การสร้างทีม ทุกสิ่งอย่างมีค่าใช้จ่าย
ใจถึงไหม พร้อมจ่ายไหม ทุกสิ่งอย่างคือการลงทุน เราไม่สามารถที่นั่งอยู่เฉย ๆ ทำอะไรเดิม ๆ แล้วต้องการผลลัพธ์ใหม่ได้ อยากได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง ก็ต้องมีการกระทำที่แตกต่าง ก็แค่นั้นเอง ในวันที่คุณ "สำเร็จ" แล้ว อย่าลืม "ส่งไม้ต่อ" อย่าลืม "paying forward" โดยที่ไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย แล้วสิ่งที่เราจะได้กลับคืนมา มันจะมีค่ามหาศาลมาก จะได้ "ครอบครัว" เพิ่มอีกครอบครัวหนึ่งหรืออีกหลาย ๆ ครอบครัว ที่ไม่ใช่สายเลือด ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ตกทุกข์ได้อยากมา เดินไปขอข้าวเขากิน ก็คงไม่อดตาย ลองเอาไปทำดูนะครับ มันดีมากเลย
0 Comments
Financial Year; June 2023
1. เราต้องทำ tax return ทั้งหมด 7 บริษัท 2. มีบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่แค่ 3 บริษัท 3. อีก 4 บริษัทก็เป็นบริษัทและ Trust ที่เปิดมาเพื่อการลงทุนในอสังหาโดยเฉพาะ 4. ไม่ทุกบริษัทที่ทำกำไร บริษัท J. DOK JIG ขาดทุน $6,000 ก็ไม่ต้องจ่ายภาษี...oops!!! ก็เลยจะเอาบริษัท J. DOK JIG มาทำพวกงาน event ด้วยเลย ไม่ต้องจดบริษัทใหม่ ขี้เกียจและเสียดายตังค์ เพียงแต่ bookkeeper และ accountant ก็ต้องแยกว่ายอดขายอันไหนมี GST อันไหนไม่มี GST - น้ำปลาร้า น้ำจิ้ม เป็นของกิน ไม่มี GST - ตั๋วหนัง ตั๋ว concert มี GST เมื่อเราเอาทุกอย่างเข้าระบบ ไม่ต้องซิกแซก ชีวิตก็ง่าย เพราะต้องทำ paperwork ทั้ง 7 บริษัท และ 4 บริษัทที่ลงทุนในอสังหา 1 บริษัท ไม่ได้มีบ้านหลังเดียว ดังนั้นทุกอย่างต้องโปร่งใส จะได้ไม่ต้องปวดหัว ขอบคุณ bookkeeper ผู้อยู่เบื้องหลัง ขอบคุณ accountant ผู้อยู่เบื้องหลัง ทุก ๆ jigsaw สำคัญเสมอ ทุก ๆ ฟันเฟือง สำคัญเสมอ และที่สำคัญคือ ทุก ๆ ฟันเฟือง ทุก ๆ jigsaw ให้เขา มากที่เขาควรจะได้ เสมอ Zero inbox ไม่ง่าย
มันคือการ discipline มาก ๆ สำหรับคนที่มีคนติดต่อเข้ามาเยอะมากอย่างเรา และเราก็อ่าน email เอง ตอบ email เองด้วย ดังนั้นการที่จะ be on top of things นั้นยากมาก การมี zero inbox มันดูแล้วสบายตามากเลย อย่างน้อยเราก็รู้ว่า ไม่มีอะไรติดค้างใน email ที่จะต้อง follow up เราก็ทำอะไรให้มันเสร็จ ๆ ไปเป็นวัน ๆ กับงานของ "J Migration Team" ต่อให้เราไม่เจอลูกค้าเลย ไม่ทำ face-to-face consultation เลย งานเราก็ล้นมืออยู่แล้ว
