|
เป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองหลาย ๆ คนนะครับ และรวมไปถึงเด็ก ๆ Year 12 (ม.6) ทุกคนนะครับ ที่ลูก ๆ กำลังเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบ HSC (แต่ละรัฐมีชื่อเรียกที่แตกต่าง)
ลูกสาวเรา ช่วงปิดเทอม เขาไปอ่านหนังสือที่ UOW Library ทุกวันครับ ทุกวันที่ "ทุกวัน" จริง ๆ; 9am - 9pm 12 ชั่วโมงครับโดยประมาณ ต่อวัน เขาได้ early entry ของ 3 มหาวิทยาลัยแล้ว อย่างไรก็มีที่เรียนแล้ว และเป็นคณะที่อยากเรียนด้วย แต่เขาก็อยากได้คะแนน ATAR ดี ๆ ด้วย ช่วงนี้เราก็ต้องคอยรับลูก 9pm จาก UOW Library 9pm; daddy ตาจะหลับแล้วครับ รับลูกเสร็จ กลับบ้านก็นอนเลย 8pm เราก็ไม่อยากจะออกจากบ้านแล้วนะ เราไม่ใช่คนกลางคืน ถ้าหมดฤดู HSC ก็คงสบาย ตอนนี้ก็ทน ๆ ไปก่อน การเตรียมตัวสอบ HSC ของลูกเราทั้ง 2 คนค่อนข้างแตกต่างกัน 1. ลูกชาย สมัยสอบ HSC เขาก็อ่านหนังสืออยู่บ้านนะ อยู่ในห้องตัวเอง เหนื่อยก็เดินออกมาหาของกินในตู้เย็น ถ้าไปห้องสมุดก็ไป Wollongong Library ในเมือง 2. ลูกสาว ไป UOW Library ทุกวัน ห่อข้าวห่อน้ำไปกินเที่ยงที่โน่น ส่วน dinner ก็ซื้อกันที่ UOW หรือไม่ก็ doordash กับเพื่อน ๆ หลายคนสั่งพร้อมกัน "ออสเตรเลีย เรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ได้" ...hmmm... ไม่จริงครับ - ลองถามเด็กที่เรียนห้อง "OC" ดูนะครับ (OC: Opportunity Class) - ลองถามเด็กที่เรียน Selective School ดูนะครับ - ลองถามเด็กที่ได้คะแนน ATAR; 95 ขึ้นไปดูนะครับ - ลองถามเด็ก Year 12 ตอนนี้ที่ปิดเทอมแต่เตรียมตัวสอบ HSC กัน (แต่ละรัฐมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป) ไปห้องสมุดทุกวัน 9am - 9pm ดูนะครับ คุณจะได้คำตอบที่แตกต่าง อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณเสพ online ลองใช้ critical thinking แบบไม่ลำเอียง บางสิ่งบางอย่างที่เราไม่พูด เพราะมันคือ "มารยาททางสังคม" นะครับ ไม่พูด ไม่ได้แปลว่า "ไม่คิด" anyway... เป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง และรวมไปถึงเด็ก ๆ Year 12 ทุกคนนะครับ ช่วงนี้เหนื่อยหน่อย แต่สอบเสร็จก็ปล่อย joy กันแล้ว ...ฮึบ... 💕💕💕 12/10/2025 💕💕💕 คุณลูกชาย ช่วงนี้ปิดเทอม UNSW แต่ก็ไม่ได้อยู่บ้านเลย เพราะซ้อมกีฬาฟันดาบของเขา
เป็นตัวแทนมหาลัย จะไปแข่งที่ Gold Coast อาทิตย์หน้า เขาก็ซ้อมหนักของเขาอยู่เหมือนกัน he ก็ทุ่มทุนสร้างไปฝึกกับโค้ชนอกมหาลัย ใช้เงินตัวเองนะครับในการไปฝึกกับโค้ชข้างนอก สำหรับ daddy แล้ว แค่ได้เป็นนักกีฬาของมหาลัย daddy ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว daddy อยากให้เขาไปม่วนจอย ๆ ที่ Gold Coast มากกว่า ไม่ต้องได้เหรียญอะไรกลับมาก็ไม่เป็นไร แต่ดูท่าทาง he น่าจะคิดตรงข้ามกับ daddy เพราะ he ยอมควักเงินตัวเองไปฝึกกับโค้ชนอกมหาลัยเลย อ๊ะ.... ว่ากันไป ไปให้สุดทาง ส่วนงานวิชาการ คะแนนของ Thesis part แรกก็ออกมาแล้ว ได้ 81% ก็ Distinction อยู่นะ ลูกก็ noy นิดหนึ่ง เขาก็อยากได้ 85% อยากได้ High Distinction ซึ่ง daddy ก็เข้าใจ ก็รอ part ต่อไป เผื่อมันจะดึงกันขึ้นมาก็ได้ ปีหน้ากลางปีลูกชายก็จะจบแล้ว Thesis น่าจะเสร็จช่วงนั้น 1. ป.