้ง 2 โรงเรียนเป็นโรงเรียนสหะ co-ed (co-education) คือโรงเรียนผสม ทั้งชายและหญิง แต่โรงเรียนชายล้วนสมัยก่อน ตอนนี้พอเป็นโรงเรียนสหะ เราก็จะเน้นสาขาวิชาทางด้านเทคโนโลยี โรงเรียนหญิงล้วน ตอนนี้ก็กลายเป็น performing arts high school เป็นโรงเรียนที่เน้นการแสดง ลูกสาวเราก็เลือกเรียนที่ performing arts high school เพราะเขาชอบ dance เป็นชีวิตจิตใจ เนื่องด้วยโรงเรียนทั้ง 2 รั้วติดกัน ทั้งพี่ชายและน้องสาวจึงไปโรงเรียนด้วยกันตอนเช้า นั่งรถเมล์ไปโรงเรียน เป็น free bus ของ Wollongong ลูกชาย ตั้งแต่ year 7 แล้ว เขาจะนั่งรถบัสไปของเขาเอง ไม่ว่าผลจะตก แดดจะออก ลูกสาว "daddy วันนี้กระเป๋าหนูหนัก daddy ขับรถไปส่งหน่อย" เอ๊า daddy ก็ต้องขับรถไปส่ง (5 นาที) วันไหนก็ daddy ไปส่งลูกสาว ลูกลิงตัวเล็ก ลูกลิงตัวโตก็ติดมาด้วย ก็สบายไปทั้ง 2 คน แต่ถามว่าจริง ๆ แล้วลูกชายต้องการให้เราไปส่งมั้ย เปล่าเลย กระเป๋าจะเบาหรือหนัก เขาก็นั่งรถบัสของเขามาตั้งแต่ year 7 แล้ว ก็มีแต่เจ้าลูกลิงตัวเล็กนี่แหละที่วันไหนกระเป๋า เราก็ต้องไปส่งเขา ที่บ้านอื่นเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่ที่บ้านเรา เป็นแบบนี้ ความแตกต่างระหว่างลูกชายกับลูกสาว คนหนึ่งอะไรก็ได้ ง่าย ๆ คนหนึ่งก็จะ "เยอะ" นิดหนึง :) จะสิ้นปีแล้วสินะ ลูกลิงตัวโต ปีหน้าจะทำ HSC แล้วสินะ
ปีนี้ลูกลิงทำผลการเรียนออกมาดี จาก 7 วิชา top ไป 6 วิชาที่ไม่ได้ที่ 1 คือวิชาสุขศึกษาจ๊ะ นอกนั้นลูกลิงได้ที่ 1 หมด: - Phyhiscs - คณิต Advances - คณิต Extension 1 สำหรับเด็ก gifted - English standard - Design And Technology - Engeering Studies อะไร ประมาณนี้ ได้ที่ 1, 6 วิชาจากทั้งหมด 7 วิชา ก็ OK แหละ เด็กฝรั่งหลายคนยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย เมื่อเห็นผลการเรียนสิ้นปีของลูกลิง เราก็สบายใจ คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง เขารู้แหละว่าเขาจะต้องทำยังไงถึงจะ maintain ผลการเรียนแบบนี้ อยากได้แบบไหน หนูทำเอาเองเลยนะลูก daddy ไม่จำเป็นต้องบอกอีกต่อไปแล้ว ลูกลิงเริ่มเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ลูกลิงอ่านหนังสือ นั่งทำการบ้าน ทำ assignment 7 วันต่ออาทิตย์ ไม่มีวันหยุดราชการ คนเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็หมดห่วง ทุกวันนี้ลูกลิงนอนดึกกว่าเราอีก เพราะการบ้านและ assignment เยอะมาก เราเข้านอนประมาณ 10pm โดยประมาณ แต่ลูกลิงตัวโตนอนประมาณ 10:30pm เราก็บอกลูกลิงเสมอว่า จะงานเยอะ การบ้านเยอะยังไงก็ตามแต่ พยายามอย่าอยู่เกิน 10:30pm เดี๋ยวพรุ่งนี้จะงัวเงียไปโรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมาลูกลิงก็ดูแลและจัดการเวลาของตัวเองได้ daddy กับ mommy ก็ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ ตอนนี้เราก็ค่อยจัดการชีวิตลูกลิงตัวเล็ก เพราะตัวเล็กเป็นผู้หญิง ชอบ dance รักสวยรักงาม บางทีคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องคอยจับตาดู ไม่ให้โตไวจัดจ้านเกินอายุ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เรื่องลูกลิงตัวโต daddy และ mommy ก็ภูมิใจแหละ ทุกวันนี้ เสาร์ อาทิตย์ เขาก็จะไม่ไปไหนเลย วัดก็ไม่ไป เพราะการบ้านเยอะมาก เราก็เห็นเขานั่งทำการบ้าน ทำ assignment ตลอด weekend ก็ยังต้องทำ ว่าง ๆ เขาก็จะขอดู YouTube ก็แค่นั้นเอง เราก็ promise ว่ารอลูกลิงจบ year 12 เดี๋ยวเราจะต่อ Netflix หรือ Amazon Prime ให้... แต่ช่วงนี้ดูแค่ YouTube พอ เดี๋ยวจะมีสิ่งล่อใจเยอะที่บ้าน อะ ว่ากันไป ชีวิต ที่บ้านเราไม่ได้บังคับให้ลูกต้องเรียนเก่ง เรียนดี
Daddy ขอเด่น ๆ แค่ 3 วิชาคือ วิทย์ คณิต อังกฤษ แค่นั้นก็พอ ที่เหลืออย่างอื่นไม่เป็นไร แต่ลูกลิงทั้ง 2 ก็ไม่เคยทำให้ daddy ผิดหวัง โดยเฉพาะลูกลิงตัวโต พอขึ้น year 10 เมื่อปีที่แล้ว ผลการเรียนเขาโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เขาได้ top วิชาหลัก ๆ ที่เขาเลือกเรียน มาปีนี้ ลูกลิงเรียน year 11; เขาต้องเลือกลงวิชาที่เขาอยากเรียนเอง ที่ NSW วิชาบังคับสำหรับ senior student คือวิชาภาษาอังกฤษเพียงวิชาเดียว นอกนั้นเป็นวิชาเลือกหมดเลย ลูกลิงเลือกลงวิชาที่เขาอยากจะเรียน สายวิทย์ล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ advanced หรือ Physics และเขาก็ทำได้ดี ช่วงกลางปีที่ผ่านมา เขา top 5 วิชาจาก 7 วิชาที่เขาเลือกเรียน ปีนี้ เราไม่จำเป็นต้องบอกให้ลูกลิงอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียนอะไรของเขาเลย เขาจัดการชีวิตเรื่องการเรียนของเขาเอง วิชาที่เขาลงเรียนก็ออกแนวสายโหดนิดหนึง คำนวณล้วน ๆ เขาจะทบทวนบทเรียนของเขาเองทุกวัน เสาร์ อาทิตย์ เขาก็นั่งทำแบบฝึกหัด ทำการบ้านอะไรของเขาเอง เราไม่ต้องบอก เขารับผิดชอบชีวิตการเรียนของเขาเอง เพราะเริ่มโตแล้ว เริ่มอยากได้อยากมี ที่บ้านเราจะเป็น open door policy ดังนั้นลูกลิงทำอะไรในห้อง เราจะเห็นหมด ทุกครั้งที่เราเดินผ่านห้องลูกลิงแล้วเราเห็นเขาอ่านหนังสือ หรือนั่งทำการบ้าน คนเป็นพ่อเป็นแม่ มันก็ภูมิใจนะ นี่คือสิ่งที่เราปลูกฝังเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ มันไม่ได้ทำกันได้เลยชั่วข้ามคืน มันต้องปลูกฝังและสั่งสมมาเรื่อย ๆ ลูกลิงจะนั่งอ่านหนังสือเรียน หรือทำการบ้านช่วงเสาร์ อาทิตย์ ไม่ได้ออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหน ลูกลิงอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน 7 วันต่ออาทิตย์เลย โดยที่ daddy หรือ mommy ไม่จำเป็นต้องบอก ที่บ้านเราไม่มี game console, ไม่มี iPad, ไม่มี Netflix เวลาว่างอย่างมากก็แค่ YouTube และอ่านหนังสือ ดังนั้นการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับการเรียนรู้ก็สำคัญนะ ปีหน้าลูกลิงก็ขึ้น year 12 แล้วสินะ จบ year 12 เราก็คงปล่อยเขาให้เป็นอิสระในเรื่องการเรียน จริง ๆ ปีนี้เราก็ปล่อยเขาให้เป็นอิสระแล้วนะ เพราะเขารับผิดชอบตัวเองได้ อย่างที่บอกว่า เขาเริ่มอยากได้อยากมี เริ่มรู้ว่าชีวิตเขาต้องการจะทำอะไร เราก็ทำได้แค่คอยสนับสนุน ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของ "ครอบครัวเผ่าเพ็ง" 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ลูกลิงตัวโตสอบ final ของ year 11 เพราะ year 11 ที่ประเทศออสเตรเลียจะเรียนแค่ 3 เทอม คือเทอม 1-2-3 พอเทอม 4 ก็จะเริ่มเรียนเนื้อหาของ year 12 เพราะ year 12 จะเรียนเทอม 4-1-2-3 แล้วก็สอบ HCS เทอม 4 ปีหน้า
ช่วงกลางภาคที่ผ่านมา ลูกลิงชอบได้ที่ 1 ของ 5 วิชา จากทั้งหมดที่เรียน 7 วิชา 7 วิชาที่เรียนก็คือ: Design and Technology; ได้ที่ 1 Engineering Studies; ได้ที่ 1 Maths Advanced; ได้ที่ 1 Maths Extension; ได้ที่ 1 Physics; ได้ที่ 1 PDHPE วิชาสุขศึกษา; ได้ที่ 4 Standard English; ได้ที่ 2 ซึ่งเราก็ happy กับผลการเรียนของลูกในช่วง 2 เทอมที่ผ่านมา เพราะ 5 วิชาที่เขาได้ที่ 1 ก็เป็นวิชาหลัก ๆ ของเด็กสายวิทย์อยู่แล้ว เด็ก year 11 ปรกติจะเรียนกันแค่ 6 วิชา พอขึ้น year 12 ก็จะ drop 1 วิชาเพื่อให้เหลือ 5 วิชาที่ชอบจริง ๆ เท่านั้น เพราะ HCS ที่ NSW จะเอาแค่ผลการเรียน 5 วิชาที่ได้คะแนนสูงที่สุดมาทำเป็น ranking ในการเข้ามหาวิทยาลัย ที่รัฐเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่ที่ NSW เป็นแบบนี้ การที่ลูกลิงเลือกลงตั้ง 7 วิชา เราก็ถือว่าหนักแล้ว เพราะมันมี Maths Extension ที่เพิ่มมาอีก 1 วิชาสำหรับเด็ก gifted ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาที่ลูกลิงมีสอบ เขาก็ไปโรงเรียนเฉพาะวันที่มีสอบเท่านั้น วันไหนไม่มีสอบ เขาก็จะอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน เราก็มีหน้าที่ขับรถส่งลูกไปสอบ ขากลับเขากลับเอง เพราะบ้านห่างจากโรงเรียนแค่ 10 นาที เรื่องการเรียนของลูกชายคนโต เราไม่ worries อยู่แล้ว เพราะเขาตั้งใจอยากจะได้ อยากจะดี ของเขาเอง เราเองต่างหากที่ต้องคอยบอกลูกให้พักบ้างนะ อะไรประมาณนี้ เราเข้านอนก่อนลูกเราด้วยซ้ำ เพราะปรกติเราจะนอนไม่ค่อยเกิน 10pm แต่ลูกลิงช่วงที่อยู่ year 11 เขาก็จะเรียนหนักนิดหนึง อ่านหนังสือ หรือทำการบ้านจนถึง 10:30pm-10:45pm อยู่บ่อย ๆ ที่บ้านเราทุกอย่างมีกฎมีระเบียบ เราไม่ให้ลูกลิงนอนดึกเกิน 10:45pm คือ by 10:45pm ตัวโตต้องเข้านอน ตัวเล็กเข้านอน 9pm ช่วงที่สอบ ห้องเขาก็จะรก ๆ นิดหนึง และที่บ้านเราก็มี policy ไม่ปิดประตู ห้องทุกห้องต้องเปิดประตูทิ้งเอาไว้ ทุกอย่างโปร่งใส จะปิดประตูห้องเฉพาะเวลานอน ก็มีบ้างที่เราเดินเข้าไปเก็บของให้ลูกบ้าง นั่น นี่ โน่น เพราะแม่เขาจะไม่เก็บ เดี๋ยวลูกจะหาของไม่เจอ แต่ถ้าเราเข้าไปเก็บ เราก็จะจัด ๆ ตบ ๆ ให้มันเข้าที่เข้าทางแค่นั้นเอง ไม่มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่ ลูกลิงสอบเสร็จแล้ว เราก็โล่งหน่อย เพราะจะพากันออกไปไหนมาไหนก็สะดวกหน่อย จะไปกินข้าวนอกบ้าน จะไปวัด อะไรประมาณนี้ เพราะลูก 2 คนนี้ถ้าเรื่องเรียน