ทุกเรื่องราวของชีวิต ในร้ายมีดี ในดีมีร้าย
กับช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต ครอบครัวเราต้องเจออะไรที่ไม่อยากเจอ ในร้ายมีดี ในดีมีร้าย ในมืดมีสว่าง ในสว่างมีมืด วันที่ภรรยาเรารู้ว่าเขามีเนื้อร้ายในร่างกาย เพื่อน ๆ และคนรอบข้างก็ support ครอบครัวเราในหลาย ๆ เรื่อง มิตรภาพเหล่านี้มันมีอยู่แล้ว ส่วนการบริการในระหว่าง treatment ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกสารและโรงพยาบาลรัฐบาล บอกได้เลยว่าภรรยาเราได้รับการดูแลที่ดี การบริการที่ดี การบริการที่ world class มาก OK... โรงพยาบาลเอกชนมันก็มีค่าใช้จ่าย แต่ก็ไม่ได้แพงมากอย่างที่หลาย ๆ คนคิดหรือหลาย ๆ คนกลัว ต่อให้เราไม่มี private heath insurance ก็ตามเถอะ OK... พนักงานและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาล ทั้งของรัฐบาลและเอกชนเขาก็ทำหน้าที่ของเขา แต่บอกได้เลยว่าทุกคน go above and beyond จริง ๆ
0 Comments
ครบ 5 อาทิตย์ของการฉายแสงแล้ว
เดชะบุญ ผิวไม่ไหม้ อาทิตย์หน้าเก็บตก จันทร์-พุธ เพราะศูนย์ฉายแสงหยุดช่วง Xmas และปีใหม่ คนที่ทำ 30+ ครั้งขึ้นไปผิวอาจจะไหม้ หลังจากนี้ครอบครัวเราขอนั่งอยู่เฉย ๆ ซัก 1 อาทิตย์แบบ nothingness นั่งหายใจทิ้งซัก 1 หนึ่งอาทิตย์ดูหน่อยซิ โลกจะถล่มมั้ย ลูกค้าทุกคนยังติดต่อได้ตามปกตินะครับ ที่พักที่จะไปมี Wi-Fi แต่อาจจะไม่ได้นั่ง submit case case ต่าง ๆ submit ค่อนข้างจะหมดแล้ว ก็แค่ maintain และตอบ email ลูกค้านิดหน่อยแค่นั้นเอง เวลาที่เหลือก็คงพัก แบบพักจริง ๆ มีหนังสือหลายเล่มที่ได้มาช่วงปีใหม่ เรากราบขอบคุณทุกคนอยากหัวจิต ต้องรู้ใจจริง ๆ ถึงจะรู้ว่าเราอ่านหนังสือแนวไหน แต่ถ้าติดตาม page นี้ ก็พอรู้แหละว่าเราอ่านแนวไหน ทุกวันที่ภรรยาเราฉายแสง เราก็นั่งรอที่ cafe ข้างล่าง นั่งอ่านหนังสือ หรือบางวันก็ขึ้นไปรออยู่ด้านบน มี lobby ค่อนข้างโอ่โถง ฉายแสง ทุกอย่างฟรี เข้าระบบ Medicare Healthcare system ที่นี่มันดีอย่างนี้นี่เอง เราไม่เคยเสียใจที่ต้องเสียภาษีหลักแสน AUD เพราะชีวิตคนเรา ประเมินค่าไม่ได้จริง ๆ ถ้าหากไม่เกิดขึ้นกับตัวคุณ คุณเองก็คงก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยงเลยจริง ๆ ...อโรคาพยาธิ... 13/01/2023 4 อาทิตย์ผ่านไปกับการฉายแสงบำบัด
ผิวยังไม่ไหม้ แต่ก็ต้องเฝ้ารอระวัง คนป่วยเองก็พยายามทาครีมอยู่เรื่อย ๆ อาทิตย์หน้าอาทิตย์สุดท้ายแล้ว และอาทิตย์ถัดไปก็ต้องทำชดเชยช่วงวันหยุดที่ทางศูนย์เขาหยุดไปช่วง Xmas และปีใหม่ การฉายแสงไม่มีผลข้างเคียงภายใน จะแค่เรื่องผิวไหม้ที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ที่ผ่านมาก็ถือว่า OK ไม่เหนื่อย ไม่เพลียเหมือนการทำคีโม ขอให้อาทิตย์หน้า อาทิตย์สุดท้ายผ่านไปได้ด้วยดีด้วยเถอะ ฉายแสงทุกอย่าง ok