ตรี ลูกชายใช้ HECS (เราไม่ได้จ่ายให้) 2. Daddy ยื่นข้อเสนอว่า "ถ้าหนูตัดสินใจเรียน ป.โท เมื่อไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตอนนี้ ไม่ว่าจะเรียน full-time หรือ part-time, daddy จะจ่ายค่าเทอมให้" ซึ่ง he ก็ไม่สนใจหรอก he อยากออกมาทำงาน ใช้ชีวิตนอกรั้วมหาลัยมากกว่า 3. Daddy แอบส่อง MBA online ของ UNSW แล้ว; $65K (citizen) แต่ถ้าแบบ face-to-face คงไม่ไหว; $84.5K (citizen) ไม่รู้นะ daddy คิดว่า ป.ตรีวิศวะ + MBA มันดีมากเลย คนเราก็ควรจะมีความรู้เรื่องการทำธุรกิจด้วย แต่นั่นแหละ he ก็ไม่สนใจ แต่ที่แน่ ๆ คือ "ถ้า" จะเรียน daddy ก็จะจ่ายค่าเทอมให้ในส่วนของ ป.โท 4. เอาจริง ๆ นะ ไม่ต้อง MBA ก็ได้ ถ้าจะเรียนต่อสายวิศวะก็ได้ เราคิดว่าลูกชายมีศักยภาพมากถึงมากที่สุด เขาค่อนข้าง academic แต่ก็นั่นแหละ he คงอยากออกไปโบยบินนอกรั้วมหาลัยแล้วล่ะ เหนือสิ่งอื่นใด mummy บอกว่า อย่าไปวุ่นวายกับชีวิตเขา... LOL ...ในความเป็นพ่อ... ...เราไม่ได้บังคับนะครับ แค่ยื่นข้อเสนอ... 21/09/2025 💕💕💕 เมื่อลูกน้อยโตขึ้น โดยเฉพาะคนโตที่ตอนนี้เรียนอยู่ปีสุดท้ายของ UNSW แล้ว
เริ่มทำ thesis ของวิศวะแล้ว เมื่อลูกน้อยโตขึ้น เขาก็มีชีวิตของเขา ปิดเทอมก็ไปเที่ยว snow กับเพื่อน ๆ เที่ยวเสร็จวันรุ่งขึ้นก็บินมาสมทบ daddy กับ mummy ที่ QLD เที่ยวด้วยกันเสร็จ ก็บินกลับพร้อมกัน เดชะบุญครอบครัวค่อนข้าง indepent เดินทางใครมัน เจอกันที่ destination เที่ยวด้วยกัน แล้วกลับบ้านพร้อมกัน คือไม่ต้องบินพร้อมกันตลอดเวลา เอาเวลาที่ทุกคนสะดวก โดยเฉพาะคนโต ถ้าต้องไปต่างรัฐด้วยกัน เสร็จ lecture จาก Uni แล้วค่อยบินตามมาตอนเย็น อะไรประมาณนี้ ปีนี้ปีสุดท้ายแล้วของการเรียนที่ UNSW ของลูกน้อย ปีหน้าครึ่งปีก็จัดการเรื่อง thesis ให้เสร็จ เขาเรียน Mechatronics Engineering (วิศวะหุ่นยนต์) เราไม่หนักใจเรื่องหน้าที่การงานเขาหรอกหลังจากเรียนจบ เอาจริง ๆ เราดูแลครอบครัวเราได้ 4 คน จาก passive income ที่เรามีอยู่ตอนนี้ พวกเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร ใจลึก ๆ เราก็อยากให้ลูกเราเรียนต่อโทและปริญญาเอกนะ เขาทำได้อยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างเขาต้องอยากทำเอง ชีวิตเขา เราปล่อย joy ขอให้ลูกมีความสุขพอ และดูแล 2 คนพี่น้อง พ่อกับแม่ก็จะได้เป็นอิสระโบยบินไปดูแลคนแก่ที่เมืองไทยและที่สิงคโปร์ได้ ชีวิตคนเราก็แค่นี้แหละครับ ดูแลกันไป คนในครอบครัว ครอบครัวเราอยู่ที่ Wollongong พวกเราไม่เคยมีนโยบายที่ซื้ออสังหาหรืออะไรใน Sydney เพราะราคามันแพงเกินเอื้อม เราเอาเงินไปซื้ออสังหาเพื่อการลงทุนที่อื่น รัฐอื่น มีคนเช่าอยู่แล้ว ได้ positive cashflow income ดีกว่า จริง ๆ คือพวกเราอยากจะปิด job ที่รัฐ NSW แล้วเพราะราคามันแพงเกินไป เราเอาเงินไปซื้อที่ WA หรือรัฐอื่นดีกว่า ซื้อได้หลายหลังเลยแหละ และมีคนเช่าอยู่แล้ว ทุกอย่าง buyer agent จัดการให้ได้
แต่เมื่อลูกชายเรียนใกล้จบที่ UNSW เออ เขาก็คง "อาจจะ" ทำงานใน Sydney น๊อ เขาก็ "อาจจะ" ต้องไปหาเช่า apartment อยู่น๊อ งั้นเราซื้อ apartment ใน Sydney หรือเมืองใกล้เคียงเลยดีกว่า เอาไว้ให้ลูกอยู่ หรือเผื่อลูกสาวอยากจะเข้าไปเรียนใน Sydney เขาก็ไปอยู่กับพี่ชายได้ อะไรประมาณนี้ หรือเวลาครอบครัวเราเข้าไปทำธุระใน Sydney ไม่ว่าจะไปดูละครหรือคอนเสิร์ต ก็ไม่จำเป็นต้องขับรถกลับ Wollongong อะไรประมาณนี้ ก็เป็นการซื้อความสะดวกสบายให้กับครอบครัวแหละ มันก็เลยเป็นที่มาของการหยอดกระปุกเพื่อซื้อ apartment แถว ๆ Sydney เราไม่ซื้ออะไรใน CBD หรอก เราไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่อยากเป็นหนี้ และเราก็คิดว่าราคาใน Sydney มันก็ overpriced เกิน เราไม่ได้ซื้อเพื่อการลงทุน เราซื้อเพื่ออยู่เอง จริง ๆ ก็ซื้อเป็น asset ให้ลูก ๆ ทั้ง 2 คน เราก็ซื้อ along the highway จาก Wollongong ไป Sydney (Princess Highway) มันง่ายดีในการขับรถกลับบ้านถ้าลูก ๆ จะกลับมาบ้านที่ Wollongong อะไรประมาณนี้ หลาย ๆ อาจอยากจะรู้ว่าต้องหยอดกระปุกมากไหมถึงจะซื้อได้ เราก็หยอดจนเกินราคาของ apartment ที่อยากจะซื้อครับ เราไม่ได้กะที่จะกู้ ไม่อยากเป็นหนี้เพราะมันไม่ใช่อันที่ซื้อเพื่อการลงทุน มันซื้อไว้อยู่เอง มันซื้อเอาไว้ให้ลูก ๆ 2 คน หรือถ้าจะกู้ ก็น่าจะแค่ 50% ถ้าลูกเริ่มทำงาน ลูกก็ต้องจ่ายค่าเช่า ก็จะเอาเงินตรงนั้นแหละมาจ่าย home loan ของ apartment หลังนี้ ถ้าจะกู้นะ aprtment นี้ก็ไม่ใช่เมืองที่เราอยากได้จ๋าเลยทีเดียว แต่ราคามันได้ ขนาดห้องมันได้ (100 ตารางเมตร) มันก็เขยิบมาจากเมืองที่เราอยากได้ 2-3 train stations อาจจะไม่ถูกใจลูกเท่าไหร่เรื่อง location แต่ลูกก็ชอบ design และอะไรหลาย ๆ อย่างของตึกนะ ที่แน่ ๆ ถูกใจ mummy มากเลย เพราะของกินเยอะ ใกล้แหล่ง shopping แต่สำหรับ daddy แล้วคือ "เฉย ๆ" เราแค่ต้องการซื้ออะไรทิ้งเอาไว้ให้ลูก ก็แค่นั้นเลยจริง ๆ ส่วนเมืองที่เราอยากจะได้จริง ๆ เขยิบเข้าไปใกล้ Sydney อีกหน่อย 2-3 train stations เดี๋ยวขอเวลาอีก 1-2 ปีหยอดกระปุกกันอีกรอบ คือถ้าซื้อเพื่ออยู่เองเราก็อยากซื้อสด ไม่อยากกู้ มันก็เลยต้องมีการหยอดกระปุก ไม่ใช่นึก ๆ อยู่แล้วไปกู้ อันนี้มันเพื่อการลงทุน วิธีคิดมันก็จะเป็นอีกแบบ คนเป็นพ่อเป็นแม่ มันก็แค่นี้แหละครับ ทำเอาไว้ให้ลูก สร้างเอาไว้ให้ลูก เขา 2 คนจะได้ไม่ลำบาก ส่วนเรากับภรรยาก็ลอยตัวแล้วหละ ก็น่าจะบินไป ๆ มา ๆ Australia - สิงคโปร์ - เมืองไทย เรายังทำงานเหมือนเดิมนะครับ แต่เปลี่ยนสถานที่ทำงาน งาน face-to-face consultation ที่ยังมีเหมือนเดิม บันทึกเอาไว้ในความทรงจำ เมื่อลูก ๆ โตแล้วให้เขาได้กลับมาอ่านกัน ผ่าน Google Translates (ลูกลิงไม่อ่าน ไม่พูดภาษาไทย ซึ่งก็ดีแล้วเราต้องการให้เป็นแบบนั้น คนไทยที่นี่ "ส่วนมาก" drama เยอะ ปวดหัว) ที่เรายังต้องคงทำงานหนักอยู่ทุกวันนี้เพราะเรายังเหลือ project สุดท้ายในชีวิตที่ออสเตรเลียที่ต้องทำ
คือซื้อ apartment 2 ห้องนอนใน Sydney ให้กับลูกลิงทั้ง 2 มันต้องใช้เงินเยอะมาก และมันก็จะเป็น apartment ให้กับลูกลิง ให้กับครอบครัวเรา มันจะไม่มีเงินจากค่าเช่ามาช่วยผ่อน ดังนั้นเราก็ยังคงต้องทำงานหนัก ถ้าลูกชายคนโตเริ่มทำงาน เขาก็ต้องมาช่วยออกค่าใช้จ่ายตรงจุดนี้ คือเขาก็ต้องจ่ายค่าเช่า ก็โอนเงินค่าเช่าเข้า home loan เลยนั่นแหละ เพราะ apartment ที่ Sydney ก็คือซื้อเอาไว้ให้ลูกทั้ง 2 คน; 2 ห้องนอน เอาไว้เผื่อพวกเราไปทำธุระอะไรใน Sydney ไม่อยากขับรถกลับ Wollongong ดึก ๆ เย็น ๆ รถติด เราก็ค้างที่นั่นได้ สำหรับครอบครัวเราแล้ว มันคือ project ที่ใหญ่ project ที่สำคัญ และน่าจะเป็น project สุดท้ายของพวกเรา เราจะยังคงซื้อบ้านเพื่อการลงทุนนะครับ ซื้อกับ buyer agent แต่บ้านเพื่อการลงทุนเหล่านั้น มันมีคนเช่าอยู่แล้ว เวลาเราเลือกซื้อกับ buyer agent เราจะซื้อเฉพาะหลังที่มีคนเช่าอยู่แล้วเท่านั้น คือจะต้อง positive cashflow income from day one อันที่ซื้อเพื่อการลงทุน หรือที่ซื้อกับ buyer agent พวกเราไม่เครียดกัน เพราะพวกเราทำการบ้านแล้ว ก่อนซื้อ และพวกเราซื้อในราคาที่ไม่แพงมาก พวกเราเลือก suburb ที่พวเราเอื้อมถึง จับต้องได้ แต่อันนี้ที่ Sydney ที่จะซื้อเพื่ออยู่เอง ซื้อให้ลูก ๆ เวลาพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ที่ออสเตรเลียแบบถาวรแล้ว ลูก ๆ จะได้ไม่ลำบากเรื่องที่อยู่ เพราะที่อยู่ใน Sydney ค่อนข้างแพง เราไม่อยากให้ลูก ๆ เราเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนอย่างที่พวกเรา 2 คนเป็น ก็แค่นั้นเอง มันคือหน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า "ไม่เห็นจำเป็นเลย ก็ให้ลูก ๆ หาเองสิ" hmmm... เอาเป็นว่า ชีวิตทุกคน "ไม่มีถูกไม่มีผิดนะครับ" พวกเรา "สะดวกแบบนี้" เรารักของเราแบบนี้ ส่วนลูกอยากจะอยู่หรือเปล่า อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าลูกไม่มาอยู่ เราก็ปล่อยเช่า ก็แค่นั้นเอง หรือถ้าลูกมาอยู่ ถ้าเรียนจบแล้วทำงานแล้ว ลูกก็ต้องจ่ายค่าเช่า