ครบ จบ UTS Week 2 เกือบตาย
อาทิตย์ที่ผ่านมา งานเรายุ่งจริง อะไรจริง ต้องเข้าไปทำงานที่ Sydney 2 วัน; Wed & Fri ก็เลยเหนื่อย ๆ กว่าจะได้เริ่ม study หรืออ่าน material ต่าง ๆ ก็ Thu ซึ่งไม่แนะนำ ถ้าจะให้ดีคือต้องเริ่มอ่าน study material ตั้งแต่ Mon เลย Thu ถือว่าช้ามาก Fri กว่าจะกลับมาจากทำงานใน Sydney ถึงบ้านก็เหนื่อยแล้วครับ อาบน้ำ นอน ได้เริ่มอ่านหนังสือจริง ๆ คือเมื่อวานเช้า และตอนเที่ยงก็มีนัดกับลูกค้า ออกไปเจอลูกค้าประมาณ 30 นาที ไม่นานมาก กลับมาก็นั่งอ่านหนังสือ อ่าน study material ทั้งวัน จากวันเสาร์จนถึงวันนี้ วันอาทิตย์ 30 March 2025 1. Submit weekly discussion; Sunday 9:30am 2. อ่าน study material ของ week 2 ทั้งหมด; Sunday 5pm 3. Break for dinner แล้วกลับมานั่งทำ online quiz; Sunday 6pm ครบ จบ อาทิตย์นี้ (week 3) ต้องเริ่มทุกอย่างเลยทันที เริ่มอ่านหนังสือ Thu ถือว่าช้ามากสำหรับ week นั้น แล้ว weekend เราก็ออกไปไหนไม่ได้เลย OK.. เสร็จงานของ UTS Week 2 แล้ว เราก็มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น - ตอบ email งานของ "J Migration Team" - นั่งทำ ebook ต่อ "เหยื่องานฟาร์ม; ออสเตรเลีย" เสร็จแล้ว 99% 30/03/2025 โดยปรกติแล้ว เราจะไม่ค่อยไป hang out อะไรกับใครง่าย ๆ
เป็นคนช่างเลือก และ requirement ของร้านอาหารค่อนข้างชัดว่าต้องอะไร อย่างไร ปรกติเวลาทำงานเสร็จที่ Sydney คือ "ต้องการกลับบ้านไว ๆ" เพราะไม่ชอบรถติดตอน 5pm และจริง ๆ แล้วเราก็ต้องการอยู่แค่กับครอบครัวเราและคนที่เป็น "inner-circle" จริง ๆ บอกตามตรงว่าค่อนข้าง "เจ็บ" กับ relationship บางอย่างที่ผ่านมา เวลาเราให้ใจกับใคร เราค่อนข้าง 110% เราคิดง่าย ๆ ว่าถ้าเราดีกับเขา เขาคงไม่ทำร้ายเรา แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง ทุกวันนี้ค่อนข้างระวังตัว ทุกการพบปะ "ดี" เสมอ 1. สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เริ่มเองทุกสิ่งอย่าง เริ่มจาก 0 ไม่มีที่ปรึกษา คลำทางกันเอง ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนพูดคุยประสบการณ์มันดีมากเลย คำว่า "คลำทางกันเอง" ถ้าใครไม่ได้เริ่มจาก 0 เหมือนพวกเรา เขาไม่เข้าใจหรอก พอคนที่เริ่มธุรกิจมาจาก 0 ด้วยกันหมด มานั่งโต๊ะเดียวกัน นั่งเมาส์มอยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ มัน heal ใจมากเลยครับ คนที่เคยผ่านความยากลำบากแบบนั้นจะเข้าใจ 2. อันนี้ก็รวมไปถึงพนักงานที่เริ่มล้มลุกคลุกคลานกับเขามาด้วย Note: บางธุรกิจซื้อต่อเขามาแล้ว claim ว่าตัวเองมีประสบการณ์หรืออยู่ใน industry เท่านั้นเท่านี้ปี บอกเลยว่า "fake" มาก เช้านี้ตื่น 4:30am ก่อนนาฬิกาปลุก (5am)