เรามีงาน มี email เข้ามาตลอด และได้เงินมากกว่าการไปทำ face-to-face consultation แต่... แต่... การที่เราได้ออกไปเจอผู้คน ไปเจอลูกค้า มันทำให้เราเห็นสัจธรรมอะไรหลาย ๆ ของชีวิต มันได้เห็นปัญหาของคนอื่น บอกเลยครับ ว่าพอทำ face-to-face consultation เสร็จ กลับถึงบ้าน ต้องงีบหลับอยู่บนโซฟา อย่างน้อยก็ 30-45 หละอะ เพราะมันใช้พลังงานเยอะจริง ๆ จะให้เรานั่งคุยกับลูกค้าเอื่ย ๆ เนือย ๆ มันก็คงไม่ใช่ แต่พอกลับถึงบ้านแค่นั้นแหละ สลบ การที่เราได้สัมผัสชีวิตผู้คน มันทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันครับ มันทำให้ ego เราลดลง การมีอัตตา ตัวตน อยากได้ อยากมี อยากเป็น ของเราจะลดลง มันทำให้เรารู้ว่า โลกนี้ ก็แค่ "สิ่งสมมุติ" ทุกอย่างล้วนแล้วเป็นแค่ภาพลวงตาจริง ๆ เราอยากจะทำ face-to-face เพิ่มมากขึ้นนะครับ ไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่มันก็เหนื่อยจริง ๆ มันใช้ energy เยอะมาก เพราะเราทำ back-to-back เลยทุก 45 นาที อย่างโหด เราอยากช่วยเหลือคนให้มากกว่านี้นะครับ เรารู้ว่าเราสามารถไขปัญหาอะไรต่าง ๆ ให้ใครได้หลายคน แต่ร่างกายเราก็ไม่ไหวจริง ๆ เราก็ต้องเอาเท่าที่เราไหว เพราะงานเอกสารเราก็เยอะที่ต้องทำ และเอาจริง ๆ คือ นั่งทำงาน นั่งทำ case เราได้ตังค์เยอะกว่า หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า "เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าไม่ทำ face-to-face consultation แล้วจะมีลูกค้าได้ไง จะได้ทำ case ได้ไง" เยอะแยะครับ เรามีลูกค้าที่พร้อมทำได้เลย เยอะมาก ถ้าเรามี 20 มือ 10 ร่าง ทุกวันนี้ก็ทำเท่าที่ไหวจริง ๆ ไม่ได้หยิ่ง ไม่ได้เล่นตัว แต่มันได้แค่นี้จริง ๆ ทำงานหนัก มีเงินเยอะ ๆ แล้วเอาเงินไปหาหมอก็คงมิงาม เราอยากจะมีวันที่เราไม่ต้องนั่งทำ case แล้วนะครับ (ให้ทีมงานทำ) แล้วนั่ง face-to-face consultation อย่างเดียว อาจจะทุก ๆ 2 weeks อะไรประมาณนี้ มันคงจะดีมากเลยนะ อะไร ใด ๆ ที่เขียนมาทั้งก็หมด ก็แค่อยากจะบอกว่า การทำ face-to-face consultation มัน heal ใจมากเลย ได้เงินน้อย แต่มีความสุขมากครับ ที่ได้ช่วยแก้ปัญหาของใครหลาย ๆ คน ได้วาง roadmap อะไรให้กับน้อง ๆ หลาย ๆ คน ทำได้แค่นี้ เราก็มีความสุขแล้วครับ Aug 2023: เลิกตอบ LINE มาแล้ว 1 ปี
ธุรกิจยังไม่ล่ม ธุรกิจยังไม่เจ๊ง ตรงกันข้าม ธุรกิจกลับ thrive มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราไม่ต้องไปวิ่งไล่ตอบอะไรทุก platform บางทีเราก็ไม่ต้องตาม norm ของตลาดมาก หา niche เราให้เจอ Jul/Aug 2022: เลิกตอบ LINE Official 01 Jan 2023: เลิกตอบ facebook inbox (ปิดไปเลย) งาน streamline มากขึ้น ทุกอย่าง