ก็เพราะชีวิตเราผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มาเยอะแยะมากมาย
ทุกวันนี้ที่ไม่ค่อยอินังขังขอบกับใคร เรารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ทุกวันนี้ที่ไม่ค่อยสน ไม่ค่อยแคร์ เรารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ชีวิตทุกวันนี้ focus และ concentrate อยู่กับครอบครัวและ "inner-circle" เท่านั้น.... จากสัจจริง ในวันที่พวกเราเดือดร้อน สุดท้ายแล้ว คนก็อยู่กับเรา ก็มีแค่คนในครอบครัวและคนใน "inner-circle" นอกนั้นก็แค่ "ฉาบฉวย" ทุก weekend เราจะดูว่าเงินเหลือใน Splurge card เท่าไร
Splurge card จะมีเงินในนั้นแค่ $100 เท่านั้น week ที่แล้วใช้ไปเท่าไร ช่วง weekend เราก็ top up เข้าไปให้เป็น $100 Splurge card คือบัตรฟุ่มเฟือย เราให้ budget ตัวเอง; $100/week เอาจริง ๆ นะครับ ถ้าไม่ได้ออกจากบ้าน ก็ไม่มีรายจ่ายอะไรอยู่แล้ว ก็อาจจะมีบ้างที่แวะซื้อ soy mattcha latte นั่น นี่ โน่น เราขับรถ EV เราไม่ต้องเติมน้ำมัน 💕💕💕 week ที่ใช้ก็ใช้จ่ายไปแค่ $28 week นี้เราก็เลย top up เข้าไป $28 ให้มันเป็น $100 ก็แค่นั้นเอง เราแยก Splurge account ออกมาจาก personal account มันทำให้เราบริหารเงินง่าย $100/week คือ tap จ่ายแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก หมดคือหมด ห้ามใช้เกิน $100/week เราใช้เงินแค่นี้จริง ๆ Splurge card อันนี้แยกจาก personal account ที่ใช้จ่ายค่าไฟ ค่านั่น นี่ โน่น นะครับ Splurge card คือส่วนตัวที่ส่วนตัวจริง ๆ เวลาออกไปข้างนอก ซึ่งปรกติไม่ออกไปไหนอยู่แล้ว เอาไปลอง adapt ใช้ดูนะครับ personal finance สำคัญนะครับ summer นี้แนะนำให้อ่านหนังสือพวก personal finance ด้วยนะครับ: 1. Reitre Young, Ritire Rich ของ Robert Kiyosaki 2. The Richest Man in Babylon ที่เราแจกไป 3. The Barefoot Investor เล่มนี้แนะนำให้อ่านหนังจากที่อ่านเล่มที่ 2 แล้วเท่านั้น วินัยทางการเงิน เริ่มต้นได้ที่ตัวเรา Note: เราไม่มี credit card นะครับ ไม่มีมาได้จะ 2 ปีแล้ว มันทำให้กู้ home loan ง่าย ชีวิตปลอดหนี้ คือชีวิตที่ดีที่สุด (ปลอดหนี้มานานแล้ว) 23/12/2024 💕💕💕 เรามีทีมงานหลายทีม
แต่ละทีมไม่ก้าวก่ายกัน Original Team = ฝรั่ง 5 + คนไทย 1 New Team = คนไทยหมด ในการทำงานของเรา ทีมงานก็เตรียมเอกสารให้ นั่น นี่ โน่น เราก็จะมา check อันไหนต้องแก้ หรือเพิ่มเติม บางทีมันก็ tedious นอกเหนื่อ scope งานของทีมงาน แต่มันก็จะทำให้ case ผ่านง่ายขึ้น คือเตรียมทุกอย่างให้กับ case officer พร้อมเสริฟถึงที่ case officer ไม่ต้องขออะไรเพิ่ม เราก็จะทำเอง เราไม่ได้บอกทีมงานให้ทำ เพราะมันก็นอกเหนือจากหน้าที่ของเขา เราก็ทำเองเงียบ ๆ ทีมงานบางคนคงเห็นว่าเอ๊ะ เราทำเพิ่มเองตรงนั้น ตรงนี้ ทุกอย่างผ่าน Chromebook มันดูง่ายมากเลย เขาคงเห็นว่าเราทำเพิ่มเองเงียบ ๆ ตอนนี้ทีมงานเขาก็ทำเอาไว้ให้เราเลย เราไม่ต้องบอก ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ "วีซ่าลูกค้าต้องผ่าน" เห็นแล้วมัน heal ใจมากเลยครับ Note: ทีมงานคนนี้เป็นฝรั่งครับ ทำงานกับเรามานานแล้ว ตั้งแต่ 2017 "Once upon a time in 2021; family home"
Once upon a time in 2021 สิ้นสุดกันทีกับการที่ต้องวิ่งตะลอน ๆ หาดูบ้านมา 1 ปีกว่า ๆ มันเหนื่อยมาก ทุก ๆ วันเสาร์เรา plan ชีวิตอะไรไม่ได้ ไปไหนไม่ได้ ต้องออกไปดูบ้าน ไป inspect บ้าน จากบ้านหลังแรกที่เรา offer ไปเมื่อ Nov 2020 มาลงตัวที่หลังนี้ Oct 2021 จากหลังแรกที่ offer ไปตอน Nov 2020 มาถึงหลังนี้ก็เป็นหลังที่ 5 ที่เรา offer ได้ 4 หลังที่ชวดไป ก็เป็นเพราะเราติดนั่น นี่ โน่นบ้าง โดยเฉพาะหลังที่ 4 ที่ชวดไป ห่างกับหลังนี้แค่อาทิตย์เดียว คือเราเซ็นสัญญาช้าไปครึ่งชั่วโมง คนอื่นที่เขาพร้อมจะเซ็นเลย เขาก็เลยชิงเอาไปก่อน ช่วงปี 2020/2021 มันเป็น market ของ vendor จริง ๆ คนขายชนะทุกอย่าง คนซื้อแย่งกันซื้อ เพราะดอกเบี้ยต่ำ ก็เอาเป็นว่ามาลงเอยที่บ้านหลังนี้ ที่ offer offer หลังที่ 5 บ้านหลังนี้ก็จะเป็น family home เพราะหลังก่อนหน้านั้นมัน investment property หมดเลย เราปล่อยให้คนเช่า เลือกกันอยู่เป็นปี หากันอยู่เป็นปี กว่าจะลงตัว บ้านหลังนี้เรา offer ไปเมื่อ 09 Oct 2021 Settlement กัน 24 Nov 2021 และรับกุญแจกัน 25 Nov 2021 payoff the home loan: 31 Dec 2021 ปลอดหนี้ภายใน 6 weeks เราไม่ได้ผ่อนบ้าน 30 ปีนะครับ เราผ่อน 6 weeks เราทำได้ จากสมองและสองมือที่มี ก็ต้องทำงานให้หนัก ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ภาษีต้องจ่าย เอาทุกอย่างเข้าระบบ แล้วชีวิตจะง่าย 2 วันก่อน settlement เราก็โอนเงินออกจากบัญชีจนมือสั่น ตัวเลขมันเยอะมาก แต่ก็ต้องทำ เพื่อที่จะได้ move on ไปทำอะไรอย่างอื่นกับชีวิต ไม่งั้นมันก็ต้องมาวิ่งดูบ้านกันทุก ๆ เสาร์ มันเหนื่อยมาก ต้องเจอเองจ๊ะ!!! ก็เอาเป็นว่าเรา "เทหมดหน้าตัก" เหลือเงินในบัญชี $447 และอีกบัญชีหนึ่งประมาณ $2,200 บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำว่าเหลือเงินในบัญชี "$447" ประเทศออสเตรเลีย ถ้าไม่ขี้เกียจก็ไม่อดตาย ส่วนจะร่ำรวยหรือเปล่านั้น ก็ต้องแล้วแต่ธุรกิจหรือหน้าที่การงานที่เราทำ หากเราไม่ย่ำอยู่กับที่ พยายามพัฒนาตนเองไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างมันต้องดีขึ้น ทุกอย่างมี way ของมัน เป็นผู้ให้ก่อนที่จะเป็นผู้รับ ที่เหลือ ทุกอย่างมันมี way ของมันเอง สุขที่สุด ณ จุดที่เป็น ที่เขียนมาทั้งหมด ก็แค่อยากจะบอกว่า "ทุกสิ่งอย่าง เราสร้างเองได้ ด้วยสมองและสองมือที่มี" เราไม่จำเป็นต้องคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด 21/12/2024 #จอห์นเผ่าเพ็ง #เพราะฉะนั้น #มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ Cake ก้อนใหญ่กินคนเดียวไม่หมดฉันใด
