"ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร; ความพอของเราไม่เท่ากัน"
เราอ่านเจอที่ไหนสักแห่ง จำไม่ได้ที่ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ให้สัมภาษณ์ว่าบริษัทแกมีเงินลงทุน 2.2 พันล้านบาท (ณ วันที่เราอ่านนะครับ น่าจะ 1-2 เดือนได้แล้ว) และแกบอกว่าถ้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย ได้เงินปันผลประมาณ 2% ต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก แกแนะนำให้เอาไปลงทุนในตลาดหลักทรัพทย์ต่างประเทศที่ได้เงินปันผลเยอะกว่า ซึ่งก็ไม่ผิดนะครับ เงินใครคนนั้นก็มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการ สำหรับเราแล้ว 2% x 2.2 พันล้านบาทต่อปี เราน่าจะนั่งหายใจทิ้งไปวัน ๆ แล้วใช้เงินปันผลนี้ไป 2% = 0.02 2.% x 2.2 พันล้านบาท = 0.02 x 2,200,000,000 บาท = 44,00,000 บาทต่อปี (44 ล้านบาทต่อปี) คิดเป็น = 846,153.8462 บาทต่ออาทิตย์ (1 ปีมี 52 weeks, เราชอบคิดเป็น week) = 120,879.1209 บาทต่อวัน คนเราต้องใช้เงินอย่างไรหรือครับ 120,879.1209 บาทต่อวัน สำหรับเรานะ: - กาแฟเย็นข้างทาง 40 บาท - ข้าวหมูกรอบข้างทาง หรือที่ตลาด อย่างมากก็ 65 บาท ถ้ามีรายได้ หรือเงินปันผล 132,967.032 บาทต่อวัน สำหรับเราคือมากเกินพอแล้ว นี่คือ 2% ของ 2.2 พันล้านบาทนะครับ เขายังบอกว่าได้เงินปันผลน้อย อ๊ะ... ไม่ว่ากัน เงินเขา เขาจะพูดอะไรก็ได้ อันนี้เราก็เขียนในมุมมองของเรา ....hmmm... "ความพอ" ของเราไม่เท่ากันจริง ๆ ครับ Note: เราเขียนในพื้นที่ของเรา 30/11/2024 อย่างไรก็บ้านเกิด อย่างไรก็รัก
อย่างไรก็จะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ที่อยู่จริง ๆ ไม่ใช่แค่ "มาเที่ยว" ที่เมืองไทยตอนนี้เตรียมการ เตรียมความพร้อมหลาย ๆ อย่างแล้ว 99.99% ตอนนี้ก็แค่ "รอเวลา" 💕💕💕 เราถือ 2 สัญชาติครับ + 1 PR มีความลื่นไหลทางสัญชาติ 110% และได้สัญชาติมาด้วยความสามารถของตัวเอง 110% ครับ; Skilled Migrant เราไม่เคยยึดติดว่าตัวเองสัญชาติอะไร เพราะเรามาเรียนหนังสือที่เมืองนอกตั้งแต่เด็กแล้ว เกินครึ่งชีวิตอยู่ที่เมืองนอกมาโดยตลอด ไม่เคยทำงานที่เมืองไทย ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนก็ได้ "ถ้ามีเงิน" 💕💕💕 30/11/2024 💕💕💕 อยากมี moment ที่เดินออกไปซื้อลูกชิ้นนึ่งที่ปากซอย และซื้อของกินข้างถนนราคาถูก ๆ