พวกเขาเอาจริง เขาจะไม่ให้มี distraction อะไรเลย ดังนั้นช่วงที่ลูกสอบ daddy กับ mommy ก็หมดสิทธิ์ชวนพวกเขาออกนอกบ้าน หลาย ๆ คนถามพวกเราว่าพวกเราเลี้ยงลูกกันยังไง พวกเราก็เลี้ยงกันธรรมดานะ เพียงแต่ว่าอยากให้ลูกเป็นแบบไหน เราเองก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง เราเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ก็เลยสบายไป ลูก ๆ ก็เห็นเรานั่งอ่านหนังสืออยู่เป็นประจำ ดังนั้นก็จึงไม่เแปลกที่ลูกเราชอบอ่านหนังสือ ชอบค้นขว้า อย่างนี้เป็นต้น พอลูก ๆ เริ่มโต พวกเราก็ไม่คาดหวังอะไร ทุกสิ่งอย่างปล่อยให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจเอง ขอแค่เขามีความสุขก็เป็นพอ เราก็เห็นลูกลิงตัวโตหมายตา Electrical Engineering ของ UOW อยู่ ถ้าเข้าเรียนที่ UOW ได้ เราก็สบาย เรียนที่ UOW ก็ไม่ไกลบ้านที่พวกเรากำลังมองหาซื้อกัน ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะลงตัว เราเป็นศิษย์เก่า UOW เราก็อยากให้ลูกเราเรียนที่ UOW ด้วย ลูกลิงสอบเสร็จซะที พวกเราจะได้ไปลั๊ลล๊ากันบ้างช่วง weekend ไม่ง่ายนะ กับการเป็นพ่อคนแม่คน ชีวิตที่ต้องดิ้นรนกันอยู่แค่ 4 คน เพราะพวกเราก็ไม่ใครที่ประเทศออสเตรเลีย แต่พวกเราก็มั่นใจว่า พวกเราทำได้.... :) ทุก ๆ วันเสาร์ช่วงนี้ กิจกรรมของครอบครัวเราก็คือการออกไป inspect บ้าน
พวกเราไปกันทั้ง 4 คน มันก็เป็นกิจกรรมที่พวกเราได้ทำร่วมกันอย่างสนุก เพราะหลังจากที่ดูบ้าน นั่น นี่ โน่น ก็ประมาณ 1pm, 2pm พวกเราก็พากันแวะนั่งที่ cafe หาของว่างทานกัน แล้วก็คุยกันสัพเพเหระ เด็ก ๆ อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะลูกลิงตัวเล็ก เขาก็จะเป็นคนช่างพูดช่างถาม เขาก็จะถามว่า "เอ๊ะ ถ้าเราชอบบ้านหลังนี้ ขั้นตอนต่อไปพวกเราต้องทำอะไรบ้าง" เราก็นั่งอธิบายกันที่ cafe ว่า "อ๋อ มันก็ต้องมีการเสนอราคา offer ไปนะลูก นั่น นี่ โน่น" เขาก็จะถามกันต่อว่า "อ้าว แล้วทำไม่ต้องเสนอราคา ก็ซื้อเลยไม่ได้เหรอ" daddy ก็ต้องอธิบายต่อ นั่น นี่ โน่น มันทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ขบวนการและระบบการซื้อขายบ้านที่นี่ และเมื่อวานพวกเราไป inspect บ้านอยู่แถว ๆ Dapto (5-10 นาทีจาก Wollongong) มันก็ทำให้เขาเห็นว่าเอ๊ะ ทำไมเวลาไปดูบ้านบริษัท Ray White เขาก็เจอ agent คนเดิม ๆ หรือบางทีที่ไปเขาก็จะเห็นการพูด การทักทาย และเทคนิคการขายที่แตกต่างของ agent แต่ละคน จนลูกลิงตัวเล็กพูดเปรย ๆ ว่า "เอ๊ะ หรือว่าหนูจะเป็น real estate agent ดี ท่าทางจะได้รายได้ดี เพราะบ้านแต่ละหลังก็ราคาแพง ค่า commission จะอยู่ที่เท่าไหร่" แล้วเขาก็จะพูดของเขาต่อไปเองว่า "เอ๊ะ ถ้าเราต้องขายบ้านเก่า ๆ พัง ๆ ถูก ๆ หละ ใครจะมาซื้อ" มันก็ทำให้เราได้พูดเรื่องเทคนิค "การขาย" กับลูกลิงว่าคนขายของที่ดีต้องขายได้ทุกอย่าง ทุกอย่างมันจะมีตลาดของมัน ทั้งตลาดล่าง ตลาดกลางและก็ตลาดบน daddy ก็เลยบอกว่า "ไหน หนูลองขาย face mask