ธุรกิจและ industry ต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน ตัดกินใครมัน ไม่ต้องแย่งกัน ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ดีที่สุด ทำธุรกิจ เพราะ "คิดต่าง" จึงสำเร็จ
ไม่มีใครเหมือน และเลือกที่จะไม่เหมือนใคร ทุกวันนี้มีความสุขดี เป็น "ปลาสวยงาม" ลอยไปมา ใครจะเป็น "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ก็เรื่องของเขา หรือจะเป็น "ปลาไวกินปลาช้า" ก็ไม่เกี่ยวกับเรา เป็นผู้ซึ่งอยู่เหนือ drama ทั้งปวงแบบ no สน no care อย่างแท้ทรู (เอ๊ะ... สรุปมัน "ดี" หรือ "ไม่ดี") อะไร ใด ๆ ทุกวันนี้มีความสุขดีครับ อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา อยู่กับ "inner-circle" เล็ก ๆ ก็พอ จงเป็นผู้ให้ ก่อนที่จะเป็นผู้รับ ปีแรกของการเป็น MARN เมื่อปี 2008 เราโดนคนที่มี MARN ด้วยกันปรามาทเอาไว้ ในงานสัมนาช่วงพัก break ที่ Sydney
เพราะเขาพูดต่อหน้าเลย เราก็ได้แต่เดินหน้าชาออกมา นั่งหงอย ๆ อยู่ที่โต๊ะของเรา 16-17 ปีแล้วก็ยังไม่ลืม ทุกวันนี้เราตั้งปฏิญาณเอาไว้ว่า ถ้ามี MARN มือใหม่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เราก็พร้อมและเต็มใจที่จะ support เป็นลมใต้ปีกให้กันและกัน แค่ไม่เหยียบหางกันก็พอ เราจะเติมถ้วยให้กันและกัน แต่เราไม่ดื่มจากถ้วยเดียวกัน เราอยู่ไม่ถึงอีก 100 ปีหรอก เชื่อเถอะ ชีวิตก็เหมือนเทียนไขที่จุดแล้วรอวัน "ดับ" ไม่รู้ใครจะไปก่อนใคร ถ้า support และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ เราก็จะทำอยู่แล้ว ทะเลนั้นกว้างใหญ่นัก เราก็เป็นอีกเรือลำเล็ก ๆ ออกหาปลา ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องแข่งขัน เพราะเราเป็น "เรือสวยงาม" ไม่แข่งกับใคร ก็ลอยสวย ๆ ของเราไป ตกได้ก็ได้ ตกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ปลาหมักเอาไว้ในไหเรามีเยอะ เมื่อ "กินอิ่ม" แล้ว ต้องรู้จัก "พอ" ที่เขียนมาทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่า "ง่วงนอน อยากได้ soy mattcha latte ตอน 6:40pm!!!" "ทุกย่างก้าวของชีวิต"