วันนี้ต้องเข้าไปทำงานที่ Sydney office ต้องขับรถไป ต้องมีการเสียเวลาในการเดินทาง May 2025 จะย้ายไป Rockdale แล้ว ก็จะใกล้ Wollongong มากขึ้น 1 ชั่วโมง 15 นาที ถือว่า OK เราสามารถส่งลูกสาวไปโรงเรียนก่อนได้ drop ที่ train station 8:10am แล้วเราก็ขับต่อไปที่ Rockdale ก็ OK อยู่นะ not too bad แต่ตอนนี้ Sydney office ยังอยู่ที่ CBD เหมือนเมื่อหลายปีก่อน การเดินทางมันก็ใช้เวลานิดหนึ่ง แต่มันสะดวกสำหรับลูกค้า ภารกิจวันนี้ก่อนเดินทางไป Sydney 1. clears email 2. จัดการเรื่องรถ EV ให้ภรรยา ครบ จบ ต้องโอนกัน 3 วันเพราะธนาคารเราก็มี daily limit ในการโอน โอนได้ไม่เยอะ คนจน ๆ แต่ก็ซื้อสด เราจ่ายค่ารถทั้งหมด ส่วน extra option ภรรยาจ่ายเอง เช่นเคลือบสีเอย ใส่ tint เอย ต่าง ๆ นานา เราบอกให้เขาเคลือบสีไปเลย $800+ ไม่แพง มันจะได้เงาแวววาว... LOL แล้วเราไม่ยุ่งอะไรกับรถเขา สรุป ตอนนี้ที่บ้านที่มีรถ EV x 2 และ Hybrid x 1 ของลูกชาย เราคิดว่ามี Hybrid คันเดียวก็พอ เวลาเดินทางไกล เราก็ใช้รถลูกชาย (รถเก่าเรา) จริง ๆ แล้วภรรยาเราอยากได้ Hybrid มากกว่า เอาไว้เดินทางไกลได้ด้วย ไม่ต้องหาที่ charge แต่เราเอนเอียงมาทาง EV และเอนเอียงนานแล้ว แค่รอเวลาย้ายบ้านเฉย ๆ ตอนนี้ย้ายบ้านเสร็จสรรพแล้ว เราก็เปลี่ยนมาใช้ EV อย่างเต็มตัว ไม่รู้นะ ความชอบส่วนตัว คือทำไมเราต้องไปเสียเงินจ่ายค่าน้ำมันด้วย เราก็ charge เองที่บ้าน แผง solar cells เราก็มี นั่นแหละ ป้ายยาภรรยาเสร็จแล้ว เราก็ต้องจ่ายให้ด้วย วันนี้ ครบ จบ 3. วันนี้ก็เข้า Sydney ทั้งวัน ตึก World Square แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่เจอคนหลากหลายมันก็สนุกและมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคน บอกได้เลยครับ face-to-face consultation เราไม่ได้อะไรหรอก นั่งทำงานหน้า computer แล้ว submit cases เราได้เงินเยอะกว่า แต่นั่นแหละ face-to-face consultation มันก็ heal ใจ 4. ตอนเย็น ทำ assignment ทำอะไรต่อของ UTS Note: ปีนี้รอ face-to-face consultation ที่เมืองไทยนะครับ รอ CEO (ภรรยา) อนุมัติ นี่แหละ ชีวิตทุกวันนี้ ก็เลยไม่มีเวลาใส่ใจกับเรื่องไร้สาระ ขอให้เรารู้ว่าเราสู้อยู่เพื่อใคร อย่ามัวใส่ใจเสียงคนเสียงสื่อโซเชี่ยล They don't pay your bills. อย่าสนใจ อย่าแคร์คนอื่นมาก ยกเว้นครอบครัวและ "inner-circle" ที่ "inner" จริง ๆ ชีวิตเราต้องไปต่อ ครอบครัวต้องกินต้องใช้ 28/03/2025 ทุกวันจันทร์ 10:15am เรามีนัดกับ UTS Student Advisor