อันนี้ให้ daddy สิ" เขาก็พยายามคิดว่าข้อดีของ face mask ว่ามันดียังไง ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid ได้จริงไหม อะไรประมาณนี้ shhhh... "ถ้าอยากเป็นลูกจ้างเศรษฐี ให้เรียน MBA, แต่ถ้าอยากเป็นเศรษฐี ก็ต้องเรียนรู้เทคนิคการขาย" (Honda Ken, คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น) การที่เด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมอะไรแบบนี้ มันทำให้เด็กได้ใช้กระบวนการทางความคิด critical thinking เพราะทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวของมัน ลูกลิงได้เรียนรู้ว่า อ๋อ เดี๋ยวเราจะต้องทำ homeloan นะ แล้วทำไมต้องทำ homeloan แล้วทำไมต้องกู้ธนาคาร แล้วบ้านหลังเก่า ๆ มันจะมีคนมาซื้อเหรอ daddy daddy ก็ต้องอธิบายในเรื่องของพวก investment property ด้วยว่า บ้านหลังเก่า ๆ มันก็มีคนซื้อ ทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ เก็งกำไรได้ มันก็เป็น conversation ที่เด็ก ๆ ได้คิดได้เบิกเนตรในเรื่องพวกนี้ โชคดี เด็ก ๆ เริ่มโตแล้ว ไม่งอแงที่ต้องตะเวนนั่งรถดูบ้านกัน เขาก็เกิดการเปรียบเทียบว่า เออ หลังนี้เป็นแบบนี้นะ ถ้าให้หนูมาอยู่ หนูไม่อยู่นะ เออ หลังนี้น่าอยู่นะ ถ้า daddy ซื้อ หนูจะหิ้วกระเป๋าย้ายเข้ามาอยู่เลยนะ (เดี๋ยวก่อนนะลูก ไอ้หลังที่หนูชอบกัน มันก็เกิน budget ไปนิด) แต่ก็นั่นแหละ มันก็ทำให้เกิดการพูดคุย มีองค์ความรู้ ที่แน่ ๆ คือได้นั่งกินอะไรกันที่ cafe ว่างั้นเถอะ ก็เป็นกิจกรรมที่พวกเราต้องทำกันทุก ๆ วันเสาร์ ช่วงนี้ จนกว่าจะได้หลังที่พวกเราต้องการ แต่ที่ไปดู ๆ มา เราก็ยังไม่ได้ทำ pre-approved homeloan เลยนะ เพราะคิดว่ายังไม่ได้เจอหลังที่ถูกใจจริง ๆ หรือ suburb ที่ต้องการไปอยู่จริง ๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างแล้ว วันนี้วันอาทิตย์ daddy ก็คงต้องกรอก pre-approved homeloan application แล้วสินะ... เรามี investment properties 3 หลังก็จริง แต่ทุกวันนี้เราก็ยังเช่า apartment อยู่ ยังไม่ได้ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง และพวกเราก็ plan เอาไว้ว่าเราจะต้องซื้อบ้านที่เป็นของตัวเองและก็เลิกเช่าซะที ก็กะว่าจะต้องซื้อให้ได้ภายในปีนี้ ก่อน 31 Dec 2020 มันจะได้เสร็จ ๆ ไป จบ ๆ ไปเป็นเรื่อง ๆ เราจะได้เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น
วันก็เป็นเป้าหมายของชีวิตที่เราเขียนเอาไว้ในสมุด A5 Note Book ของเราทุก ๆ เช้าด้วย :) การเงินเราพร้อม อะไรหลาย ๆ อย่างเราเริ่มลงตัว เราก็อยากจะมี family home เป็นของตัวเอง บ้านในฝัน อะไรก็ว่าไป หลังจาก Covid เริ่มคลายตัว พวกเราก็พอกันออกไปดูบ้านทุก ๆ วันเสาร์ ไปกันเป็นครอบครัวทั้ง 4 คน หลังที่พวกเราจะซื้อทุกคนต้องชอบด้วยกันทั้ง 4 คน ถ้าคนไหนไม่ชอบหรือคัดค้านเราก็จะไม่ซื้อเป็นอันขาด เราจะอยู่กันเป็นครอบครัว มันก็ต้องมีความสุขกันทั้งหมด 4 คน เด็ก ๆ ก็มีสิทธิ์ในการออกความคิดเห็นทุกคน