แต่ก็นั่นแหละ condo ที่กรุงเทพมันก็แคบ ๆ 32 ตารางเมตร เหมือน shoebox อยากมี moment ที่อยู่บ้านกับหม่อมแม่และน้า ๆ เมื่ออยากมาใช้ชีวิตในเมืองกรุง เราก็ยังมี condo อยู่ เราก็บินมาได้ ไม่กี่นาที หรือก็นั่งรถไฟนอนมาได้ ไม่จำเป็นต้องบินเสมอไป ชีวิตค่อนข้างรู้แล้วว่าต้องทำอะไรกับชีวิต ภาพในหัวค่อนข้างชัดเจน ตอนนี้เราก็แค่รอ "เวลา" การเงินทุกอย่างพร้อมแล้ว ชีวิตปลอดหนี้มานานแล้ว ปลอดหนี้ March 2018 โปะบ้านหลังแรกที่ออสเตรเลีย และ Financial Freedom 01 July 2020 (รายได้มากกว่ารายจ่าย) การงานก็ลงตัว ค่อนข้าง mobile อดทนนะ อีก 1 ปี ลูกลิงจะจบ year 12 แล้ว Note: บริบทในชีวิตของคนเราแตกต่างกันออกไปนะครับ ของเรากับภรรยาคือลูก ๆ โตหมดแล้ว คนโตตอนนี้เรียนปี 3 UNSW (Engineer) คนเล็กก็เรียน year 12 แล้ว ปีหน้าจบ ส่วนใครที่ยังต้องทำอะไรเพื่อลูกน้อย เราเข้าใจ การศึกษาที่ประเทศออสเตรเลียคือที่สุดแล้วครับ เรากับภรรยาคิดว่าเรา 2 คนได้ทำหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่แล้วครับ ต่อไปก็ถึงคราวเรา 2 คนที่ต้องใช้ชีวิตบ้าง ก็แค่นั้นเอง อย่าเอาชีวิตเราไปเปรียบเทียบกับชีวิตใคร บริบทในชีวิตของเราไม่เหมือนกัน ใครที่จะเรียนที่ UTS นะครับ
จากสัจจริง อย่าเพิ่งซื้อ textbook เพราะระบบ Canvas ของเขาดีมากถึงมากที่สุด ทุกอย่างผ่าน online ผ่าน Canvas textbook แทบจะไม่จำเป็นเลย (ประสบการณ์ส่วนตัว) เวลาเขียน essay ก็ reference จาก online article ต่าง ๆ นานา เผื่อใครจะได้ประหยัดค่า textbook ไป บางเล่มก็ $145 นะครับ แพงเอาเรื่อง ตอนนี้เริ่มรู้ละ หลังจากที่ไม่ได้เป็นนักเรียนมาหลายปี ใบนี้เป็นใบที่ 7 ครับ No stress, จบเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เรียนไปเรื่อย ๆ ขำ ๆ การรถไฟแห่งประเทศไทย
ไม่ได้ขี้เหร่เลยนะครับ (ถ้ามีเงิน) ปรับอากาศ ชั้น 1 เหมาตู้คนเดียว ไม่แชร์ ปรกติตู้ 1 แชร์ 2 คน 💕💕💕 ที่เมืองไทย เรา "ค่อนข้าง" ตัดสินใจแล้วว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ จังหวัดไหนก็ได้ ขอให้มีสนามบิน เพราะยังไงบ้านที่ Wollongong ก็คือ forever home ซื้อมาแพง renovate ไปก็เยอะ จะได้กลับบ้านได้สะดวก เจอลูกค้า face-to-face consultation ได้เหมือนเดิม ตอนนี้มี option เพิ่มมาอีก 1 ว่า "เออ... รถไฟก็ได้นะ แต่ขอเป็นรถนอน" 💕💕💕 แต่ก่อนต้องบินอย่างเดียว Note: 1. บริบทของชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันออกไปนะครับ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เรามาเรียนหนังสือที่ออสเตรเลียตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเกินครึ่งชีวิตแล้ว เราไม่ได้ยึดติดว่าเราเป็นคนประเทศไหน อะไร อยงไร เรามีความลื่นไหลทางสัญชาติสูง ของเราอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้า "มีเงิน" อันนี้จากสัจจริง 💕💕💕 ชีวิตในเมืองกรุง ก็ไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับทุกคนนะครับ
- รถติด - อากาศเสีย ชีวิตคนเรา บางทีมันก็มาถึงบริบทที่ว่า อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ 1. อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา 2. "มีเงิน" ลองหลีกหนีความวุ่นวาย สังคมแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น แล้วไปใช้ชิวิตที่ต่างจังหวัด ต่างเมืองดูนะครับ ทำอะไรช้าลงหน่อยก็ได้ Smell the roses along the way. มันอาจจะตอบโจทย์ชีวิตเราก็ได้ "โยกย้าย" บางทีก็แค่ "ย้ายจังหวัด" นะครับ ขอแค่ "มีเงิน" อยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ในที่ที่อากาศดี รถไม่ติด ...อะไรประมาณนี้... 💕💕💕 เหตุเกิดที่ละครเวที "ฟ้าจรดทราย"; 24 Nov 2024
1. เราซื้อตั๋วที่แพงที่สุด นั่งด้านหน้า ตรงกลาง มาคนเดียว 2. กลุ่มคุณหนูคุณนายคนรวยทั้งหลาย (ดูจากการแต่งตัวและการพูดคุย) มากันประมาณ 10 คนนั่ง 2 แถว ด้านซ้ายและเยื้อง ๆ เรา 3. ช่วงพัก break interval 15 นาที คุณนายดูท่าทางเป็นคนมีการศึกษาโทรหาสามี... อ๋อ... สามีน่าจะหลงกลุ่มไปนั่งอยู่อีกแถวคนเดียว 4. ที่นั่งด้านซ้ายมือเราเป็นที่ว่าง ที่นั่งฟันหลอ ซ้ายเรา-ขวาเขา 5. คุณหญิงคุณนาย โทรเรียกสามี ทำท่าทำทางบอกให้สามีมานั่งข้าง ๆ เธอ เพราะเป็นที่ว่าง 6. สามีกำลังเดินมา เราพูดจาภาษาปะกิดไปกับผู้หญิงคนนั้นว่า "Exucuse me, do you have a ticket". 7. เธอตอบมาว่า "No ticket" แล้วสามีก็หยุดกึก นั่งข้าง ๆ เธอ เพราะญาติ ๆ เธอคงไปเข้าห้องน้ำ สามีเขาไม่กล้ามานั่งตรงที่ว่าง ที่นั่งฟันหลอ แล้วเขาก็เดินกลับไปนั่งที่เดิมของเขาที่เขาซื้อตั๋วมา 8. วัฒนธรรมไทยอาจจะมีความเห็นอกเห็นใจ หยวน ๆ แต่เราไม่จ๊ะ... ที่ว่างนั้นไม่ใช่ที่ของคุณ คุณควรนั่งตามตั๋วที่คุณซื้อมา เราก็นั่งเชิด ๆ เป็นชาวต่างชาติของเราไปคนเดียว ที่นั่งด้านซ้ายมือของเรา ขวามือของเขาก็ว่าง เราก็วางแขนได้ 💕💕💕 It is OK to say "No". ไม่ต้องเกรงใจคนที่เขาไม่เกรงใจเรานะครับคนดี 💕💕💕 Note: ฟ้าจรดทราย ต้องไปดูนะครับ อุดหนุนละครเวทีไทย 💕💕💕 แวะมาดูความสำเร็จของน้องสาว (ลูกพี่ลูกน้อง) เราเคยส่งเขาเรียนพิเศษตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ
1. ทุกวันนี้น้องปลอดหนี้ และจริง ๆ แล้วก็สามารถเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 30+ ปลาย ๆ เพราะ passive income จากบ้านเช่าก็มี รายได้จากธุรกิจ online ก็มี 2. น้องออกมาเปิดธุรกิจหน้าร้าน โดยส่วนตัว เราไม่ค่อยเห็นด้วย แต่รู้แหละว่าน้องคงอยากหาอะไรทำ ชีวิตจะได้มีค่า 3. น้องเปิดร้านอาหารอยู่ต่างจังหวัดครับ ความสำเร็จไม่ต้องปากกัดตีนถีบในเมืองกรุงเสมอไป น้องเคยอยู่ในเมืองกรุงแล้ว