"J Migration Team" เมื่อปี 2008 เราไม่มีเงินที่จะไปลงโฆษณาอะไรในหนังสือพิมพ์ของคนไทยหรอก เพราะแต่ละฉบับเขาก็จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Sydney คอยเขียน column ให้อยู่แล้ว สมัยก่อนโน้น มันจะมีหนังสือพิมพ์ของคนไทยในซิดนีย์ (หรือออสเตรเลีย) แค่ 2 ฉบับ: - Thai-Oz (หนังสือพิมพ์ไทยเจ้าแรกในออสเตรเลีย) - Thai Media ก็ไม่เป็นไรนะ เราเป็นเด็ก IT เราก็ต้องเขียน blog และใช้ Google ใช้อะไรเข้ามาช่วยใช่มั้ย หนังสือพิมพ์ไทยออกทุก ๆ 2 อาทิตย์ แต่ blog ของเราเขียนได้ตลอดเวลา update ได้ตลอดเวลา ไม่มีค่ายใช้จ่าย นอกจากเวลาที่เราต้องทุ่มเท เมื่อไม่มีเงินเม็ดใหญ่ในการลงโฆษณา เราก็ต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ของเรา เล็กมาก ณ วันที่ไปเข้าสัมนาปี 2008 เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่คนไทยบอกว่า "คุณจอห์นจะคุ้มกับค่าสมัคร registration หรือเปล่า เพราะอยู่ตั้ง Wollongong" ค่าสมัคร registration ประมาณ; $4,500.00 ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็คงเล็กจริง ๆ เพราะเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่มีลูกค้า แต่ของเขาติดตลาดบนแล้ว เขียน column ให้กับหนังสือพิมพ์ไทยใน Sydney ก็ไม่เป็นไรนะ ตอนนั้นเราก็มีธุรกิจอย่างอื่นอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไรนะ ตอนนั้นเราก็ทำงานอย่างอื่นด้วยอยู่แล้ว และก็ทำ "J Migration Team" ควบคู่กันไป ปี 2008 เราก็ลงโฆษณา ซื้อพื้นที่กรอบเล็ก ๆ ของหนังสือพิมพ์ Thai-Oz, ทุก ๆ 2 อาทิตย์ $100.00 ก็พอมีคนโทรมาบ้าง ก็พอมีคนรู้จัก เพราะคนไทยใน Wollongong ก็อ่าน Thai-Oz กัน เขียน blog เขียนอะไรของเราไป เขียนเสร็จก็แชร์ใน facebook ส่วนตัว พอมี facebook page ก็ทำ page "J Migration Team" เป็นภาษาอังกฤษ ก็เติบโตมาในระดับหนึ่ง เราจะได้ลูกค้าจาก Google search มากกว่า ลูกค้าจาก Google จะเป็นฝรั่ง จะเป็นลูกค้าต่างชาติ ส่วนลูกค้าคนไทย ก็จะเป็นคนไทยใน Wollongong, ร้านอาหารไทยบ้าง ร้านนวดบ้าง แล้วทุกคนก็ช่วยบอกต่อ ปากต่อปาก เราก็ลงโฆษณา Thai-Oz อยู่แค่ปีเดียว; 2008 หลังจากนั้นก็ไม่เคยลงโฆษณาอะไรที่ต้องเสียตังค์กับสื่อของคนไทยอีกเลย เมื่อทำ content facebook page ภาษาอังกฤษไปได้สักพัก ปี 2015 ก็เลยลองทำ facebook page ภาษาไทยดู ปี 2015 มีคนติดตาม 200 คนก็ดีใจตายห่าแล้ว เราอยู่ที่ Wollongong เราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ก็มีน้องคนไทยคนหนึ่ง เด็ก Wollongong นี่แหละ น้องย้ายไปอยู่ที่ Sydney น้องบอกว่าลงลงโฆษณาใน NaTui.com ดูสิ ฟรีนะ ของฟรีเราก็ชอบหนะจ๊ะ เพราะไม่มีงบ ก็เลยของเข้าไป post ทุก ๆ 2 อาทิตย์ คนก็เริ่มเข้ามา follow เรื่อย ๆ ประมาณ 10-20 คนต่ออาทิตย์ เราก็ดีใจแล้ว เรา post ใน NaTui.com อยู่ไม่นาน ประมาณ 3-4 เดือนเองนะ หลังจากนั้นก็เลิก เพราะตอนนั้นคนติดตามก็เพิ่มขึ้นมาแล้วนิดหนึง เราก็มีงานของเราอย่างอื่นอยู่แล้ว ไม่ได้ทำ "J Migration