หลังจากที่ไป inspect บ้านมาแล้วหลายอาทิตย์ และแล้วพวกเราก็เจอหลังที่ถูกใจ ราคาจับต้องได้ มีพื้นที่ให้เราได้ทำสวน ปลูกผักกินเอง ideally เมื่อเราซื้อบ้านเสร็จแล้ว เราก็ต้องย้ายเข้าไปอยู่กันเลยใช่ป๊ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งจ่ายค่าเช่าอยู่แบบนี้ แต่ลูกลิงตัวโตก็ชอบ apartment ที่เราอยู่กันเหลือเกินเพราะมันอยู่ใกล้เพื่อน ๆ เขา เหตุผลเขาแค่นี้เลยจริง ๆ เรื่องอื่นไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่เรื่องเพื่อนเนี๊ยะ โอ๊ยอะไรก็ไม่รู้ เด็กวัย teen ก็ติดเพื่อนเป็นเรื่องปรกติ เราก็บอกว่า หนูก็มาหาเพื่อนได้หนิ เดี๋ยว daddy ก็ขับรถมาส่งมาได้ 10-15 นาที แต่เขาก็บอกว่า มันไม่เหมือนกัน ถ้าเราอยู่ที่อยู่ปัจจุบัน เขากับเพื่อน ๆ ก็นั่งรถบัสฟรีไปหากันได้ หรือบางคนก็เดินไปหากันได้ เอาง่าย ๆ คือเขายังไม่อยากย้ายว่างั้นเถอะ ลูกลิงก็บอกว่าทำไมเราไม่ซื้อตึกนี้ไปเลย โอ๊ว daddy ไม่มีกำลังหรอกลูก ตึกใน Wollongong ติดทะเล ราคาแพงมาก และเราก็อยากได้พื้นที่ในการทำสวนด้วย เพราะถ้าเราจะย้ายบ้านกันคราวนี้ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะย้ายบ้านกัน บ้านหลังนี้จะเป็น family home หลักของพวกเรา จะไม่ขาย จะไม่ย้ายไปไหนอีก ถ้าจะมี holiday home อยู่ที่อื่นบ้าง นั่นก็คือ holiday home ไม่ใช่ family home ที่เราจะอยู่กันแบบถาวร เราก็อยากจะได้สวน ได้พื้นที่ semi-retire มาก็จะได้นั่งทำสวน ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ไป ทุก ๆ เสาร์อาทิตย์ อะไรก็ว่าไป แต่บางทีหัวอกของคนเป็นพ่อ เราก็ต้องฟังเสียงเรียกร้องและความคิดเห็นของลูกด้วย ถ้าอันไหนที่เราพอจะผ่อนปรนได้ เราก็จะผ่อนปรน เราก็เลยเกิดไอเดียว่า เอางี้ 1. ถ้าเราซื้อบ้าน เราก็ไม่จำเป็นต้องย้ายเลยทันทีก็ได้ เราก็อาจจะปล่อยให้คนเช่าไปก่อน 2. เราก็จะอยู่ที่ apartment ที่พวกเราเช่าอยู่ปัจจุบัน ไปจนกว่าลูกลิงจะจบ year 12 ซึ่งก็ปีหน้า เพราะพอจบ year 12 เพื่อน ๆ ลูกลิงแต่ละคนก็คงจะแยกย้ายกันไปเรียนมหาลัยกันแล้ว ยังไงมันก็ต้องแยกย้ายกันอยู่ดี 3. แล้วพวกเราก็ค่อยย้ายปีหน้า หลังจากที่ลูกลิงจบ year 12 อะไรประมาณนี้ เราก็เลยให้ลูกลิงกดเครื่องคิดเลขเลยทันที เราจ่ายค่าเช่า week ละ $330 ถ้าเช่าต่ออีก 1 ปี $330 x 52 weeks = $17,160 ต่อปี OK นะ เราก็สู้ไหว ถ้าทำเพื่อลูก บางทีมันก็ต้องทำ แต่ถ้าเราซื้อบ้านแล้ว บ้านที่เราซื้อแล้วปล่อยให้คนเช่า $350/week มันก็จะมา cover ค่าเช่าที่พวกเราเช่าอยู่ดี ซึ่งมันก็ OK เรามีเพื่อนที่รู้จัก บางคนก็ทำแบบนี้ คือมีบ้านเป็นของตัวเองแหละ แต่ปล่อยให้คนเช่า แล้วตัวเองก็ไปเช่าบ้านใกล้ ๆ โรงเรียนลูก เพราะคุณพ่อคุณแม่บางคนที่เคร่งศาสนาหน่อย เขาก็อยากที่จะส่งลูกไป private school ตามความเชื่อทางด้านศาสนาของเขา เมื่อวานพวกเราก็เลยนั่งคุยกัน ก็คงจะต้องเป็นอะไรแบบนั้น อย่างน้อยพวกเราก็จะได้มีเวลาในการเตรียมตัวเอาของทยอยออกไปบริจาค เพราะเราจะไปแต่ตัว