ไม่ work เชื่อหรือไม่ว่าอาหารทุกอย่างน้องกับแฟนทำกันเอง เรียนรู้จาก YouTube และเข้า course online ยังไม่เคยไปเรียนทำอาหารเป็นตัวเป็น ๆ เราทึ่งมาก อันนี้ไม่ได้อวยน้องตัวเอง คือมันอร่อยทุกอย่างที่เรากิน เราก็งงว่าน้องกับแฟนทำได้ไง คือมันต้องคนชอบทำกับข้าวจริง ๆ ถึงจะทำได้ อันนี้เราพูดจากมุมของคนที่ทำกับข้าวไม่เป็นอย่างเรา แต่กว่าน้องและแฟนจะเดินทางมาถึงจุดนี้ก็ไม่ง่ายนะครับ เรามาดูเส้นทางของน้องกับแฟนกัน 4. รับราชการทั้งคู่ เป็นปลัดอำเภอ เงินเดือนราชการน้อย พูดได้เต็มปากว่าน้องไม่รับซองขาว ไม่รับใต้โต๊ะ น้องทั้งสองทำธุรกิจ online ไปด้วย ช่วงนั้นธุรกิจดีมาก วิ่งเข้าออกไปรษณีย์ส่งของเป็นว่าเล่น ก็เลยมีเงินซื้อตึกพานิชย์ ซื้อสด ซื้อที่ดินสร้างห้องแถวให้คนเช่า ซื้อสด อยากได้อะไร น้องทำงาน เก็บตังค์และซื้อสด "เท่านั้น" ไม่กู้ 5. เมื่อธุรกิจลงตัว ชีวิตปลอดหนี้ น้องทั้งสองก็ลาออกจากการเป็นข้าราชการ 30+ ปลาย ๆ ที่เขียนมาทั้งหมด ก็แค่อยากจะบอกว่า: - คนเราจะประสบความสำเร็จ อยู่ที่ไหนก็สำเร็จได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมืองกรุง ดมควันพิษและเจอปัญหารถติดทุกวัน - 30+ เกษียณได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก อะไร ใด ๆ เราก็ทึ่งในฝีมือการทำอาหารซึ่งเขาก็เรียนจาก YouTube และเรียน online ยังไม่เคยไปเรียนที่ไหน face-to-face ตัวเป็น ๆ เลย แต่น้องทำออกมาได้ดีเวอร์ อันนี้ไม่ได้อวยคนในครอบครัวตัวเองนะครับ พูดไปตามเนื้อผ้า แต่เราก็ยังไม่เห็นด้วยกับธุรกิจหน้าร้านอยู่ดี เราว่ามันเหนื่อยที่ต้องมาคอยเปิดปิดร้าน (been there, done that) เราชอบพวก digital nomad มากกว่า anyway... ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน ไม่มีถูกไม่มีผิด เราแค่ดูความสำเร็จของน้องและยินดีกับเขาก็พอ ความชอบของเราไม่เท่ากัน เรายอมรับว่าปีนี้ ปี 20204 เป็นปีทองของ "J Migration Team"
งานค่อนข้างเยอะ ยอดขายถึง ซื้อบ้านเงินสดที่ South Australia แค่นี้เราว่าก็ OK แล้วแหละ ส่วนบ้านที่อยู่ประจำ เราก็ทำนั่น นี่ โน่นเพิ่มบ้างเล็กน้อย ติด solar cell ถ้ากลับมาจากเมืองไทย ก็จะได้ทำอย่างอื่นต่อไป ติด security door เราอยากได้แบบที่เปิดประตูด้วย biometric รวมถึงประตูเข้าสวนหลังบ้านด้วย ก็คงค่อย ๆ ทำกันไป our forever home ในความยุ่ง ในความ busy มันก็ต้องมีสิ่งที่เราต้องจัดการให้ดี ๆ: 1. เรื่องการออกกำลังกาย ยังพยายามไป gym อยู่ อย่างน้อยไป treadmill ก็ยังดี บ้านปัจจุบันอยู่ไม่ไกลจาก gym ไป 6 วันต่ออาทิตย์ไม่เกินจริง ข้ออ้างไม่ต้องเยอะ 2. เรื่องเรียนกับ UTS ก็ต้องลงทะเบียน เทอม-เว้น-เทอม