"เธอได้เริ่มอ่าน material ของ week 2 แล้วหรือยัง??" "what is your plan for this week?? next discussion board อย่าลืม participate นะ" "next online quiz does Sunday นะ" "แล้ว assignment 3 dues 11 April นะ อีก 2.5 weeks เธอควรเริ่มเลย เขียนวันละนิดวันละหน่อย" ป๊าดดดดดด เหมือนเราได้ผู้ปกครองเพิ่มอีกคนหนึ่ง แต่ก็ดีนะ มีคนมา checks progress ทุก ๆ วันจันทร์ จะได้ไม่ leave things last minute!!! อาทิตย์ต้องจ่ายค่าเทอมแล้ว; $4,121 ค่าเทอมขึ้นจากปีที่แล้ว; $3,962 (ถ้าจำไม่ผิด) อันคือต่อรายวิชา ถ้าเรียนมหาวิทยาลัย ราคาก็ประมาณนี้แหละครับ แล้วแต่มหาวิทยาลัย แล้วแต่สาขาที่เรียน เราเลือกที่จะจ่ายเอง ไม่ใช้ HECS ไม่อยากมีปัญหาตอนกู้เงินซื้อบ้าน เราบอกน้อง ๆ คนใกล้ตัว "inner-circle" ของเราเสมอ
"Connection" ไม่ต้องวิ่งหา ทำงานเยอะ ๆ มีเงินเยอะ ๆ เดี๋ยว "Connection" วิ่งมาหาเอง สำหรับเราแล้ว อะไร อย่างไรได้หมด เปิดใจเสมอ แต่ "เกลียด" พวก extremist ที่ต้องเอาคนคิดต่างไปแขวน ช่างน่าสมเพช สมองน่าจะมีแค่นี้จริง ๆ อะ... ไม่ว่ากัน ก็ต้องไม่เข้าใกล้!!! ในระหว่างที่ทำโยคะอยู่นั้น instructor ก็พูด intro อะไรของเขาไปเรื่อย
จากสัจจริงนะ เราไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ แต่วันก่อนไม่รู้เป็นอะไร เออ ที่เขาพูดมันโดนใจนะ!!! เขาก็พูดว่าวางเรื่องทุกอย่างไว้ข้างนอกและก็อยู่ปัจจุบัน ณ ตอนนี้ เออ เราจะสังเกตุตัวเองว่าตอนทำโยคะ เราก็จดจ่ออยู่การทำนะ ไม่ได้คิดอะไรเรื่องอื่น ซึ่งมันดีมากเลยนะครับสำหรับคนที่งานเยอะ ๆ ภารกิจเยอะ ๆ ตัวเราเองไม่ได้มีความเครียดหรือ stress เรื่องงานแต่อย่างใด เราค่อนข้าง happy กับทุก ๆ สิ่งที่เราทำ ที่เราไปทำโยคะหรือ pilates ก็เพราะเราทำงานอยู่หน้า computer เยอะ ก็ต้อง stretch บ้าง อะไรบ้าง ก็แค่นั้นเอง แต่เราก็คิดว่ามันก็น่าจะมีผลต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ ด้วยนะครับ เพราะได้ผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดเรื่องงาน ไม่ต้องอะไรมาก ทำท่านั้นท่านี้ท่าโน้นตาม instructor ไป มีความสุขดี เราก็อยากจะฝากและแนะนำสำหรับใครที่มีภาวะของความเครียด หรือซึมเศร้าอยู่ ณ ตอนนี้ ลองทำโยคะดูนะครับ ถ้าเรากำลัง inflow กับสิ่งที่เรากำลังอยู่ มันค่อนข้างผ่อนคลาย ปัญหาทุกอย่างแก้ที่ต้นตอนะครับ "ยา" บางทีก็แก้แค่ปลายเหตุ จิตใจที่เข้มแข็ง ก็มาจากร่างกายที่เข้มแข็ง และอยู่ใน "circle" ที่ดีที่ support ซึ่งกันและกัน ไม่ judgemental ออกจาก routine เดิม ๆ ทุกอย่างต้องดีขึ้น มีนิทานจะเล่าให้ฟัง
Once upon a time; around 2005/2006 เรากลับไปเรียนที่ UOW เรียนเพิ่ม ป.ตรีใบที่สอง อักษรศาสตร์ภาษาญี่ปุ่น ตอนนั้นเราเป็นเจ้าของธุรกิจหน้าร้านแล้ว (Feb 2003) มีร้าน 2 ร้านอยู่ติดกัน มีพนักงานมากพอในการทำ roster ที่ Wollongong พนักงานไม่เคยขาดนะครับ เพราะเด็ก UOW เยอะ เราจึงมีเวลากลับไปเรียนได้ ทีแรกก็แค่อยากจะหาอะไรทำขำ ๆ กะจะเรียนแค่เล่น ๆ แค่ 1 เทอม ก็น่าจะพอ ปรากฎว่าผลการเรียนออกมาดี เทอมแรกมี HD เราก็เลยไปต่อเรื่อย ๆ เรียนจนจบ จนได้ป.