เสื้อผ้า ทีวีและเครื่องซักผ้า เราต้องการย้ายกันแบบง่าย ๆ เฟอร์นิเจอร์อะไร เดี๋ยวเราจะไปซื้อเอาใหม่ เพราะเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ เราซื้อมาตั้งแต่ 2001 ซื้อมา brand new ก็จริง แต่มันก็ 19 ปีแล้วนะ มันคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วจริง ๆ ภรรยาก็บอกว่า ตู้เย็นก็จะไม่เอาไป เพราะอยากได้ใหญ่กว่านี้ อะนะ ว่ากันไป เราก็ต้องตามใจเขานิดหนึง ชีวิตคู่จะได้ไม่ต้องมีปัญหา จะได้บ้านหรือไม่ได้บ้าน เราไม่รู้ แต่วันนี้ Sunday 02 Aug 2020, เราเสนอ offer ไปแล้ว ที่ real estate agent คิดว่าพรุ่งนี้ วันจันทร์อาจจะได้รับการติดต่อกลับมา ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกเราก็จะหากันไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ วันเสาร์มันกลายเป็นกิจกรรมครอบครัวไปแล้วแหละ ก็หวังว่าจะได้ภายใน 31 Dec 2020 ตามที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่ถ้าได้ ก็จะยังคงไม่ย้าย เพราะลูกลิงตัวโตขอมา เขาอยากอยู่ใกล้เพื่อน ๆ เขาว่างั้นเถอะ (เจอเพื่อนจันทร์ - ศุกร์ ที่โรงเรียนยังไม่พออีกเหรอลูก เฮ้อ...) ช่วง school holidays ที่ผ่านมา ครอบเราพากันไปเที่ยว Nelson Bay; 4 วัน
เราเคยไปเที่ยว Newcastle นานแล้ว ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว นอกนั้นก็แค่ขับผ่านเฉย ๆ ปิดเทอมของ NSW ที่ผ่านมาพวกเราก็เลยพากันไปเที่ยวที่ Nelson Bay เพราะปรกติ July ของทุก ๆ ปีพวกเราจะ busy พาตัวเล็กตะลอนแข่ง dance กัน ปีนี้เจอ Covid ก็เลยยกเลิกการแข่งขัน dance ช่วง July ไป ปีนี้พวกเราก็เลยมีโอกาสเที่ยว 4 วันที่ Nelson Bay เราบอกลูก ๆ ว่าจะเป็นอะไรที่ unrush คือไปเรื่อย ๆ ขับเล่นไปเล่นที่นั่นบ้าง นั่งทานอะไรที่นี่บ้าง ก็แค่นั้นเอง จะไม่มีการเร่งรีบเป็นอันขาด ลูกลิงตัวโตเป็นคนชอบถ่ายรูป และชอบทำอะไรใน Photoshop ถ้าเขามีเวลา แถว ๆ Nelson Bay บนถนนแคบ ๆ ริมชายฝั่ง เราก็ขับรถเล่นกันเอื่ย ๆ daddy ก็มีหน้าที่ขับไป อาจจะไม่ได้ดูข้างทางอะไรมาก ลูกลิงก็บอกว่าเห็นอะไรสักอย่างที่เขาอยากจะถ่ายรูป daddy ก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะเราก็มัวขับรถ และก็ขับไปเรื่อย ๆ ลูกลิงบอกว่าอยากจะถ่ายรูป OK ได้เลย daddy ก็ต้องขับไปอีกประมาณ 1 km เพื่อเลี้ยวรถกลับมาให้เค๊าได้ถ่ายรูปกัน ที่ต้องขับไปไกลขนาดนั้นเพื่อเลี้ยวรถก็เพราะว่าถนนมันแคบมากจริง ๆ หลังจากที่เลี้ยวรถกลับมาให้เขาได้ถ่ายรูปกัน เขาก็ happy กระดี๊ะกระด๊านะ แต่เราก็รออยู่ในรถ daddy ไม่ใช่คนอารมณ์ศิลปินอะไรขนาดนั้น บางทีกับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่เลี้ยวรถกลับมาให้ลูกได้ถ่ายรูป ได้ทำในสิ่งที่เขารัก แค่นี้เอง ก็ make his day แล้วหละ อย่าลืมทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคนรอบข้างด้วยนะครับ มันอาจจะไม่ได้เป็นอะไรที่ใหญ่โตมาก แต่มันอาจจะทำให้ใครหัวใจพองโตได้ ตั้งแต่เราสูญเสียหลานชายเราไป
