วันนี้เป็นวันแรกที่ภรรยาเราเข้าทำการรักษาด้วย Chemotheraphy
ชั่วโมงแรกเราก็เข้าไปนั่งฟังด้วย แต่หลังจากนั้น ก็ต้องออกมา เพราะช่วงนี้สถานการณ์ COVID และคนไข้ส่วนมากก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นทางโรงพยาบาลก็เลยจำกัดให้แค่คนไข้เท่านั้นอยู่ในห้องคีโม คีโมครั้งแรก 2 hr ความรู้ที่ได้จากพยาบาลวันนี้คือ: - เราไม่จำเป็นต้องแยกห้องน้ำกันก็ได้ เพราะภรรยาก็ไปอ่าน comment ตามพวกกลุ่ม social ต่าง ๆ ว่าคนป่วยต้องแยกห้องน้ำ เพราะว่าสารเคมีจะออกมาจากร่างกาย อาจจะไปแปดเปื้อนคนอื่น พยาบาลบอกว่าก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น คนป่วยสามารถใช้ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำร่วมกันกับทุกคนในครอบครัวได้ แต่ห้องน้ำ เวลาใช้โถส้วมเสร็จ จะต้องปิดฝาก่อน แล้วกดชัดโครก 2 ครั้ง เพื่อให้มัน flush สารเคมีที่ออกมาจากร่างกายของคนไข้ ให้มันลงไปตาม toilet bowl - คนไข้ไม่จำเป็นต้องนอนแยกเตียงกับคู่รัก ถ้หากมีเพศสัมพันธ์กัน make sure ว่าต้องใส่ condom เพราะร่างกายของคนไข้จะมีสารเคมีที่มาจากคีโม - สามารถ hugs, kissess ได้ตามปรกติ - ไม่ต้องซักผ้าแยกกัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามแต่ที่คนไข้มีเหงื่อออกจากแบบผิดปรกติ แบบ soaking wet in the middle of the night, เสื้อผ้าต้องใส่เก็บใส่ double bags เลย แล้ววันรุ่งขึ้นนำเอาไปซักแยกกับเสื้อผ้าคนอื่น ๆ แล้วต้องซักด้วยน้ำอุ่นเท่านั้น ซักน้ำเย็นไม่ได้ - ถ้าอุณภูมิร่างกายขึ้นเกิน 38 องศา ต้องโทรเรียกรถพยาบาลเท่านั้น (000) ห้ามมาโรงพยาบาลเอง ต้องมาด้วยรถพยาบาลเท่านั้น - ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อที่ร่างกายจะได้ flush สารเคมีออก - side effect ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่สภาพร่างกาย เท่านี้แหละที่จำได้....
0 Comments
พรุ่งนี้ (27 June 2022) ภรรยาเราต้องเริ่มทำคีโมแล้วซินะ
จริง ๆ แล้วภรรยาเราต้องเริ่มทำคีโตตั้งแต่วันที่ 20 June 2022; วันจันทร์ที่แล้ว แต่ก็ต้องเลื่อน 1 อาทิตย์เพราะหมอสั่งให้ไปตรวจสุขภาพช่องปากก่อนทำคีโม แล้วเผอิญไปเจอฟันคุดที่เริ่มจะผุ ก็เลยต้องทำการถอน ก็เลยต้องเลื่อนการทำคีโมออกไป 1 อาทิตย์ สาเหตุที่ต้องเช็คสุขภาพช่องปากเพราะว่า ช่วงที่ทำคีโม ภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะลดต่ำลงไปด้วย ถ้าช่องปากไม่สะอาดหรือเป็นอะไรขึ้นมา มันก็จะหายยาก เพราะร่างกายไม่สามารถ heal itself fast เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ร่างกายเรามี 60 ล้านล้านเซลล์ ร่างกายเราเกิดจาก 1 เซลล์ก่อน แล้วแตกตัวเป็น 2 เซลล์ 4, 8, 16, 32, 64, 128, 256, 512.... ไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นร่างกายเต็มตัว 60 ล้านล้านเซลล์ 9 เดือนกว่า ๆ อยู่ในท้องคุณแม่ มะเร็ง จริง ๆ แล้วก็เซลล์ของร่างกายเรานี่แหละ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรานี่แหละ แต่มันเป็นเซลล์ที่ทำงานผิดปรกติ พวกอนุมูลอิสระต่าง ๆ การรักษาโรคมะเร็งของแพทย์แผนปัจจุบันก็คือ: - ผ่าตัด เอาเซลล์หรือเนื้อร้ายออก - หลังจากนั้นก็จะใช้คีโมเข้ามาเพื่อไล่จับเซลล์ร้ายต่าง ๆ ที่มันอาจจะวิ่งไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย - แล้วตามด้วยการฉายแสงรังสี - แล้วตามด้วยการทานยาควบคุมฮอร์โมน (สำหรับบางคน) การทำคีโม ก็การใช้สารเคมีฉีดเข้าไปในร่างกาย แล้วก็ให้มันวิ่งไล่ฆ่าเซลล์ต่าง ๆ ที่มัน "คิดว่า" เป็นเซลล์มะเร็ง ปัญหาก็คือ คีโมคือสารเคมี มันไม่ใช่วัคซีน ไม่ใช่ไวรัสหรือ bacteria ดังนั้นมันไม่มีชีวิต มันไม่ได้ฉลาดไปซะหมดที่จะรู้ว่าเซลล์ไหนดี เซลล์ไหนเป็นมะเร็ง ดังนั้นเซลล์ดี ๆ ของเราบางส่วนก็จะถูกฆ่าหรือทำลายไปด้วย ดังนั้นภูมิต้านทานของเราจึงลดลง และเซลล์บางตัวที่ถูกทำลาย ก็คือถูกทำลายไปเลย ไม่ได้มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ดังนั้นร่างกายของคนที่เป็นมะเร็ง หลังจากได้รับการทำคีโม และการฉายแสงแล้ว ร่างกายก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อ เมื่อเราคุยกับคุณหมอมากขึ้น เราก็จะมีความรู้มากขึ้น การมีความรู้มากขึ้น บางทีก็เป็นดาบ 2 คม คือมันทำให้เราคิดมากขึ้น มันทำให้เรารู้ว่าร่างกายเราต่อไปจะไม่เหมือนเดิมนะ สิ่งที่จะตามมาก็คือสภาพจิตใจ บางคนก็รับได้ ส่วนบางคนก็รับไม่ค่อยได้ ก็ต้องใช้เวลา ร่างกาย เรายังพอรักษาได้ทั้งทางแพทย์แผนปัจจุบัน และวิถีธรรมชาติ แต่สภาพจิตใจนี่สิ มันละเอียดอ่อนยิ่งนัก จะบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก" "สู้ ๆ นะ" มันพูดง่ายไง ถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา ถ้ามันไม่ใช่ร่างกายเรา คนที่เขาเป็น เขาก็คงต้องกังวลและคิดไปต่าง ๆ นานาเป็นเรื่องปรกติ คนที่อยู่รอบข้างนี่แหละสำคัญ support network เป็นอะไรที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะครอบครัวหรือคนรอบข้าง ก็ต้องอยู่เคียงข้างกันไป บางทีเราไม่พูดอะไรมากก็ได้ แค่กอด แค่สัมผัส แค่แสดงออก อีกฝ่ายก็สามารถสัมผัสหรือรู้สึกได้ เรื่องบางเรื่อง ของบางอย่าง มันพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ภาษากายดีที่สุด มันบ่งบอกอะไรได้ละเอียดอ่อนยิ่งนัก ช่วงนี้ทุก ๆ เช้าของเรา ตื่นขึ้นมาก็นั่งดู YouTube ที่เกี่ยวกับโรคพวกนี้ มันทำให้เรารับมือกับมันได้ง่ายขึ้น ในฐานะของ support person เราจะได้ทำอะไรต่อมิอะไรได้ถูก คนที่ป่วยจะได้ไม่รู้สึกว่าเขากำลังสู้กับโรคร้ายคนเดียว จริง ๆ วันนี้เหนื่อยมาก วิ่งนั่น นี่ โน่น เพราะลูกลิงมี dance จริง ๆ ช่วงนี้ 10pm หัวต้องถึงหมอนแล้ว แต่วันนี้ขอละกัน ขอบันทึกเรื่องราวเอาไว้ ก่อนที่การทำคีโมจะเริ่มขึ้น ก่อนที่พวกเราทั้งครอบครัวจะ take a journey together ก็อยากจะบันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ เผื่ออีก 10-20 ปีข้างหน้าจะได้กลับมาอ่านถึงวัน ๆ นี้ ชีวิตไม่ง่าย แต่ก็จะไม่โทษอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ก็จะเงยหน้าแล้วเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กันทั้งครอบครัว as of 26/06/2022 ครอบครัวถือว่าโชคดี