streamline มาที่ email ยอดขาย hit target ทุกเดือน ในวันที่เราเป็นฝ่ายเลือก ไม่ใช่ฝ่ายถูกเลือก ชีวิตมันง่ายขึ้นเยอะ แต่กว่าจะมาถึงจุดนั้นได้ มันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ต้องเป็นผู้ให้ก่อน content marketting ต้องดี content ข้อมูลต้องให้ฟรี ๆ เมื่อเราเป็นผู้ให้ ทุกอย่างมันจะกลับมาของมันเอง เราไม่ต้องไปเรียกร้องอะไร คนที่เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ เขาจะเลือกเราเอง คนที่ศีลเสมอ การทำธุรกิจ บางทีเราก็ต้อง diversify
บางทีเราก็ต้องขยาย จากธุรกิจ A ไป B หรือ C ก็อาจจะมีบ้าง ที่บางทีธุรกิจ C ก็มาใช้บริการของธุรกิจ B มันก็จะคล้าย ๆ "อัฐยายซื้อขนมยาย" หรือ "เรือล่มในหนอง" บางคนก็อาจจะบอกว่า เราทำธุรกิจผูกขาดหรือเปล่านะ อันนั้นก็แล้วแต่มุมมอง แต่ไม่น่าจะธุรกิจผูกขาดนะ เพราะเจ้าอื่นก็มี เพียงแต่ถ้าเรามีธุรกิจ A, B และ C ที่มันส่งเสริมซึ่งกันและกัน มันก็ดีไม่ใช่เหรอ แล้วแต่มุมที่เลือกมอง ไม่มีถูก ไม่มีผิด :) ในวันที่ฝนตก ฟ้าร้อง พายุเข้า
การทำธุรกิจแบบไม่มีหน้าร้าน คือดีที่สุดครับ (สำหรับเรานะ) การที่เราสามารถนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ขอให้มี computer มี Internet มันทำให้ชีวิตเราง่าย และธุรกิจมันไปต่อได้ เราพยายยามบอกคนรอบข้าง บอกน้อง ๆ "ทีม J" ว่ามันทำได้นะ หลาย ๆ คนอาจจะมองภาพไม่ออก ว่ามันจะอะไร ยังไง จนลองมาทำเอง แล้วถึงจะร้อง "อ๋อ มันทำได้" พยายามคิดอะไรให้แตกต่างจากคนอื่นนะครับ ลองคิดแบบไม่มีกรอบ แล้วชีวิตเราอาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ได้ เพราะ "คิดต่างจึงสำเร็จ" "Thanks Economy" คือการให้แบบไม่หวังผล
เคยเห็นมั้ยครับ facebook group ใหญ่โต สมาชิกในกลุ่ม 100+K แค่เวลาโพสต์ขาย products หรือ services ถึงมีคนกด like ไม่ถึง 20 คน มันแป๊กมากเลยนะ แสดงว่า content ไม่โดน ก็ใช่หนะสิ เพราะคุณกำลังจะไปเอาอะไรจากเขา ก่อนที่คุณจะไปเอาอะไรจากเขา คุณต้องถามตัวคุณเองก่อน แบบไม่โกหกตัวเอง แบบไม่แอ๊บแอ้ว่า คุณกำลังให้ข้อมูล หรือแบ่งปันอย่างจริงใจหรือเปล่า "J Migration Team" เราไม่เคยแชร์โพสต์ของเราไปตาม facebook group ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ group ของเรา ถ้าลูกค้าหรือลูกเพจแชร์ไป เราก็ขอบคุณ มันจะ authenthic มากกว่าถ้าคนอื่นเป็นคนแชร์ไป ไม่ใช่เรา แสดงว่ามันมีประโยชน์ คนอื่นถึงแชร์ไป ไม่ใช่ตัวเราแชร์ไปเอง แบบนั้นหนะ อยากขายของ จงเป็นผู้ให้ ก่อนที่จะเป็นผู้รับนะครับ การขายของก็เหมือนกัน