ตรีเพิ่มมาอีกใบ เรียนไม่จ่ายค่าเทอม ใช้ HECS ในการเรียน ตอนนั้นการเงินเราก็ไม่ได้คล่องมาก ขายของก็เป็นเงินหมุน ขายมาก็จ่ายออกไปค่าแรง ค่าเช่า เยอะมากครับในแต่ละ week ภรรยาเราเลี้ยงลูก เป็น full-time mum 1 รายได้ หากินกัน 4 ปาก 4 ท้อง ไม่ง่ายนะครับ กับการบริหารจัดการเงินที่ไม่เป็น เราทำงาน ไม่เอาค่าแรง เพราะคิดว่าเงินในร้านก็คือเงินเรานั่นแหละ กับรายจ่ายของร้านที่บางทีรายได้ก็ไม่ถึง ก็ต้องพึ่งบัตร credit รูดบัตร credit จ่ายค่าไฟของร้านเพื่อให้ร้านมีเงินหมุนทำธุรกิจไปต่อได้ เราทำมาหมดแล้ว พอถึงเวลาจะจ่าย บางทีมันก็จะมี promotion จากธนาคารต่าง ๆ ที่มีการโอนยอดค้างมาบัตรใหม่ แล้วไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 6 เดือน (0% interest) เราทำมาหมดแล้วครับ เหตุการณ์จำฝังใจ 1. เรียนเสร็จจาก class 2. เดินลงมาจากตึก นั่งอยู่ตรง bench หน้าตึกเรียนเลย คนก็เดินไปมาเยอะแยะมากมาย เราก็โทรหา NAB (National Australia Bank) เพื่อจัดการเรื่องบัตร credit เราจำไม่ได้เรื่องธุรกรรม มันนานมามากแล้ว แต่ภาพมันยังจำฝังใจ เด็กน้อยคนหนึ่ง บริหารจัดการชีวิตตัวเองในออสเตรเลีย ไม่มีใครช่วยเหลือนอกจากตัวเราเอง เราเดาเอาว่าตอนนั้นน่าจะโทรไปปิดบัตร credit ของ NAB เพราะว่าเรามีการทำ credit transfer ไปของธนาคารอื่นแล้ว อะไรสักอย่างนี่แหละ จำไม่ได้ credit card คือการใช้เงินของอนาคตนะครับ ซึ่งเราอาจจะหามาใช้คืนธนาคารไม่ทันก็อาจจะจะเป็นได้ ใครนะเป็นคนคิดค้น concept นี้คนแรกของโลก หากเราใช้ชีวิตแบบคนยุคก่อน ใช้หอยใช้เบี้ยในการแลกซื้อสินค้าเป็น barter trade ก็คงจะดีไม่น้อย ชีวิตเราทุกวันนี้ไม่มีบัตร credit มีแต่บัตร debit ใช้เท่าที่มี ไม่มีก็ไม่ใช้ ไม่ต้องสะสมแต้มไมล์สายการบิน อยากบินก็ซื้อตั๋ว ถ้าบินบ่อย ก็ได้แต้มเอง ก็แค่นั้นเลยจริง ๆ มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ หากใครที่มีปัญหาเรื่องการเงิน เราเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่เราไม่มีเงินให้ใครยืมนะครับ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ปัญหากันไป ทำงานที่ตอบโจทย์คนหมู่มาก ให้ความรู้กับคนหมู่มาก ให้แบบฟรี ๆ ไม่ต้องหวังผลอะไรตอบแทน เมื่อคุณเป็นผู้ให้ก่อน คุณจะกลายเป็นผู้รับเอง เมื่อเวลามาถึง อย่าจมอยู่กับปัญหาที่มี คิดวนเวียนมันไม่ช่วยอะไรได้ ออกมาจากวังวนและความคิดเดิม ๆ ออกมาจากห้อง 4 เหลี่ยมบ้าง เจอแสงแดดแสงอาทิตย์ ออกมานั่งดื่มชากาแฟข้างนอกบ้าง มองดูคนเดินไปมา rat race แล้วมันจะทำให้เรารู้ว่า "เออ คนที่แย่กว่าเราก็ยังมี เขาก็ยังไม่ตาย เขาก็ยังสู้และดิ้นรนกันต่อ" ที่เขียนมาทั้งหมด