บอกได้เลยว่า ทุก ๆ วันหัวใจเราบอบช้ำมาก คนที่ยังอยู่ คนที่ยังเหลือ ก็ต้องดูแลกันไป กับลูกเราทั้ง 2 คน ปรกติเราจะไม่ค่อยอะไรมากมายกับพวกเขามาก เพราะเขาก็มีแม่เขาคอยดูแลอยู่แล้ว เราก็เน้นทำงานมากกว่า ถึงแม้ว่าเราจะมีเวลาให้ซึ่งกันและกันช่วงเสาร์ อาทิตย์ บางทีเราก็ติด นั่น นี่ โน่น หรือไปไหนมาไหนด้วยกัน ก็ไปกันตามปรกติ ตามประสาครอบครัว เป็นครอบครัวปรกติ ไม่ได้อะไรมากมาย ความรักความห่วงใย มันมีให้กันแหละ ถึงแม้เราไม่พูด ไม่ได้ปฏิบัติออกมาเป็นรูปธรรมมาก ความรู้สึกมันก็สัมผัสได้ ตั้งแต่เราสูญเสียหลานชายเราไป เราแสดงถึงความรักต่อลูกเรามากขึ้น แสดงออกอะไรที่เขาสามารถสัมผัสได้ โดยเฉพาะลูกชายคนโต ช่วงนี้เขาเรียนหนัก เราก็เดินเข้าไปที่ห้องเขาบ่อย ๆ ถามไถ่ว่าหนูอ่านวิชาอะไรอยู่ ทำการบ้านวิชาไหน เอาลูบหัวเบา ๆ ให้เขารู้ว่าเรารักและห่วงใย คนโตก็แตกต่างจากคนเล็กหน่อย เพราะคนเล็กเป็นผู้หญิงและยังเด็กอยู่ ชอบ dance ชอบสนุก เป็นคนช่างพูด ลูกผู้หญิง เราก็ kiss ที่ผมที่หัวอะไรได้ แต่ถ้าลูกชายก็ลูบผมเขาเบา ๆ ลูบหัวเขาเบา ๆ หรือบางทีก็เอาลูบหลังเขาเวลาเขานั่งอ่านหนังสือ การแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ลูกสามารถสัมผัสได้ถึงความรักที่เรามีต่อเขา ทุก ๆ วันเราแสดงถึงความรักต่อลูก ๆ อยู่เรื่อย ๆ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นวันไหน ก็เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ อย่าคิดว่าเราต้องแสดงออกถึงความรักเฉพาะตอนที่เขายังเด็ก ๆ อยู่เท่านั้น ตอนลูก ๆ โตแล้ว เราก็ยังสามารถแสดงออกถึงความรักและความใยที่เรามีต่อเขาได้ แสดงให้เป็นรูปธรรมไปเลย อย่าเหมาหรือคิดเอาว่าลูกก็คงรู้แหละ บางทีถ้าเราบอกหรือแสดงออก มันก็ทำให้อีกฝ่ายหัวใจพองโตได้ กับคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บางทีลูกก็ไม่เข้าใจหรอกว่า daddy พูดว่าอะไร เพราะบางที daddy ก็พูดภาษาไทย เด็ก ๆ ไม่เข้าใจ แต่ก็น่าจะสัมผัสรับรู้ถึงน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเปลี่ยนไปของ daddy ได้ บางทีเราก็พูดเป็นภาษาไทยว่า "อะไรนะลูก" "อะไรเหรอลูก" ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน บางทีมันก็เป็นการ make conversion แบบง่าย ๆ เพราะบางทีเราพูดภาษาไทยกับพวกเขา เขาก็พูดเลียนแบบกลับมา เพราะพวกเขาไม่เข้าใจและไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ลูกเราพูดภาษาไทยไม่ได้จ๊ะ :) และก็ไม่เคยคิดจะสอน ถ้าเขาอยากจะเรียนรู้ก็ให้เขาไปเรียนรู้และขวนขวายเอง เราไม่ต้องการที่จะไปบังคับใครให้เป็นแบบไหน กับชีวิตที่มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย อย่าลืมบอกรักกันทุกวัน กอดกันไว้ให้แน่น ๆ เราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้ ชีวิตเราจะเป็นแบบไหน Don't take it for granted. |
บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณพ่อลูก 2 Archives
March 2024
|