ลงทุกเทอมไม่ไหว เดี๋ยวจะมีผลกระทบกับงาน 3. เวลาให้กับครอบครัว อันนี้ไม่มีปัญหา เรากับภรรยาทำงานด้วยกันอยู่แล้ว ดังนั้นเราเจอกัน 24hr เวลาให้กับลูก ๆ ทุกอย่างก็ลงตัว เราขับรถไปส่งลูกสาวเราทุกวัน ส่วนลูกชายก็กลับบ้าน Friday - Monday เป็นช่วงที่มีความสุขของครอบครัว ถึงแม้จะไม่ได้มีเวลาคุยกัน แค่ feel the presence ก็ OK แล้ว เพราะลูกชาย assignments ก็เยอะ เราก็ปล่อยให้เขาทำ assignment ของเขาไป 4. ทุกวันนี้เรา cherish ทุก ๆ moment ของเรากับคนในครอบครัว กับ "ทีม J" กับ "inner-circle" เล็ก ๆ ก็พอ เราตัดคนที่เข้ามาเพื่อหวังกอบโกยออกไปจากชีวิตค่อนข้างเยอะ เราตัดคนที่เข้ามาแบบไม่จริงใจก็มี ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขมากกับหมู่มวลมิตรที่เล็ก ๆ ที่กำลังพอดี OK แหละ ปีนี้เป็นปีทองของเรา แต่เราก็ต้องไม่ประมาท เรายังคงใช้ชีวิต below my mean ตามปรกติ กินง่าย อยู่ง่าย ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพราะเราไม่รู้เลยว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น วันนี้มีงาน แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่มีก็ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ล้วนแล้วไม่เที่ยง หลายสิ่งอย่างเป็นแค่ภาพลวงตา เราต้องไม่ติดกับดักหรือลงระเริงไปความสำเร็จ หรือความคิดที่ว่า "เราประสบความสำเร็จ" แล้ว 5. เรายังคงทำงานเหมือนเป็นหนี้ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตปลอดหนี้แล้ว และ passive income ก็มีมาเรื่อย ๆ ทุก ๆ week อยู่แล้ว 6. ปี 2023 - 2024; เป็น 2 ปีที่เรา invest เงินไปกับการ train ทีมงานเยอะมาก เรามีทีมงานหลัก ๆ ก็ 2 ทีม คือ "ทีม original 2017" และ "ทีมใหม่" - ปี 2023 - 2024; ก็ invest ไปกับ "ทีมใหม่" ค่อนข้างเยอะ invest แบบไม่มี budget ปี 2023 - 2024; ก็ถือว่าเป็น "Plant, Invest" ส่วนปี 2025 เป็นต้นไป ก็คงจะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว; Harvest. ก็เข้าหลัก "Plant, Invest, Harvest" เป๊ะเลย - ปี 2025 ก็คงไม่ต้องมีอะไรที่จะต้อง train กันมากแล้ว เราก็ลดค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นไป - "ทีม original 2017" ของเราไม่มีอะไรต้อง train อยู่แล้ว ทีมนี้ค่อนข้างลอยตัว เป็นทีมฝรั่ง 5 + คนไทย 1 - "ทีม J" ทุกวันนี้ OK แล้ว ลงตัวแล้ว ปิดอู่ ไม่รับใครเพิ่ม อะไร ใด ๆ ทุกวันนี้เรามีความสุขอยู่กับปัจจุบันก็เป็นพอ แค่ต้อง balance เรื่องสุขภาพ การกิน และการออกกำลังกายให้ดี ๆ แค่นั้นพอ "เจ้าของธุรกิจมือใหม่; ร้านอาหาร และ ร้านนวด"