ฉายมาได้ 2 อาทิตย์ละ 10 ครั้ง เหลืออีก 3 อาทิตย์ 15 ครั้ง อาทิตย์หน้าผิวอาจจะเริ่มไหม้ ครีมทาผิวอะไรต่าง ๆ ต้องพร้อม ไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการให้คีโม ไม่อ่อนเพลียเหมือนการให้คีโม คนป่วยเริ่มใช้ชีวิตตามปกติ ไปไหนมาไหนก็ขับรถเองได้ แต่ไปโรงพยาบาลเราก็ขับให้ ไปด้วยกัน ไปให้กำลังใจ ฉายแสงครั้งละ 20 นาที ทุกอย่างฟรี ที่ผ่านมา เพื่อน ๆ ชาวต่างชาติทำกับข้าวให้ทุก ๆ วันจันทร์ อังคาร ศุกร์ เพื่อนชาวเกาหลี 1 คน, มาเลเซีย 2 คน และน้องคนไทยทำให้วันพฤหัส บุญคุญครั้งนี้จะจดจำไปจนวันตาย ฉายแสงเสร็จเดือนหน้า ก็คงจะย้ายบ้านเลย บ้านเสร็จแล้ว ได้กุญแจตั้งแต่ October 2022 แล้ว เหลือแค่ทาสี ไม่กี่วันก็ทาเสร็จ ย้ายบ้าน บ้านใหม่ furniture ทุกอย่างใหม่หมด ของเก่าจากบ้านเดิมจะไม่ขนไป จะเอาไปแค่เครื่องซักผ้าและตู้เย็น (ให้ลูกลิงที่อยู่ชั้นล่าง) โต๊ะ เตียง เก้าอี้ โซฟา ซื้อใหม่ brand new หมด Travel light, moving light บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ 27/12/2022 radiotherapy หรือฝรั่งที่นี่ก็เรียกว่าการรักษาด้วย radiation
ภาษาไทยก็คือการรักษาโรคร้ายด้วยการรังสี หรือภาษาบ้าน ๆ ก็คือการ "ฉายแสง" การฉายแสงจะทำหลังจากการให้คีโม คีโมคือการฉีดสารเคมีเข้าไปในร่างกาย เข้าไปในเส้นเลือด แล้วมันก็จะวิ่งไปทั่วร่างกาย เพื่อพยายามฆ่าเซลล์ร้าย (ตามทฤษฎี) การให้คีโม สำหรับ "เรียม" แล้ว ร่างกายก็ค่อนข้างเหนื่อย เพราะตัวยาหรือสารเคมีที่ใช้ อาจจะเป็นโรคร้ายของเขาอยู่ในระยะที่ 3 คีโมก็ใช้ก็เลยต้องแรงนิดหนึง ทุกครั้งที่ทำคีโม ร่างกาย "เรียม" จะอ่อนเพลียเสมอ สงสารจับใจ ใครไม่เจอ ไม่มีทางได้รู้หรอก ที่อ่าน ๆ กันมาตาม Internet หรือที่ฟัง ๆ คนอื่นพูดมาล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งแค่ "ฉาบฉวย" เมื่อไหร่มันเกิดขึ้นกับตัวเราเองหรือคนใกล้ตัวเท่านั้นแหละ เราถึงรู้สึกถึง impact ของมันอย่างแท้จริง การฉายแสงเป็นอะไรที่ไม่ค่อย intrusive เหมือนการให้คีโม ดังนั้นร่างกายโดนทั่ว ๆ ไปค่อนข้าง OK ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย แต่การฉายแสงคือการเอาแสงรังสีมาจี้ไปที่จุด ๆ เดิม ๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 20-30 นาที และต้องทำทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ใครจะทำนานกี่อาทิตย์ก็แล้วแต่ case ของใครมัน "เรียม" ต้องทั้งหมด 5 อาทิตย์ ก็จะทำทั้งหมด 25 ครั้ง ดังนั้นผิวก็จะไหม้ หมอและพยาบาลก็จะบอกให้คนไข้ใช้ body lotion หรือ moisturiser ทาตรงจุดนั้น ๆ ทุกวัน เกิดเป็นคนมันไม่ง่ายเลยนะ นี่แหละความทรมานของการมีชีวิตอยู่ ความทรมานหรือของการ "เกิด" แต่เมื่อคนเราเกิดมาแล้ว เราก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ให้ควาสุข ใช้ชีวิตนี้ให้มันคุ้มค่า ปัญหามันเข้ามา ก็ต้องต่อสู้กันไป ไม่ต้องถามว่าเหนื่อยมั้ย บอกเลยว่า "มาก ถึงมากที่สุด" บางทีชีวิตก็อยากจะอยู่เฉย ๆ "nothingness" บ้าง อะไรบ้าง 8am: Chemo set ใหม่