เราก็เป็น landlord ให้ลูกไป ในราคาที่ย่อมเยาว์ หรือถ้าลูกอยากอยู่ใน Sydney ใจกลางเมืองเลย อันนั้นลูกต้องหาที่เช่าเอง เพราะเราคงไม่ทำอะไรให้แบบนั้น หลาย ๆ ที่แถว Wollicreek หรือเมืองใกล้เคียง 2-bedroom 2-bath apartment ก็ $1M+ AUD แล้ว เราไม่ต้องการ provide อะไรก็เกินกำลังเรา มันจะเหนื่อยเกิน ถ้าเสร็จ project นี้ก็ถือว่าหน้าที่เรากับภรรยา complete แล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เรา 2 คนก็จะออกไปใช้ชีวิตของพวกเรา ทำงานบ้าง เดินทางบ้างของพวกเราไปเรื่อยเปื่อย มันคือแรงขับเคลื่อนในการทำงานทุกวันนี้ 🏠 🏠 🏠 ปีที่แล้ว; 2024 เราไปทำงานที่ Melbourne
เป็นช่วงที่ลูกสาวเราปิดเทอมพอดี เราทำงานเสร็จลูกสาวเรากับภรรยาก็บินตามสมทบ ส่วนลูกชายเรา เสร็จ lecture วันศุกร์ เขาก็บินตามมาสมทบ ในระหว่างที่เดินโต๋เต๋กันใน Melbourne เราเดินผ่านตึก commercial building ที่เราซื้อหุ้นอยู่ เราก็เลยคุยกับลูกสาวถึงเรื่องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของออสเตรเลีย; ASX (Australian Securities Exchange) ลูกสาวเรายังเล็ก ยังอยู่ high school อยู่ อาจจะไม่เข้าใจอะไรมาก เราก็เลยหันไปคุยกับลูกชาย เพราะเราจำได้ว่าเขาเคยเปิดบัญชีกับ CommSec (CommonWealth Securities Limited) เพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ - เราซื้อหุ้นที่เป็นตัว ๆ ไปเลยจาก ASX - ลูกชายซื้อที่เป็น ETF (Exchange Traded Fund) ลูกชายเราไม่ได้ซื้อเยอะ เขาก็ทุบกระปุกออมสินเขาซื้อตามประสาเด็กน้อยผู้ที่ซึ่งไม่มีเงินเก็บอะไรมาก เขาซื้อไป $1,300 ซึ่งก็ไม่ได้มากอะไร แต่สำหรับเราแล้ว เราอยากให้เขามีประสบการณ์ในการลงทุนตั้งแต่เด็ก เข้าใจระบบ finance ตั้งแต่เด็ก ซึ่งก็ดีแล้ว เราไม่ก้าวก่าย แต่เอาตามตรงนะ เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องให้เขาเรียนรู้เอง ล้มเอง เจ็บเอง เพราะเรื่องบางเรื่อง - ถ้า daddy บอกให้เลี้ยวซ้าย เขาก็อยากจะเลี้ยวขวา - ถ้า daddy บอกให้เลี้ยวขาว เขาก็อยากจะเลี้ยวซ้าย สุดท้ายเราก็ต้องปล่อย อย่างเช่น: - เราบอกว่าใช้ SelfWealth สิ ค่า brokerage ถูกดี $9.50/transaction ไม่น่าจะซื้อมากหรือซื้อน้อย เขาคิด per transaction เขาก็ไม่เอากับเราด้วย เขาก็ต้องไปใช้ CommSec เขาบอกว่าถูกดีมี promotion อะไรของเขาไม่รู้ตอนนั้น... hmmmm... ก่อนที่เราจะใช้ SelfWeath เราทำการเปรียบเทียบมาแล้วแทบทุกบริษัทนะ เราถึงใช้ SelfWealth แต่ก็นั่นแหละ เราก็ต้องปล่อยเขา - เราว่าการซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ น่าจะดีกว่าการซื้อ ETF นะ ETF ก็เหมือนพวกกองทุน (Unit Trust หรือ Mutual Fund) ที่ต้องจ่าย admin fee ให้กับ fund manager เหมือนกับ superannuation เราก็คิดว่าทำไมต้องจ่ายค่า