ถึงน้อง ๆ เจ้าของธุรกิจมือใหม่; ร้านอาหาร และ ร้านนวด พวกหนูโชคดีมากเลยมากเลยนะครับ ที่ทำธุรกิจในยุคสมัยที่เข้าถึงข้อมูลและข่าวสารที่เป็นประโยชน์ได้เยอะมากมายแบบนี้ สมัยที่ P' J เริ่มทำธุรกิจใหม่ ๆ ; February 2003 P' J งมเข็มในมหาสมุทรครับ ไม่มีข้อมูลอะไรเลย เด็ก computer science มาทำธุรกิจหน้าร้าน บอกเลยว่าไม่เข้ากัน เพื่อน ๆ ที่เรียนมาด้วยกันสมัย UOW งงกันมาก เสียดายความรู้ทางด้าน computer science ที่เรียนมา anyway... วกกลับมาที่พวกหนู เจ้าของธุรกิจมือใหม่; ร้านอาหาร และ ร้านนวด P' J อยากให้ทุกคน success ครับ เข้าใจว่าหลาย ๆ คนที่บ้านรวย แต่ไม่ได้แปลว่าเราต้องเอาเงินพ่อแม่มาผลาญเล่น เงินถ้าไม่หาใหม่อยู่เรื่อย ๆ มันก็มีวันหมดได้นะครับ P' J เปิดธุรกิจครั้งแรก ที่บ้านที่เมืองไทยบอกว่า "you're on your own" การที่มีธุรกิจหน้าร้าน; ร้านอาหาร หรือ ร้านนวด สิ่งที่ P' J อยากจะแนะนำก็คือ: 1. ว่าง ๆ เราก็ต้องลองทานอาหารหรือใช้บริการร้านอื่นบ้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านอาหารไทย ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านนวดไทย ฉีกแนวออกไปบ้าง อะไรเดิม ๆ มันก็น่าเบื่อ ลองไปทานอาหารร้านฝรั่งดู ลองไปนวดร้านฝรั่งดู ร้านอาหาร: - ดูความสะอาดและบรรยากาศภายในร้าน - การแต่งกายของพนักงาน - ความอ้อล้อฉอเลาะของพนักงาน - ต่าง ๆ นานา แล้วนำเอามาประยุกต์เข้ากับร้านตัวเอง ร้านนวด: - ไม่รู้จะแนะนำอะไรจริง ๆ ถ้าเป็น P' J เราก็คงจะดูเรื่องความสะอาด ความปลอดโปร่งของร้าน ถ้าร้านดูแออัดและมีความ "อย่างว่า" เราก็ไม่อยากเข้า - ถ้าเป็น P' J ไปนวด เอาตามตรงนะ เราก็อยากได้พนักงานที่จบมาทางด้านนี้ ไม่เอาแบบที่อบรมจากที่นั่น นี่ โน่น มา เราคิดว่ามันไม่ pro เพราะถ้าเราไปนวด เราก็คงเอาแบบ Deep Tissue หรือ Sport Recovery Massage มันก็ต้องเป็น Kinetic หรือ Myotherapy อะไรประมาณนี้ ที่จะมาแบบลูบ ๆ คลำ ๆ แบบนั้นไม่เอา 2. ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ P' J ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยยามเช้า เผื่อเป็นประโยชน์อะไรกับใครบ้าง เผื่อใครก็จะได้เอาเวลาว่างไปทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้าง ชีวิตอย่างวน ๆ อยู่แต่กับคนไทย ชีวิตอย่าวน ๆ อยู่แต่กับร้านอาหารไทย ชีวิตอย่าวน ๆ อยู่แต่กับร้านนวดไทย ออกไปเจอโลกกว้างบ้าง แล้วนำเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาปรับปรุงร้านและธุรกิจของตัวเอง Note: P' J เขียนในฐานะของคนที่ทำธุรกิจมาแล้ว 21 ปี เราผ่านอะไรมาหมดแล้วครับ ก็อยากจะ share the idea |
AuthorJohn Paopeng Archives
December 2024
Categories |