เริ่มวันนี้หลังจากโดนเลื่อนอาทิตย์ที่แล้ว ตัวยา (สารเคมี) อ่อนลง Set ใหม่ต้องทำทุก week x 12 weeks... ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยด้วยเถิด เพราะ set แรกตัวยาแรงมาก ทำเสร็จแล้วร่างกายอ่อนเพลียตลอด ระยะที่ 3, chemo ที่ใช้ก็เลยต้องแรง วันจันทร์จะเป็นวันที่ยุ่งมากถึงมากที่สุด เพราะต้องวิ่งเข้าออกโรงพยาบาล และก็ต้องวิ่งรับส่งลูกลิงด้วย ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องเดินหน้าสู้ต่อกันต่อไป รู้สึกว่าชีวิตไม่โดดเดี่ยว มีกลุ่มเพื่อน "หมู่มวลมิตรที่ดี" มาดูแลเรื่องการทำอาหารให้ เพราะ mum กลับสิงคโปร์แล้ว พวกเรา 4 คนก็ต้องจัดการชีวิตพวกเราให้ได้ ลูกลิงตัวโตก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักนักศึกษา Mon-Wed ก็โชคดีไป ลูกลิงโตแล้ว จัดการเรื่องอาหารการกินของตัวเองในช่วงที่อยู่ที่หอ รู้สึกขอบคุณ "หมู่มวลมิตรที่ดี" ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในยามยาก ในเรื่องของอาหารการกิน ส่วนมากเพื่อนก็เป็นชาวต่างชาติ + น้องคนไทย 1 คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในยามยาก รู้สึกขอบคุณฟ้าเบื้องบน อย่างน้อยครอบครัวเราก็ไม่ได้สู้และ battle กับโรคร้าย alone ขอบคุณ "หมู่มวลมิตรที่ดี" ที่เข้ามาในชีวิต ขอบคุณ "ครอบครัว J" ที่ช่วยเหลือเรายามยากในช่วงนี้ ขอบคุณ "inner circle" ที่ยังรักกัน ทุกวันนี้บีบ "inner circle" ให้เล็กลง แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ชีวิตทีเหลือต่อจากนี้ก็คงจะอยู่กันเงียบ ๆ แค่พวกเรา 4 คนในครอบครัว + "หมู่มวลมิตรที่ดี" + "ครอบครัว J" + "inner circle" ก็พอแล้ว ชีวิตไม่ต้องเวิ่นเวอร์มาก เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็มีความสุขดีแล้ว ก็เพราะความสงบนั้นราคาแพง สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น ในวันที่เราต้องการใครสักคน
ในวันที่เรา feeling vunerables จะมีใครซักกี่คนที่พร้อมจะช่วยเหลือเราอย่างจริงใจ แบบไม่หวังผลอะไรใด ๆ I can count with 1 hand. ในวันที่เราต้องการใครสักคน ในวันที่เรา feeling vunerables เราก็ต้องไม่ปากหนักด้วย ก็ต้องกล้าที่จะปริปากด้วย ไม่ปริปาก คนอื่นก็ไม่รู้ ช่วงนี้เรียมให้คีโม ร่างกายอ่อนเพลีย mum ก็เพิ่งกลับสิงคโปร์ ก็ได้หมู่มวลมิตรที่ดีนี่แหละที่คอยช่วยเหลือเรื่องอาหาร เราสามารถสั่ง takeaway หรือ delivery ได้ทุกวันครับ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงิน แต่เนื่องด้วยโรคร้ายที่คนในครอบครัวเราเป็น เราค่อนข้างซีเรียสกับ ingredient ที่ทางร้านอาหารใช้ ก็เลยต้องเลือกที่จะกินอาหาร home cook เท่านั้น ทุกวันนี้ก็เลยต้องจัดการชีวิตใหม่ ขอบคุณใคร "someone out there." You know you who are ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในยามยาก ในวันที่รู้สึกอ่อนแอ ในวันที่เราเหนื่อย เราก็จะจดจำทุกมือที่ยื่นเข้ามา (แบบจริงใจ) คีโม set ต่อไปยาไม่ค่อยแรงละ แต่ต้องทำทุก ๆ week ก็ไม่รู้ว่า set ต่อไปจะเป็นยังไง ตอนนี้ทุกอย่าง week by week เลย!!! stand by ตลอด 24 hr เพราะเราไม่รู้เลยแต่ละวันร่างกายจะ response กับการรักษาอะไรยังไง ก็ต้องสู้กันไป ขอบคุณใคร "someone out there" You know you who are ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในยามยาก เขียนเพื่อเป็นความรู้ เป็นวิทยาทาน