ก็แค่อยากจะบอกว่า: - เราเอง สมัยก่อนก็ชักหน้าไม่ถึงหลังเหมือนกันครับ พึ่งบัตร credit เหมือนกันครับ - ใครที่เจอปัญหาเรื่องการเงินอยู่อย่าท้อ ค่อย ๆ แก้กันไปทีละเปราะ Note: เพื่อความอรรถรส เรานั่งแล้วก็เขียนอะไรไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ proofread โปรดให้อภัย (วันนี้ต้องส่งงาน UTS!!!) ครบจบ RAMS Home Loan accounts ที่เรามี
เหลือ $0 กันหมดแล้ว; 20 March 2025 จากที่เราให้เวลาตัวเองถึงสิ้นเดือนหน้า; April 2025 แต่ตอนนี้เราทำได้แล้ว; 20 March 2025 เร็วกว่ากำหนด 1 เดือน 10 วัน ถ้าเอา redraw facility จาก RAMS Home Loan accounts มารวมกัน เราก็สามารถถอนอออกมาซื้อบ้านที่ Sydney ให้ลูกได้เลย ซื้อสด แต่เรากับภรรยาก็ไม่ทำหรอกครับ อันนี้ก็เก็บเอาไว้เพื่อความสบายใจ ฉุกเฉินอะไร พวกเราก็ถอนออกมาได้ ส่วนที่จะซื้อบ้านให้ลูก (ให้เราด้วยแหละ เวลาไป Sydney) พวกเราก็คงกู้ตามปรกติ แต่ก็อาจจจะไม่ต้องกู้มาก ไม่จำเป็นต้องกู้ 80% เมื่อ Home Loan accounts พวกนี้เหลือ $0 เราก็ใช้ชีวิตแบบชิล ๆ ได้ ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องรีบ ลูกคนโตก็เรียน year 4 UNSW แล้ว คนเล็กก็เรียน year 12 ปีสุดท้ายของ high school แล้ว จริง ๆ เราก็ชิลมานานแล้ว ถ้าไม่คิดจะซื้อบ้านให้ลูกที่ Sydney เราก็ไม่ฮึดขึ้นมารับงานเยอะแบบนี้แน่นอน ก็จะชิล ๆ ไป ลอยไปลอยมา เป็น "ผีตองเหลือง" กระเป๋า hand carry ใบเดียวใช้ชีวิตไปเรื่อย เรื่องซื้อบ้านที่ Sydney/เมืองใกล้เคียง ตอนนี้เราแค่รอ contract จาก developer เพราะว่าซื้อเป็น off-the-plan; 2-bed, 2-bath เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องการซื้อบ้านที่ Sydney/เมืองใกล้เคียง เราก็จะยังคงซื้อบ้านเพื่อการลงทุนตามปรกติของเราต่อไปครับ อันนี้เรากับภรรยาไม่ได้เครียดอยู่แล้ว เพราะเรามี buyer agent ที่ดูแลเราอยู่แล้ว ทำงานกับ buyer agent ค่อนข้างง่าย "ใช้เงินแก้ปัญหา" พวกเราก็ซื้อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไร เราเน้น positive cashflow income เราเน้น passive income ซึ่งตอนนี้ก็ OK แล้วมาสักระยะ บวกลบคูณหาร ก็ได้ positive cashflow income ทุก ๆ week เป็นที่น่าพอดี ใช้ชีวิตอยู่กับ spreadsheet นะครับ ทำการบ้านกันให้ดี ๆ เราซื้อ investment property ครั้งล่าสุดก็เมื่อ September 2024 ซื้อที่ SA หลังจากนั้นก็หยุดทุกสิ่งอย่าง เพื่อเตรียมตัวซื้อบ้านที่ Sydney ครอบครัวเราก็จะยังคงเดินหน้าลงทุนในอสังหาและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กันต่อไป: 1. ทุกอย่างใช้ระบบ Trust ดังนั้นทรัพย์สินทุกอย่างไม่ใช่ของเราคนเดียว มันคือทรัพย์สินของครอบครัวเรา 4 คน 2. เอกสารยาก