Team" อย่างเดียว หลังจากที่ไป post โปรโมท facebook page ภาษาไทยของ "J Migration Team" ที่ NaTui.com สักพัก เราก็เลิกทำ เราก็เริ่มหันมาเรียนรู้การยิง facebook ads และก็เป็นอะไรที่ work มาก หลังจากนั้น facebook page ของเราเติบโตแบบ exponential มาเลย ปี 2015 - 2016 เรา post ข้อมูลที่หน้า page เราทุกวัน แล้วคนก็เข้ามา follow เยอะมาก คน inbox มาปรึกษาเยอะมาก คนโทรมาปรึกษาเยอะมาก จนเรารับมือไม่ไหว และร่างกายก็เหนื่อยด้วย ปี 2017 เป็นต้นมา เราก็เลย post แค่ จันทร์-พุธ-ศุกร์ ที่เป็น post ให้ข้อมูลนะ วันเสาร์จะเป็นพวก free style day, จะ post พวกผลงานหรือพวก visa grant ของเราวันเสาร์ทีเดียวเลย เพราะคนอ่านน้อยอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นการ post ที่ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่คนอ่าน จันทร์-พุธ-ศุกร์ เนี๊ยะ คนจะอ่านเยอะ ปี 2018 เราก็เริ่มมีทีมงานเข้ามาช่วย และทุกอย่างก็ลงตัวมากจนถึงมากที่สุด มาจนถึงปัจจุบัน ปี 2018 - ปัจจุบัน ก็แทบจะไม่ต้อง boost post หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะเราสร้าง value content ล้วน ๆ เขียน blog อะไรที่มันตอบโจทย์คนหลาย ๆ คน เดี๋ยวเขาก็แชร์กันในสื่อ online เอง ที่เรามีวันนี้ มันต้องอาศัยความอึด การดูแล เอาใจใส่ในทุก ๆ detail ของงาน ไม่ง่ายกับคนที่ติดต่อเข้ามาทุกสารทิศ เพราะ online มันเปิดกว้างมาก 24 hr จนเราต้อง draw the line on the sand เลยว่าจะไม่ทำงานวันอาทิตย์ หลัง ๆ มาลูกค้าก็เริ่มให้ความร่วมมือละ ไม่มี inbox ไม่มี LINE เข้ามา มือถือไม่ต้องพูดถึงจ๊ะ เราไม่เปิดมือถือเสาร์ อาทิตย์อยู่แล้ว เพราะเราอยู่กับลูก ๆ และภรรยา เราไม่ต้องการ distraction โลกจะถล่ม ฟ้าจะทะลายก็เรื่องของโลกและฟ้า แต่ว่าเวลาของครอบครัวก็คือเวลาของครอบครัว ก็แค่นั้นเอง พอคนโทรไม่ติดเสาร์ อาทิตย์ เขาก็เลิกโทรเอง เราต้องจัดลำดับความสำคัญของชีวิตของเราเอง ทุกก้าวเดินของชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลยจ๊ะ คนใกล้ ๆ ตัวเราจะรู้ว่าเราอึดมาก ผ่านอะไรมาบ้างกับชีวิตนี้ ภายนอกอาจจะดูสบาย ทุกคนจะชอบมองเห็นเฉพาะตอนที่เราอยู่บนที่สูง ณ วันที่เราไต่เต้าขึ้นไป ทางมันชันมากนะ ไม่ง่ายเลย ณ ตอนนี้ที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างลงตัว แต่งานเราก็เยอะนะ งานล้นมือ อะไรที่มัน "ล้น" หนะ มันไม่ดีสักอย่างหรอก ชีวิตมันต้องไม่หย่อนมากเกินไป ไม่ตึงมากจนเกินไป งานเยอะ เงินเยอะ แต่เราก็เอา "พลังชีวิต" ของเราเข้าไปแลกนะ สุดท้ายมันจะคุ้มหรือเปล่า เราก็ต้องคิดให้ดี ๆ บางทีเมื่อเราพอแล้ว เรากินอิ่มแล้ว เราก็ต้องหยุดหรือชะลอความเร็วลงหน่อยก็ได้ จะวิ่งเป็นรถ hi speed