Note: การรักษาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการรักษาก็มีวิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ การรักษาตอนนี้อาจจะแตกต่างจาก 5-10 ปีที่แล้ว โปรดอ่านเพื่อแค่เป็นความรู้เฉย ๆ และตัวเราเองก็ไม่ใช่หมอ เรียมเป็นมะเร็งที่เต้านม ตรวจเจอตอนระยะที่ 3 และค่อนข้าง aggressive ดังนั้นการรักษาค่อนข้างไว รอไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก เราและครอบครัวค่อนข้างพอใจกับการรักษาของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน Treatment Plan หลังผ่าตัดของเรียม หมอมีให้เลือก 2 แบบ 1: แบบแรก ตัวยาไม่แรง ให้คีโมทุก ๆ 3 weeks เป็นเวลาเท่าไหร่ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว คือข้อมูลมันเยอะมาก ดังนั้นเวลาไปหมอ ต้องไปกัน 2 คนนะครับ คู่รัก อย่าไปคนเดียว เพราะถ้าไปคนเดียว เวลาเดินออกมาจากห้องหมอ อาจจะจำอะไรไม่ได้แล้วก็ได้ เพราะมันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้อง process ตัวยาไม่แรง คีโมก็จะสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้แค่ 30-40% (เหมาะสำหรับคนที่เป็นระยะเริ่มต้น) 2: แบบที่ 2 ตัวยาค่อนข้างแรง แต่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ 70-80% ครอบครัวเราเลือกทำแบบที่ 2 ซึ่งหมอเองก็แนะนำให้ทำแบบที่ 2 แหละ เพราะของเรียมมันระยะที่ 3 แล้ว ไม่รู้ว่ามันแพร่กระจัดกระจายไปส่วนไหนของร่างกายแล้วบ้าง ที่ทำ PET scan ก็ไม่มีที่อื่น มีแค่ที่เต้านม แต่คีโมก็เพื่อความชัวร์เผื่อมีเซลล์ที่มันแอบไปซุกซ่อนอะไรที่ไหน Treatment Plan ของเรียมเป็นดังต่อไปนี้: 1. คีโม ชุดแรก ทุก ๆ 2 weeks เป็นระยะเวลา 4 ครั้ง 2. คีโม ชุดที่ 2 ทุก ๆ 1 week เป็นระยะเวลา 12 weeks รวมเป็น 16 ครั้ง 3. เสร็จแล้วต่อด้วยการฉายแสง radiation ทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ไม่มี public holiday เป็นระยะเวลา 5 weeks (ทุกวัน จัดตารางชีวิตไว้เลย) 4. เสร็จแล้วต่อด้วยการทานยายับยั้งฮอร์โมนอะไรซักอย่างนี่แหละ ค่าใช้จ่าย: - ถ้าทำทุกอย่างทั้งหมดที่โรงพยาบาลรัฐบาลก็ฟรีครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ไม่รู้จะได้คิวทำคีโมเมื่อไหร่ - เราเลือกทำคีโมกับโรงพยาบาลเอกชน ได้คิวทำเลยทันที 4 weeks หลังจากผ่าตัดเสร็จ ค่าคีโมหนะฟรี cover by Medicare แต่ค่าหมอ ค่าพนักงาน $100/ครั้ง ซึ่ง 16 ครั้งก็ $1,600 แต่ทางโรงพยาบาลเอกสารลดให้เหลือ $1,000 - ส่วนค่าฉายแสง radiation ไม่มี เพราะเรียมกลับไปทำที่โรงพยาบาลรัฐบาล - ส่วนยายับยั้งฮอร์โมน เดี๋ยวค่อยว่ากัน ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่รู้ว่าจะอะไรยังไง คร่าว ๆ แค่นี้นะครับ อันนี้คือ treatment plan ของเรียม treatment plan ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วต่ออายุ แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่ความ aggressive ของโรค อันนี้ก็แค่บอกเล่าเก้าสิบ เขียนเป็นความรู้ในแบบฉบับของคนในครอบครัวของคนไข้ ไม่ได้เป็นหมอหรืออะไรใด ๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน 11/07/2022 วันนี้เป็นวันแรกที่ภรรยาเราเข้าทำการรักษาด้วย Chemotheraphy
