จากคราวก่อนที่เราเขียนถึงคุณอา ก็มีการเขียนถึงคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ด้วย
สำหรับใครที่ไม่รู้จักคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย นะครับ ท่านคือฆราวาสที่สอนวิปัสสนา ท่านสอนวิปัสสนานะครับ ไม่ได้สอนธรรมะ สำหรับ course ที่เราไปนะครับ ส่วน course อื่นหรือคนอื่นที่ไป เราไม่รู้ แต่สำหรับเราท่านเป็นฆราวาสที่สอนวิปัสสนาในสาย "หยุบหนอ-พองหนอ" ส่วนเรื่องจะธรรมะหรือไม่ธรรมะนั้น เราว่าทุกอย่างมันก็มาของมันเอง จากสิ่งหนึ่งเชื่อมไปอีกสิ่งหนึ่ง สำหรับเราแล้ว คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของชีวิตเราครับ จากเด็กน้อยที่อารมณ์ค่อนข้างร้อน (แต่ก่อนเจ็บร้อนแรงมากกว่านี้เยอะครับ) และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ท่านสามารถทำให้เรา soft ลงได้เยอะ สำหรับเราแล้ว ท่านคือคนที่เปลี่ยนเราจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากการแค่นั่ง ๆ หลับตานี่แหละ 7 วัน 7 คืน (หรือ 7 วัน 6 คืน จำไม่ได้แล้ว) จากการเดิน ๆ นั่ง ๆ นี่แหละ 7 วัน มันเปลี่ยนชีวิตเราได้ 3 วันแรกอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่พอเข้าวันที่ 4 แค่นั้นแหละ เรารู้เลยว่า "นี่แหละที่ใช่" มันทำให้เรารู้ว่า "รูป รส กลิ่น เสียง" ก็แค่สิ่งสมมุติ ก็แค่รูปธรรมนามธรรม มันทำให้เราเข้าโลกมากขึ้น มันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น มันทำให้เราเข้าใจ "รูปธรรม-นามธรรม" มากยิ่งขึ้น การไปเข้า course การฝึกอบรมของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ที่ จ.นครราชสีมา ในครั้งนั้น 1. ทุกอย่างฟรี 2. ทุกคนก็ถือแค่ศีล 5 ใช้ชีวิตตามปรกติ ทานอาหาร 3 มื้อ 3. นอนกางมุ้ง นอนกับพื้นไม้ มีเสื่อผืนเล็ก ๆ ปูนอน ตื่นตี 4am นอน 4 ทุ่ม (10pm) 4. ทุกการสอน เป็นการสอนแบบฆราวาสอนฆราวาส ไม่มีพระมาสอน แต่ใช้สถานที่ของวัด (จำไม่ได้แล้วว่าวัดอะไร) วิทยากรก็เป็นลูกศิษย์ของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ใครจะเชื่อว่าการอยู่กับลมหายใจ ง่าย ๆ แค่ "หยุบหนอ-พองหนอ" มันสามารถเปลี่ยนเราได้ ต้องลองไปท้าพิสูจน์ครับ ท่านมีศูนย์วิปัสสนาอยู่ทั่วประเทศ สะดวกที่ไหนไปที่นั่น เราก็ plan เอาไว้ว่าจะกลับไปเติมพลังให้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่เรามอง ๆ เอาไว้ก็ที่เชียงใหม่ (วัดห้วยส้ม อ.สันป่าตอง) เดี๋ยวรอให้ลูกสาวเราจบ year 12 เราก็น่าจะมีเวลาในการไปโน่นมานี่ สถานที่เป็นวัดก็จริง แต่สอนด้วยฆราวาสนะครับ ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ไม่มีภาษาบาลีภาษาพระมาทำให้ปวดหัว มันคือการทำสมาธิ มันคือการทำวิปัสสนาล้วน ๆ และทุกคนที่มา ทุกคนตั้งใจมาก มันทำบรรยากาศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนเราที่ได้โอกาสได้ไปสัมผัสกับการวิปัสสนาของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ก็คือช่วงที่เราเรียน ป.ตรีอยู่ที่ UOW ช่วงนั้นยังเป็นเด็กน้อย ปิดเทอมก็ไม่ยอมกลับบ้าน ไม่กลับเมืองไทย จนปีที่ 3 คุณอาบอกให้กลับเมืองไทย อะไรที่ออกมาจากปากคุณอา มันคือประกาศิต หลาน ๆ ในตระกูลทุกคนฝั่งคุณพ่อต้องทำตาม โดยที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำถาม ถ้าคุณอาบอกให้เดินซ้าย ทุกคนต้องเดินซ้าย ถ้าคุณอาบอกให้เดินขวา ทุกคนต้องเดินขวา เพราะคุณอาคิดมาให้พวกเราแล้ว พวกเราไม่ต้องคิดเอง คุณอาคือ "The Brain" ของครอบครัวเราฝ่ายคุณพ่อ เอาเป็นว่าคุณอาเรียนหนังสือไม่เคยได้ที่ 2 ช่วงที่เราเรียนอยู่ที่ UOW จู่ ๆ ก็มีพระราชองค์การจากเบื้องบนว่าเราต้องกลับเมืองไทยช่วงปิดเทอม คุณอาบอกว่า "มีอะไรจะให้ทำ" พอถึงเมืองไทยไม่กี่วัน คุณอาก็ให้เรากับคุณแม่ไปที่ศูนย์วิปัสสนาของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ที่ จ.นครราชสีมา โดยที่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเลย บอกแค่ว่าให้ไป และฟรี - คุณอาบอกชื่อสถานที่ และวิธีการนั่งรถไปวัด สถานที่จัดงาน และก็บอกว่าให้ถามทางเอากับชาวบ้านหรือคนแถวนั้น รับรองไปถูกแน่นอน - บอกให้เรากับแม่ไป แต่ไม่ขับรถไปส่ง และมันก็ออกมาดีจริง ๆ ครับ ทุกอย่างที่คุณอาเลือกให้ "ดี" เสมอ เพราะหลาน ๆ ในตระกูลฝั่งคุณพ่อไปเข้าศูนย์วิปัสสนาหมดแล้ว เหลือเราเป็นคนสุดท้าย เพราะตอนนั้นเราเรียนอยู่เมืองนอก มันเป็นการตัดสินใจที่ดีมากเลยครับ เมื่อทุกคนออกมาจากศูนย์ของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย เรารู้สึกว่าทุกคนในครอบครัว (ฝั่งคุณพ่อ) พูดจาภาษาเดียวกัน คิดอะไรคล้าย ๆ กัน มันดูสอดคล้องกันไปหมด มันทำให้ชีวิตครอบครัวใหญ่มีความสุข หลาย ๆ องค์กร อยากให้พนักงานซื่อสัตย์ อยากให้พนักงานเป็นคนดี ง่ายมากเลยครับ จับโยนไปที่ศูนย์วิปัสสนาของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย สัก 7 วัน เชื่อเถอะครับ 99.99% ออกมาดี Before and After เห็นได้ชัด สำหรับเรานะ สำหรับเราแล้ว การไปเข้าศูนย์วิปัสสนาในวันนั้น มันเปลี่ยนชีวิตเรามาก มันทำให้ "เรา" เป็น "เรา" ในวันนี้ หากใครมีโอกาส ลองเข้าไปสัมผัสดูนะครับ 10 ปากว่าไม่เท่าปฏิบัติเอง แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป |
AuthorJohn Paopeng Archives
April 2025
Categories |