พวกเราอยู่ที่ Wollongong กันมานาน ครอบครัวที่สนิท ๆ กันก็จะเป็นพ่อ ๆ แม่ ๆ ของเพื่อนลูก ๆ ที่โรงเรียน หรือไม่ก็ dance mums แม่ ๆ ของเพื่อนลูกลิงที่ไปเรียน dance ที่ studio เดียวกัน dance mums บางคนก็เคยมีประสบการณ์กับโรคร้ายนี้มาก่อน เขาก็มีการแชร์ข้อมูลกัน นั่น นี่ โน่น นัดไปทาน lunch นัดไปทาน dinner ก่อนที่จะผ่าตัด อย่างน้อย ๆ เรียมเองก็พอมีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ขึ้นมาบ้าง What to expect after this... and that... ต่าง ๆ นานา ครอบครัวเราโชคดีที่หนึ่งใน dance mums ที่ครอบครัวสนิทนั้นเป็น registered nurse เขาก็ยังมีใบประกอบวิชาชีพอยู่ ต่อใบประกอบวิชาชีพอยู่ตลอดเวลา แต่เขาเลิกเป็น registered nurse แล้ว เพราะฐานะทางบ้านค่อนข้างอู่ฟู่พอตัว สรุปคือไม่ต้องทำงานก็ได้ เพื่อน dance mums ที่เป็น registered nurse คนนี้ก็จะมาที่บ้านก่อนที่เรียมจะไปผ่าตัด เขาก็เอานั่น นี่ โน่น มาให้เพราะเขารู้ว่าคนไข้หลังผ่าตัดต้องการอะไร ด้วยที่ความเป็น registered nurse เขาก็จะอธิบายอะไรได้ detailed มาก ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่มีดีมากสำหรับพวกเราในการเตรียมตัวและเตรียมใจ ที่ peak ไปกว่านั้นบ้านเขาอยู่ห่างจากบ้านเราไม่กี่ไฟแดง 10-15 นาทีถึงกันได้ หลังจากผ่าตัด เรียมกลับมาที่บ้าน 2-3 วันแรก เขากังวลเรื่องแผลผ่าตัดตอน 3 ทุ่ม (9pm) ก็โทรหาเพื่อนคนนี้ เพื่อนคนนี้ก็บึ่งรถมาหาพวกเราที่บ้านเลยทันที (ไม่มีอะไรในกอไผ่ เรียมแค่วิตกกังวลไปเอง) แต่นี่คือ 9pm นะ ถ้าเราไม่มีเพื่อนที่เป็น registered nurse คนนี้ ลองคิดดูซิว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็คงต้องไปนั่งรอหมอที่ Emergency Ward ที่โรงพยาบาล พอวันรุ่งขึ้น 9am เรียมรู้สึกแปลก ๆ กับแผล รู้สึกคัน ๆ แผล เรียมก็โทรหาเพื่อน registered nurse คนนี้ ภายใน 10 นาทีเพื่อนก็มาถึงบ้าน มาช่วยดูแผล นั่น นี่ โน่น เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรในกอไผ่ เรียมแค่วิตกกังวลไปเอง imagine ถ้าเราไม่มีเพื่อนที่เป็น registered nurse คนนี้ เราก็คงต้องไปนั่งรอหมอที่ Emergency Ward ที่โรงพยาบาล เนื่องด้วยเรียมเป็นคนสิงคโปร์ ถ้าใครเคยอยู่สิงคโปร์มาก่อนจะรู้ว่า Singaporean "ส่วนมาก" จะเป็นยังไง เดี๋ยวว่าง ๆ วันหลังจะเขียน blog ให้อ่านเรื่อง culture หลายสิ่งอย่างของคน Singaporeans เอาเป็นว่า เรารู้สึก at ease ที่มีเพื่อนแบบนี้ มีอะไรพวกเราก็ speed dial ได้เลย เพื่อน ๆ ทุกคนบอกว่าโทรได้ 24 hr บางคนอาจจะบอกว่า ไม่รู้สึกเกรงใจบ้างเหรอ hmmm.... พวกเรารู้จักกันมานาน จนมันเลยจุดนั้นไปแล้วหนะจ๊ะ เราก็พอจะรู้ว่าคนไหนที่เราสามารถโทรได้เวลาต้องการความช่วยเหลือ ที่เขียนมาทั้งหมด ก็แค่อยากจะบอกว่า ในยามยาก มันทำให้เรารู้ว่า "มิตรที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีเยอะ" จริง ๆ มันทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ทุกวันนี้พวกเราก็เลย focus ไปที่ครอบครัว และคนที่อยู่ใน "inner circle" เท่านั้น ใครที่ outer หน่อย เราก็จะไม่ค่อยอีนังขังขอบกับใคร ถึงทุกคนที่อ่าน blog นี้ post นี้ ขอให้ทุกคนได้เจอ "มิตรที่ดี" นะครับ หากยังไม่เจอ ขอให้เจอภายในเร็ววัน สำหรับใครที่เจอแล้ว ขอให้รักษาพวกเราเอาไว้นาน ๆ เพราะมันทำให้เราชุ่มฉ่ำหัวใจได้ หลังจากที่เรียมผ่าตัดเสร็จ ก็ต้องรอ 4 weeks ก่อนที่จะเริ่มคีโม