ชั่วโมงแรกเราก็เข้าไปนั่งฟังด้วย แต่หลังจากนั้น ก็ต้องออกมา เพราะช่วงนี้สถานการณ์ COVID และคนไข้ส่วนมากก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นทางโรงพยาบาลก็เลยจำกัดให้แค่คนไข้เท่านั้นอยู่ในห้องคีโม คีโมครั้งแรก 2 hr ความรู้ที่ได้จากพยาบาลวันนี้คือ: - เราไม่จำเป็นต้องแยกห้องน้ำกันก็ได้ เพราะภรรยาก็ไปอ่าน comment ตามพวกกลุ่ม social ต่าง ๆ ว่าคนป่วยต้องแยกห้องน้ำ เพราะว่าสารเคมีจะออกมาจากร่างกาย อาจจะไปแปดเปื้อนคนอื่น พยาบาลบอกว่าก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น คนป่วยสามารถใช้ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำร่วมกันกับทุกคนในครอบครัวได้ แต่ห้องน้ำ เวลาใช้โถส้วมเสร็จ จะต้องปิดฝาก่อน แล้วกดชัดโครก 2 ครั้ง เพื่อให้มัน flush สารเคมีที่ออกมาจากร่างกายของคนไข้ ให้มันลงไปตาม toilet bowl - คนไข้ไม่จำเป็นต้องนอนแยกเตียงกับคู่รัก ถ้หากมีเพศสัมพันธ์กัน make sure ว่าต้องใส่ condom เพราะร่างกายของคนไข้จะมีสารเคมีที่มาจากคีโม - สามารถ hugs, kissess ได้ตามปรกติ - ไม่ต้องซักผ้าแยกกัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามแต่ที่คนไข้มีเหงื่อออกจากแบบผิดปรกติ แบบ soaking wet in the middle of the night, เสื้อผ้าต้องใส่เก็บใส่ double bags เลย แล้ววันรุ่งขึ้นนำเอาไปซักแยกกับเสื้อผ้าคนอื่น ๆ แล้วต้องซักด้วยน้ำอุ่นเท่านั้น ซักน้ำเย็นไม่ได้ - ถ้าอุณภูมิร่างกายขึ้นเกิน 38 องศา ต้องโทรเรียกรถพยาบาลเท่านั้น (000) ห้ามมาโรงพยาบาลเอง ต้องมาด้วยรถพยาบาลเท่านั้น - ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อที่ร่างกายจะได้ flush สารเคมีออก - side effect ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่สภาพร่างกาย เท่านี้แหละที่จำได้.... พรุ่งนี้ (27 June 2022) ภรรยาเราต้องเริ่มทำคีโมแล้วซินะ
จริง ๆ แล้วภรรยาเราต้องเริ่มทำคีโตตั้งแต่วันที่ 20 June 2022; วันจันทร์ที่แล้ว แต่ก็ต้องเลื่อน 1 อาทิตย์เพราะหมอสั่งให้ไปตรวจสุขภาพช่องปากก่อนทำคีโม แล้วเผอิญไปเจอฟันคุดที่เริ่มจะผุ ก็เลยต้องทำการถอน ก็เลยต้องเลื่อนการทำคีโมออกไป 1 อาทิตย์ สาเหตุที่ต้องเช็คสุขภาพช่องปากเพราะว่า ช่วงที่ทำคีโม ภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะลดต่ำลงไปด้วย ถ้าช่องปากไม่สะอาดหรือเป็นอะไรขึ้นมา มันก็จะหายยาก เพราะร่างกายไม่สามารถ heal itself fast เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ร่างกายเรามี 60 ล้านล้านเซลล์ ร่างกายเราเกิดจาก 1 เซลล์ก่อน แล้วแตกตัวเป็น 2 เซลล์ 4, 8, 16, 32, 64, 128, 256, 512.... ไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นร่างกายเต็มตัว 60 ล้านล้านเซลล์ 9 เดือนกว่า ๆ อยู่ในท้องคุณแม่ มะเร็ง จริง ๆ แล้วก็เซลล์ของร่างกายเรานี่แหละ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรานี่แหละ แต่มันเป็นเซลล์ที่ทำงานผิดปรกติ พวกอนุมูลอิสระต่าง ๆ การรักษาโรคมะเร็งของแพทย์แผนปัจจุบันก็คือ: - ผ่าตัด