admin fee พวกนี้ด้วย บาง Unit Trust บาง Mutual Fund ค่า admin fee เยอะมาก แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตเขา เราก็ต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้เอง อะไร ใด ๆ $1,300 ไม่ได้เยอะมาก เดี๋ยว daddy ค่อย ๆ เกา ค่อย ๆ ตบให้เข้ากรอบเข้ารูปเข้ารอย แค่ลูกชายเราคิดที่จะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เราก็คิดว่าดีแล้ว การเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ดีกว่าเสมอ ก็เหลือแต่คนเล็ก ที่ต้องรอให้อายุ 18 ปี จะได้เปิดบัญชีทำการลงทุนกับ ASX ได้ 1. ASX ของเรา เราลงทุนในรูปแบบบริษัท ในวันที่เราไม่อยู่ ลูก ๆ ก็มาสานต่อ มา take over ได้ อันนี้ลงทุนแค่ในรูปแบบของบริษัทเฉย ๆ ไม่ได้ทำเป็น discretionary trust แต่ accountant บอกแล้วว่าถึงเวลาค่อยเปลี่ยนก็ได้ 2. ASX ของลูกชายก็เป็นชื่อเขา ส่วนบุคคล ก็ไม่เป็นไร เงินลงทุนยังน้อยก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้ของเขาไป learning process, learning journey สำคัญกับการเรียนรู้ ลูกไม้หล่นใต้ต้น เห็นแล้วเราก็มีความสุข ลูกชายเริ่มเดินทางต่างประเทศเองกับเพื่อน ๆ เขาแล้วตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว (2023)
เมื่อเขาเดินทางเองกับเพื่อน ๆ เขา เขาก็ต้องจ่ายเองทุกอย่าง แตกต่างจากเดินทางกับครอบครัว เขาก็ใช้เงินเก็บของเขานั่นแหละ จาก weekly allowance บ้าง จากเงินที่ได้จากการสอนพิเศษบ้าง ปีที่แล้ว เขาก็ไปสิงคโปร์กับเพื่อน ๆ ของเขา เขาไปก่อน mummy 1 week เพื่อที่จะกิน เล่น เที่ยว กับเพื่อนเขาก่อน เขาก็พาเพื่อน ๆ ไปพักที่บ้านเราแหละ เพราะมี 2 ห้องนอน เด็ก ๆ ผู้ชายเดินทางง่ายหน่อย กินง่ายอยู่ง่าย ลุย ๆ ปีนี้เขาก็ไป New Zealand กับเพื่อน ๆ เขา เด็ก ๆ ก็พากันซื้อเป็น tour package อะไรของพวกเขา เราไม่ได้ถามอะไรมาก ปล่อยให้เขาไปใช้ชีวิต แต่ trip นี้เราก็ออกค่าใช้จ่ายให้ $5K ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิด (tour package ประมาณ $2.8K ที่เหลือก็แล้วแต่ลูกจะจัดการบริหารชีวิต) ลูกชายเราโตแล้วครับ ปีนี้จบ year 3; UNSW แล้ว ปีหน้าเรียน year 4 ช่วงปิดเทอมเขาก็ไปนั่น นี่ โน่น เรื่องของเขา เราปล่อยให้เขาใช้ชีวิตแบบอิสระ เพราะเรียนมหาลัยแล้ว โตแล้ว summer holiday ปีนี้พวกเราไม่กลับเมืองไทยหรือสิงคโปร์ เพราะเราเองก็เพิ่งกลับมาจากไทย พวกเราก็คงจะอ้อม ๆ แอ้ม ๆ กันอยู่แถวนี้แหละ ลูกชายเราโตแล้ว เขาก็เริ่มออกไปโบยบินอะไรของเขา เราก็เฝ้าคอยดูและเป็นห่วงเรื่องแค่เรื่องความปลอดภัยแค่นั้นเอง ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ แต่ก็อย่าโลดโผนเกิน เดินทางต่างประเทศ travel insurance ต้องมี ทีแรกเขาบอกว่าเขาจะไปญี่ปุ่นกัน กับเพื่อนอีกกลุ่มที่ UNSW แต่แผนล่ม น่าจะเรื่องการเงินแหละ เด็ก ๆ มหาลัย เงินไม่ได้เยอะอะไรมาก ส่วนที่ไป New Zealand เขาก็ไปกับเพื่อน ๆ ที่ Wollongong อันนี้ก็เพื่อนอีกกลุ่ม เราผู้ซึ่งเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ได้แต่เฝ้าดูการเติบโตของลูกน้อย การเดินทางเที่ยวต่างประเทศเองของเขาก็เป็นอีกหนึ่งก้าวเล็ก ๆ ของการเติบโตของเขา Daddy & Mummy ก็ได้แต่ตามดู Instagram's story ของเขา คนเป็นพ่อหรือหัวหน้าครอบครัว ทำงานเก็บเงินไว้เยอะ ๆ นะครับ เพราะบางทีค่าใช้จ่ายก็มาแบบไม่ได้ตั้งตัว
อาทิตย์ก่อนเราทำงานที่ Melbourne ลูกลิงตัวเล็กกับแม่ลิงบินตามมาสมทบวันพุธเย็น ลูกลิงตัวโตบินมาสมทบวันศุกร์เย็น 1. เรามีนัดเจอน้องลูกค้านอกรอบที่ hotel lobby ตอน 8:30pm น้องลูกค้าบอกว่าวันเสาร์จะไปดู "The Weekend" concert น้องลูกค้าถามเราว่า "พี่พาลูกไปดูสิ" เราก็ "The Weekend" อะไร ไม่รู้จัก 2. เรากลับขึ้นที่พัก แล้วก็บอกลูกลิงว่าวันเสาร์นี้มี "The Weekend" concert ลูกลิงก็บอกว่า ก็คนที่เราเปิดฟังเพลงเขาใน radio ตอนไปเที่ยวที่ Jervis Bay ไง แล้ว you ก็บอกว่าเพลงเพราะและ you ไม่ mind ที่จะไปเป็นเพื่อนฉัน อ้าวววว ซวยแล้ว daddy Promise อะไรไปทั่ว พูดเสร็จ เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังไม่รู้เลยว่า concert มันจัดที่ไหน อะไร อย่างไร แล้วเราก็เข้านอนประมาณ 10pm 3. อ้าว เฮ้ย... ลูกลิงกับ mummy ยังไม่พากันนอน พวกเขา 2 คนแม่ลูกพากันเข้าไปดูตั๋ว The Weekend - OMG... ยังมีตั๋วของวันเสาร์อยู่ - OMG2... ที่จัดคอนเสิร์ตเดินจากโรงแรม 5-10 นาที Daddy เจอ surprised แน่พรุ่งนี้เช้า 4. เป็นไปตามคาดครับ ตื่นเช้ามาลูกลิงก็มาอ้อน และ daddy ก็ใจอ่อน แต่ก็มีข้อแม้ว่าลูกสาวเราจะต้องชวนพี่ชายเขาด้วย เพราะลูกชายเราก็จะบินตามมาวันศุกร์เย็นหลังจากเสร็จ lecture สรุป: - ลูกชายเราไม่ไป เพราะเขาก็ไม่ได้ชอบ The Weekend อะไร มีแต่ลูกสาวที่ชอบ แต่ยังไงก็ต้องชวนก่อน เขาจะไปหรือไม่ไปอีกเรื่องหนึ่ง - เรา book ร้านอาหารเอาไว้ รอว่าจะไปทานกันวันเสาร์ตอนที่ลูกชายเราบินมาสมทบ เราก็เลยต้องเลื่อนวันที่ไปร้านอาหาร และวันเสาร์ก็ไปนั่งดู concert กับลูกลิง "นั่ง" ที่นั่งจริง ๆ ครับ นั่งเป็น bodyguard ส่วนลูกลิงก็เต้นแร้งเต้นกาอะไรของเรา เดชะบุญเราซื้อตั๋ว aisle seat ให้ลูกลิงได้ลุกขึ้นยืน สนุกเขาหละ ค่าเสียหาย 2 คน: $400 mummy + ลูกชายไม่ไป ดูคอนเสิร์ตเสร็จก็พากันเดินกลับโรงแรม 5-10 นาที ไม่ไกล :) ก็เป็นอีก family trip ที่ปล่อย joy กัน ลูกลิงทั้ง 2 เริ่มโตแล้ว เริ่มอยากเดินทางกับเพื่อนมากกว่าเดินทางกับพ่อแม่ เวลาไหนพวกเราว่างตรงกัน ก็ต้องพากันเก็บเกี่ยวเอาไว้ ก่อนที่ลูก ๆ ทั้ง 2 จะออกไปโบยบินกัน พ่อแม่เองก็จะพากันโบยบินด้วย :) บางทีค่าใช้จ่ายมันก็มาแบบไม่ทันตั้งตัวมาก ดังนั้นคนเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องตั้งรับกับค่าใช้จ่ายพวกนี้ให้ดี ๆ บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ทันทีที่ลูกชายเราขับรถได้ สิ่งแรกที่เราบอกลูกให้ทำก็คือ ลูกต้องซื้อประกันชีวิต