วุ่นวาย ปวดหัว แต่เพื่อความสบายใจ มันเป็นการทำ asset protection ที่ดี เรายอมปวดหัวตอนทำเรื่อง ดีกว่าจะไปปวดหัวตอนหลัง 3. ทรัพย์สินที่เป็นชื่อเรามีแค่รถ และเงินในบัญชีส่วนตัว มีไม่ถึง $5K ใครจะมาฟ้องร้องอะไร แตะต้องทรัพย์สินของพวกเราที่อยู่ใน Trust ไม่ได้ เพื่อคุณมีลูก คุณจะเข้าใจ มันทำให้คุณ sleep at night ว่าเออเราได้ provide อะไรไว้ให้เขาแล้วนะ เขาไม่ต้องลำบากเหมือนเรากับภรรยา ไม่ต้องเริ่มจาก 0 Retire Young, Retire Rich ทำได้นะครับ จากสมองและสองมือที่มี เมื่อเรามีอิสระภาพทางการเงิน ชีวิตเราก็จะง่าย จริง ๆ เรา reached that point ตั้งแต่ 01 July 2020 แล้ว เรากับภรรยาแค่รอลูกสาวคนเล็กเรียนจบ high school ก็แค่นั้นเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นจากสมองและสองมือนะครับ เรากับภรรยาเริ่มทุกอย่างจาก 0 พวกเราไม่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องเงินจากครอบครัวทั้งที่ไทยหรือที่สิงคโปร์แต่อย่างใด ทุกอย่างต้องหากันเองหมด หนังสือแนะนำนะครับ: - Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki - The Richest Man in Babylon - 4-Hour Week ของ Tim Ferris บางทีก็มีความรู้สึก annoy และ irritaing ที่เราโดนเอาเปรียบ นั่น นี่ โน่น
เราอยู่ในสื่อ เราอยู่ในที่แจ้ง บางทีก็เป็นการง่ายกับการโดน take advancetage กับ expectation ของคนที่ email เข้ามาอยากใช้บริการ กับ expectation ที่ต้องการให้เราตอบ email แบบ endlessly ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่ commit บางทีเราก็อธิบายไปเกือบหมดแล้ว ข้อมูลที่ blog ก็มีให้ ข้อมูลที่หน้า page ก็มีให้ ทุก case ก่อนเสนอราคาไป เราได้ทำการ assess แล้วเรียบร้อยก่อนเสนอราคาไป ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เสนอราคาไป บางทีเราต้อง "ปัดตก" รู้สึกว่า "ศีลไม่เสมอ" รู้สึกเปลืองพลังงานที่ต้อง deal ด้วย เราจะ lost focus กับเรื่องพวกนี้หรือคนเหล่านี้ไม่ได้ มันดูดพลังมากเลย เรามีเป้าหมายของเรา เรามีภาพรวมของเราว่าที่ทำไปทุกวันนี้ทำไปเพื่อใคร และกำลังทำอะไรอยู่ เรายังมีบ้านที่ต้องซื้อให้ลูกชายที่ Sydney/เมืองใกล้เคียง เรายังมีครอบครัวที่เมืองไทย ที่เรายังต้อง support อยู่ เราจะไม่เสียเวลากับคนที่ "ไม่ใช่" มันยากนะที่บางทีก็ต้องสะบัดและเบน focus ไปที่อื่น บางทีเราก็คิดว่า เออคนเราก็มีทุกรูปแบบจริง ๆ เราพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว ก็ถือสะว่ามองอะไรกันคนละมุม ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เรา focus มาที่งานของเราดีกว่า focus มาที่คนที่ "ใช่" ดีกว่าจมอยู่กับคนที่ทำให้เรา annoy |
AuthorJohn Paopeng Archives
April 2025
Categories |