เอาเซลล์หรือเนื้อร้ายออก - หลังจากนั้นก็จะใช้คีโมเข้ามาเพื่อไล่จับเซลล์ร้ายต่าง ๆ ที่มันอาจจะวิ่งไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย - แล้วตามด้วยการฉายแสงรังสี - แล้วตามด้วยการทานยาควบคุมฮอร์โมน (สำหรับบางคน) การทำคีโม ก็การใช้สารเคมีฉีดเข้าไปในร่างกาย แล้วก็ให้มันวิ่งไล่ฆ่าเซลล์ต่าง ๆ ที่มัน "คิดว่า" เป็นเซลล์มะเร็ง ปัญหาก็คือ คีโมคือสารเคมี มันไม่ใช่วัคซีน ไม่ใช่ไวรัสหรือ bacteria ดังนั้นมันไม่มีชีวิต มันไม่ได้ฉลาดไปซะหมดที่จะรู้ว่าเซลล์ไหนดี เซลล์ไหนเป็นมะเร็ง ดังนั้นเซลล์ดี ๆ ของเราบางส่วนก็จะถูกฆ่าหรือทำลายไปด้วย ดังนั้นภูมิต้านทานของเราจึงลดลง และเซลล์บางตัวที่ถูกทำลาย ก็คือถูกทำลายไปเลย ไม่ได้มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ดังนั้นร่างกายของคนที่เป็นมะเร็ง หลังจากได้รับการทำคีโม และการฉายแสงแล้ว ร่างกายก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อ เมื่อเราคุยกับคุณหมอมากขึ้น เราก็จะมีความรู้มากขึ้น การมีความรู้มากขึ้น บางทีก็เป็นดาบ 2 คม คือมันทำให้เราคิดมากขึ้น มันทำให้เรารู้ว่าร่างกายเราต่อไปจะไม่เหมือนเดิมนะ สิ่งที่จะตามมาก็คือสภาพจิตใจ บางคนก็รับได้ ส่วนบางคนก็รับไม่ค่อยได้ ก็ต้องใช้เวลา ร่างกาย เรายังพอรักษาได้ทั้งทางแพทย์แผนปัจจุบัน และวิถีธรรมชาติ แต่สภาพจิตใจนี่สิ มันละเอียดอ่อนยิ่งนัก จะบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก" "สู้ ๆ นะ" มันพูดง่ายไง ถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา ถ้ามันไม่ใช่ร่างกายเรา คนที่เขาเป็น เขาก็คงต้องกังวลและคิดไปต่าง ๆ นานาเป็นเรื่องปรกติ คนที่อยู่รอบข้างนี่แหละสำคัญ support network เป็นอะไรที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะครอบครัวหรือคนรอบข้าง ก็ต้องอยู่เคียงข้างกันไป บางทีเราไม่พูดอะไรมากก็ได้ แค่กอด แค่สัมผัส แค่แสดงออก อีกฝ่ายก็สามารถสัมผัสหรือรู้สึกได้ เรื่องบางเรื่อง ของบางอย่าง มันพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ภาษากายดีที่สุด มันบ่งบอกอะไรได้ละเอียดอ่อนยิ่งนัก ช่วงนี้ทุก ๆ เช้าของเรา ตื่นขึ้นมาก็นั่งดู YouTube ที่เกี่ยวกับโรคพวกนี้ มันทำให้เรารับมือกับมันได้ง่ายขึ้น ในฐานะของ support person เราจะได้ทำอะไรต่อมิอะไรได้ถูก คนที่ป่วยจะได้ไม่รู้สึกว่าเขากำลังสู้กับโรคร้ายคนเดียว จริง ๆ วันนี้เหนื่อยมาก วิ่งนั่น นี่ โน่น เพราะลูกลิงมี dance จริง ๆ ช่วงนี้ 10pm หัวต้องถึงหมอนแล้ว แต่วันนี้ขอละกัน ขอบันทึกเรื่องราวเอาไว้ ก่อนที่การทำคีโมจะเริ่มขึ้น ก่อนที่พวกเราทั้งครอบครัวจะ take a journey together ก็อยากจะบันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ เผื่ออีก 10-20 ปีข้างหน้าจะได้กลับมาอ่านถึงวัน ๆ นี้ ชีวิตไม่ง่าย แต่ก็จะไม่โทษอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ก็จะเงยหน้าแล้วเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กันทั้งครอบครัว as of 26/06/2022 |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
January 2023
Categories |