การทำธุรกิจก็เหมือนกัน โดยเฉพาะ content marketing ถ้าสังเกตุให้ดี ๆ นะครับ page "J Migration Team" เราแทบจะไม่มีการขายอะไรเลย เราให้ข้อมูลล้วน ๆ ให้เต็ม ๆ แบบไม่เคยกั๊ก ถ้าคนเขาเกิดความเชื่อมั่น คนเขาก็จะมาใช้บริการเองครับ ลูกค้าจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเราเอง เราไม่ต้องเป็นฝ่ายเดินไปหาลูกค้า ถึงจุด ๆ นั้น เราจะเป็นฝ่ายเลือกลูกค้า ไม่ใช่ลูกค้าเลือกเรา ฝากเอาไว้ให้คริสต์ :) นักธุรกิจ เจ้าของธุรกิจที่อยากจะทำ online marketing, content marketing สินค้าตัวเดียวกัน คนขาย 2 คน; B1 และ B2
เราจะซื้อจากใคร?? - คนขายจะได้ค่า commision จากเรา - ทั้ง B1 และ B2 นิสัยดีทั้งคู่ ดูแลลูกค้าดีทั้งคู่ ทุกอย่างเหมือนกันหมดเลยเรื่อง professionalism ในการทำงาน 10 เต็ม 10 ไม่หัก ทั้ง 2 คน มีแตกต่างอยู่ประมาณ 0.001% คือ - B2 "ดู" ค่อนข้างสนิทกับใคร "someone" ที่ค่อนข้างสุดโต่งในด้านการเมือง หรือมองในอีกแง่หนึ่งก็คือค่อนข้าง extreme B2 สนิท 9/10 B1 สนิท 8/10 มันก็เลยง่ายในการตัดสินใจ เราซื้อสินค้านี้กับ B1 ละกัน ซื้อ 2 รอบ มูลค่าสินค้าก็ 7 หลัก AUD (2 ชิ้นรวมกัน และก็มี plan จะซื้อไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ ปี) B1 ก็รับ commission ไปเต็ม ๆ B2 ไม่ผิดหรอกที่สนิท 9% กับใคร "someone" แต่คนซื้อ บางทีเราก็ซื้อกันด้วยอารมร์และความรู้สึกด้วย ถึงแม้จะเป็นสินค้า 7 หลัก AUD ก็ตาม คนอื่นไม่คิด แต่คนที่คิดก็เยอะ เรื่องที่คนทำธุรกิจต้องรู้ อันนี้ก็เตือนใจตัวเองด้วย เพราะตัวเราเองก็ทำธุรกิจเหมือนกัน จะให้ใครเข้ามาใน "circle" เราก็ต้องระวัง ... ฝากเอาไว้ให้คิด... เจ้าของธุรกิจ หรือ self-employed person
ถ้าใครชอบเกาะกระแสการเมือง เพื่อ "be there to be seen" ระวังด้วยนะครับ อะไรที่มาไว มันก็ไปไว ระวังลมเปลี่ยนทิศ page การเมือง คนชอบเยอะ แต่ระวัง "คนเกลียด" อาจเยอะมากกว่า พลังเงียบน่ากลัวมากกว่าที่เราคิด ไปกด like ไป comment อะไร คนอื่นเขาเห็นหมด เพราะเราอยู่ในที่แจ้ง เราไม่คิด คนอื่นคิด ลูกค้าคิด โดยเฉพาะบางคนที่เป็น big buyers, big spenders เขาไม่พูด ไม่ออกความคิดเห็น ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ได้คิด แค่เขาไม่อยากเสียเวลาด้วย ก็แค่นั้นเอง คิดจะเกาะกระแสใครดัง คิดให้ดี ๆ ถ้าลมเปลี่ยนทิศขึ้นมา แล้วเราจะ"หนาว" เอาเป็นว่า P' J ขอนั่งจิบ T2 Greenn Tea หล่อ ๆ สังเกตุการณ์ที่ข้างขอบสนามนะครับ |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
February 2024
Categories |