รอให้ร่างกายพักฟื้น รอให้ร่างกายพร้อมกับการทำ treatment ในระหว่างนี้เรียมก็ต้องตรวจนั่น นี่ โน่น เพิ่ม น่าจะ ultrasound ทั้งหมด 5 รอบ ทำไปแล้ว 4 เหลืออีก 1 (รอให้ร่างกาย rest) OK นะ เราไม่ได้มีปัญหากับการตรวจเพิ่ม นั่น นี่ โน่น เรารู้สึก appreciate กับสิ่งหมอสั่งให้พวกเราทำ ซึ่งพวกเราก็ต้องเป็นเด็กดี ทำตามที่หมอสั่งทุก สิ่ง อย่าง ไม่ต้องถามว่า "เหนื่อย" มั้ย บอกเลยว่า "มาก" ถึง "มากที่สุด" แต่... ไม่ท้อ บางทีเราก็แอบคิดในใจนะว่า ทำไมพวก billionair ทั้งหลาย Elon Musk เอย ต่าง ๆ นานา ไม่คิดค้นหรือผลิตพวก medical equipment ที่มัน high tech แบบที่ตรวจปุ๊บ แล้วรู้เรื่องเลย ว่าเป็นอะไร ยังไง OK แหละ มันอาจจะดูฝันเฝื่องและไร้สาระ แต่คนก็ไม่เจอกับตัวเองมันก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง ก็แค่แอบเพ้อ ใครไม่เจอไม่มีทางได้รู้ 07/06/2022 กับใครบางคน
ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พี่น้อง แต่เขาก็คอยส่งข้าวส่งน้ำช่วงนี้ทุก ๆ 2-3 วัน เราแค่ซื้อวัตถุดิบไปวางไว้ที่หน้าบ้านพี่เค๊า เราเองก็ busy ต้องวิ่งนั่น นี่ โน่น วันหนึ่งหลายที่ ไม่ได้มีเวลาแวะไปเอา พี่เค๊าก็แวะเอามา drop ให้ที่บ้าน ช่วงนี้ก็ยังดี มี mum บินมาจากสิงคโปร์ช่วย cook นั่น นี่ โน่น อย่างน้อยครอบครัวเราก็ตัดปัญหาเรื่องทำกับข้าวไป ช่วงนี้เราก็งดอาหารปิ่นโตจากป้าคนไทย ก็ทานที่ mum cooks ที่พี่คนไทยนำเอามาให้ แค่ทำงาน เราก็ busy มากพอแล้ว งานต้องเดินต่อ ต้องไม่กระทบ แค่วิ่งเข้าออกโรงพยายาล เราก็ busy มากพอแล้ว และก็ต้องวิ่งรับส่งลูกลิงตัวเล็กด้วย (บางทีเพื่อน ๆ dance mum ก็ช่วยรับส่ง สลับกันไปมา เรารับลูกเค๊ามั่ง เขารับส่งลูกเรามั่ง เป็น community ที่อบอุ่น) เมื่อทุกอย่างตอนนี้ต้องมาตกอยู่ที่เราคนเดียว ตั้งแต่เตรียม lunchbox ลูกลิงก่อน 7am และต่าง ๆ นานา การมี "มิตรที่ดี" มันช่วยผ่อนแรงได้เยอะจริง ๆ แค่คิดเรื่องการต่อสู้กับโรคร้าย ตอนนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ตอนนี้ก็รอผลตรวจอะไรหลาย ๆ อย่างก่อนที่จะเริ่มทำการรักษาขั้นต่อไป การมี "มิตรที่ดี" มันทำให้เราอุ่นใจ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในประเทศที่กว้างใหญ่แห่งนี้ กับโรคร้ายแบบนี้ เรื่องรักษาทางร่างกาย เราก็ปล่อยให้หมอดูแล แต่เรื่องจิตใจ เราก็ต้องให้กำลังใจกันและกัน ข้างในจะทุกข์ยังไง ข้างนอกต้อง happy joy joy เพราะอารมณ์และความรู้สึก มีผลกระทบต่อฮอร์โมนเสมอ และสภาพจิตใจของลูกลิงด้วย การมี "มิตรที่ดี" มันก็ช่วยเบาแรงเราได้หลายอย่าง จนบางทีขวัญเองก็พูดกับเรียมว่า "เราจะทดแทนบุญคุญพวกเขายังไงไหว" การที่เราได้มาเจอกันวันนี้ ทุกสิ่งอย่าง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ชีวิตทุกวันนี้ มันทำให้เรารู้ว่า "มิตรที่ดี" ไม่จำเป็นต้องมีเยอะ เขียนเอาไว้เป็นความทรงจำ ตามอารมณ์และความรู้สึกช่วงนี้ เขียนรวดเดียวจบ ไม่ proof read, เพื่อความ real 04/06/2022 |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2023
Categories |