car อยู่ตลอดมันก็คงไม่ไหว เดี๋ยวเครื่องมันก็คงจะสึกหรอ ในวันที่ครอบครัวเรามีพอแล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ต้องมีบ้านหลังใหญ่ ไม่ต้องขับรถหรู ไม่ใช้ของ brandname และคนรอบ ๆ ข้าง ไม่ว่าจะฝั่งทางพ่อ หรือฝั่งทางแม่ ถ้าหากเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว อย่างเต็มที่อย่างสมบูรณ์ เราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องห่วง จริง ๆ แล้วหน้าที่ทางโลกที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพของเราก็คงไม่มีอะไรมากแล้ว ทุกอย่างเราวาง plan ไว้หมดแล้วสำหรับพวกเราและลูก ๆ ดังนั้นชีวิตที่เหลือก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงมาก เสร็จแล้วเราก็จะมีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นได้ เราก็ plan เอาไว้แล้วว่า May ที่ผ่านมา ต้องทำอะไรบ้าง June ทำอะไรบ้าง และ Jul ต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างมี milestone ของมัน โดยเฉพาะ 01 Jul 2020 สำหรับเรา มันเป็น milestone สำคัญเลยแหละที่เราตั้งใจเอาไว้ วันนี้เราหยุดแล้ว แล้วท่านหละ หยุดหรือยัง ก็เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ Thu 12 Dec 2024 เราได้รับ SMS จาก Optus ว่าเงินไม่พอในการตัดจ่ายค่าบริการ
เราก็บบงง ๆ ว่า "hmmmm... เป็นไปได้หรือ เงินไม่พอจ่าย" โอ๊วววว เป็นไปได้ครับ เราสะเพร่าเอง 1. เงินบริษัทกับเงินส่วนตัว เราแยกจากกันอย่างชัดเจน 2. เงินในบัญชีส่วนตัวก็มาจากค่าแรงอันน้อยนิด จ่ายตัวเองไม่เยอะ เราไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายอะไร 3. เรื่องมีอยู่ว่า เราเกิดอารมณ์ศิลปิน 1 อาทิตย์ก่อนหน้านั้นเราโทรไปบริษัทประกัน เปลี่ยน policy ทั้งหมด ทั้งรถ ทั้งบ้าน (หลายหลัง) ให้เปลี่ยนจากการจ่าย premium รายปีให้เป็นรายเดือน ถ้าจ่ายรายปีมันก็ถูกกว่า ที่ผ่านมาก็จ่ายรายปีตลอด จ่ายไปแล้วก็จบ ๆ ไป 1 ปี แต่คราวนี้เราเปลี่ยนเป็นรายเดือน ด้วยเหตุง่าย ๆ คือเราสามารถเปลี่ยนบริษัทประกันได้ตลอดเวลา ไม่ต้องผูกขาดปีต่อปี OK แหละ จ่ายรายเดือนมันแพงกว่า แต่มันก็ flexble กว่า อันนี้ความชอบส่วนบุคคลนะครับ ไม่มีถูกไม่มีผิด และบริษัทประกันก็ทำการ update policy แล้วตัดกันใกล้ ๆ กัน login เข้าไปดูอีกที เหลือเงินในบัญชีส่วนตัว $11.25 บันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ... โอ๊ยยยย หากเราเหลือเงินในบัญชี $11.25 เธอจะยังคบเราอยู่ไหม???? ถามจริง ๆ เธอคบฉันที่อะไร คบที่ใจ หรือว่าคบที่หน้าตา ฉันอยากรู้ วันไหนไมีมีเงินขึ้นมา แล้วเธอนั่นหนา จะเรียกฉันว่าอะไร?? ...ไม่มีก็คือ "ไม่มี"... |
AuthorJohn Paopeng Archives
January 2025
Categories |