ประกันชีวิตหรือ life insurance เป็นสิ่งที่หลายครอบครัวไม่อยากพูดถึง เพราะดูเหมือนเป็นการแช่งคนในครอบครัว หรือเป็นลางร้ายอะไร ต่าง ๆ นานา เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ก็แล้วแต่ครอบครัวของใครมันนะครับ ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่เอาเป็นว่าครอบครัวเราเป็นแบบนี้ คือถ้าลูกชายจะเอารถเราไปขับ โดยเฉพาะใน Sydney อย่างแรกที่ต้องมี คือ "Life Insurance" ครับ มันซื้อกันได้ง่าย ๆ จาก superannuation ลูกชายเราทำงานเป็น tutor มีเงิน superannuation ดังนั้นเขาสามารถซื้อประกันชีวิตจาก superannuation ได้ และเราก็ให้เงิน pocket money; $150/week ดังนั้นเขามีเงินที่จะจ่ายตรงนี้ได้ Life Insurance จาก superannuation ที่ลูกชายเราซื้อก็ $13/week ไม่ได้เยอะมาก ซื้อเถอะ เพื่อความสบายใจ ในวันที่ลูกชายเราขับรถออกจากบ้าน ในวันที่เราเซ็นโอนชื่อเจ้าของรถ จากชื่อเราเป็นชื่อลูกชาย นั่นแหละ วันนั้นลูกชายเราก็เอา laptop มานั่งกรอก life insurance online application เลย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ให้เอารถไปใช้ใน Sydney บางครอบครัวอาจมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่สำหรับพวกเรา พวกเราผ่านความเจ็บปวดนั้นมาแล้วครับ เอาเป็นว่า ถ้าครอบครัวคุณผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาแล้ว คุณจะเข้าใจ!!! และลูกชายเราเองก็เข้าใจว่าทำไม daddy ถึงต้องให้ซื้อเอาไว้ เราไม่ได้แช่งคนในครอบครัว ชีวิตทุกคนมีค่าครับ ดังนั้นเราก็ translate "ค่า" นั้นออกมาให้มัน tangible จับต้องได้ไปเลย แค่นั้นเลยจริง ๆ เมื่อ daddy ต้องแชร์รถกับลูกชาย
ให้เราก็ set radio station เอาไว้ station หนึ่ง ฟังสบาย ๆ ส่วนลูกชาย เวลาเอารถไปขับ เขาก็ set radio station ไปอีก station หนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนกันไปมา จริง ๆ แล้วช่วง weekend เหมือน daddy โดนยึดรถไปแล้วเรียบร้อย ลูกชายก็จะมีธุระไปนั่น นี่ โน่น ตลอด... ซึ่งก็ดีแล้ว เราก็ encourage ให้เขาไปใช้ชีวิต ตอนนี้แค่รอย้ายบ้าน เพิ่งได้ furniture ครบเมื่อวาน; 17/06/2024 Daddy ก็คงจะซื้อรถใหม่ ส่วนคันนี้ก็คงยกให้เขา ให้เขาขับคันนี้ไปก่อน รอเรียนจบปีหน้าค่อยว่ากัน ลูกลิงของ daddy ตอนนี้ไม่ใช่ "ลูกลิง" แล้ว เรียนปี 3 แล้ว ปีหน้าจบ #ฉันรักเขา |
บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณพ่อลูก 2 Archives
October 2025
|
RSS Feed