จาก blog ก่อนที่เราเขียนไปเรื่องของ apartment หลังที่ 2 ที่เราบอกว่าเรา top up เข้าไปทุก ๆ เดือน เดือนละ $20,000
หลาย ๆ คนก็อาจจะคิดว่า แต่ละคนมีกำลังซื้อ กำลังในการ top up ที่แตกต่างกันออกไป แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องสามารถ top up ได้เดือนละ $20,000 ที่เราเขียนไปใน blog มันก็เป็นประสบการณ์ของเรา เป็น strategy ที่เราทำ แต่ละคนก็ต้องนำเอาไปประยุกต์ของใครของมัน แล้วแต่สถานการณ์ของตัวเอง ทุกคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ เราก็ใช้เวลาหลายปีในการทำงาน ในการไต่เต้าตามหาความฝันของตัวเอง แต่ทุกอย่างมันก็เริ่มจากการอ่าน การอ่านหนังสือ มันช่วยได้เยอะมากจริง ๆ ครับ ถ้าทุกคนรักการอ่านนะ อะไรก็ทำได้ เชื่อสิ เราก็เริ่มจากที่ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเริ่มจาก สมองและ 2 มือที่มี เราเป็นเด็กที่เรียนดี และชอบการเรียนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เราเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน เราเรียนดีมาโดยตลอด เพื่อนฝูงที่คบก็จะอยู่ในกลุ่มของเด็กเรียนทั้งนั้น เราเป็นบัณฑิต แน่นอนเพื่อนเราส่วนมากก็จะเป็นบัณฑิตด้วยเหมือนกัน อันนี้ก็แล้วคนจะมองว่า หยิ่งหรือเปล่า เลือกคบคนหรือเปล่า hmmm.... ก็ชีวิตนี้เป็นของเรา ทำไมเราจะต้อง care กับสายตาของคนอื่นด้วยละ เรารู้แค่ว่า ที่ผ่านมาเราทำให้พ่อแม่และวงตระกูลภูมิใจด้วยผลการเรียนทางด้านวิชาการ ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เพื่อนเราที่คบส่วนมากก็จะเป็น "บัณฑิต" ด้วยเช่นเดียวกัน แล้วการเป็น "บัณฑิต" มันเกี่ยวข้องกับการลงทุน การมีรายได้ที่สูงได้ยังไงเหรอ เราคิดว่ามันก็เกี่ยว เพราะเรามีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยเรียน high school แล้ว ก็เอาเป็นว่าตอนเรียน ม.4 เราอ่านหนังสือเรียนของ ม.4-ม.6 จบหมดแล้ว ใช่จ๊ะ เราจบ ม.4 ม.5 ม.6 (year 10-12) ภายในปีเดียว ช่วงที่เรียน Bachelor of Computer Science ที่ University of Wollongong; UOW เราก็อ่านหนังสือแค่หนังสือเรียน แค่อ่านหนังสือเรียน textbook พวกนี้ก็ขี้แตกแล้วจ๊ะ จนเราเรียนจบแล้เริ่มทำงานเป็น programmer เป็น software engineer ตอนนี้แหละที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ช่วงที่ทำงานอยู่นั้น เราก็เริ่มสนใจหาหนังสือพวก self-improvement มาอ่าน หาหนังสือพวก business และก็พวก personal finance มาอ่าน และแล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป mindset เราก็เริ่มเปลี่ยน จากการอ่านนี่แหละ Leaders are Readers จริง ๆ ครับ แต่ก่อนเราก็แค่มีความคิดว่า:
แต่ก่อนคือคิดแค่นี้จริง ๆ เราเป็นคนที่อยู่ใน corporate world มาก วิธีคิด แนวคิด คิดแบบลูกจ้าง คิดแบบ employee ว่าจะทำยังไงให้ไต่เต้า เลื่อนตำแหน่งให้สูง ๆ ให้ไวที่สุด ให้มีเงินเดือนเยอะที่สุด เราก็คิดว่าเราจะทำงานเป็นลูกจ้างเขาไปตลอดชีวิตนั่นแหละ ไม่เคยคิดว่าจะต้องออกมาทำอะไรเป็นของตัวเอง เพราะยังไงเสียงานทางด้าน IT เงินเดือนเราเยอะอยู่แล้ว เราไม่เคยต้องเดือดร้อนอะไร และเราก็คิดว่ายังไง ๆ เราก็ไม่ตกงานแน่นอน ก็อุตส่าห์เรียนมายากซะขนาดนี้ เราคิดว่าเอาง่าย ๆ ว่าเรียนมาทางด้านสาย technology ยังไงก็ไม่ตกงาน หลังจากที่เริ่มอ่านหนังสือพวก self-improvement, พวก business book พวก personal finance ความคิดเราก็ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนไป เราก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือ Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่า Robert Kiyosaki เป็นใคร เราไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วเขามีหนังสือเล่มแรกที่ออกมาก่อนหน้านี้ชื่อ Rich Dad, Poor Dad เราก็เห็นหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ร้าน Angus & Robertson เราก็เออ ๆ หยิบ ๆ มาละกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็แค่ชอบชื่อหนังสือก็แค่นั้นเอง พอเราเริ่มอ่าน มันก็ทำให้เราเข้าใจเรื่องการเงิน การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การมี passive income อะไรคือ assest (อะไรที่สามารถเพิ่มมูลค่า หรือสร้างรายได้ได้) อะไรคือ liability (อะไรที่ไม่เพิ่มมูลค่า มูลค่าลดลง) ตายละ นี่มันเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลยนะเนี๊ยะ เราคิดในใจว่า "เราไปอยู่ที่ไหนมานะ" เราน่าจะมีความรู้เรื่องนี้ตั้งแต่นานแล้ว เพราะโลกของเราตอนนั้นคือ IT, IT และก็ IT เท่านั้น เขียนโปรแกรม เขียนโปรแกรม และก็เขียนโปรแกรม Java, Java และก็ Java เป็นลูกจ้าง เป็นลูกจ้าง และก็เป็นลูกจ้าง พอเราอ่านหนังสือ Retire Young, Retire Rich ของ Robert Kiyosaki ความคิดเรื่องการทำงานของเราก็เริ่มเปลี่ยนไป จากแต่ก่อนที่เป็น Employee เราก็อยากที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็น Self-Employed Business Owner และก็ Investor ถ้าดูจาก cashflow quadrant ก็คือค่อย ๆ ย้ายตัวเองจากด้านซ้ายมือของ quadrant ไปอยู่ด้านขวามือของ quadarant ด้านซ้ายของ Cashflow Quadrant ก็คือ: Employee และก็ Self-Employed Employee: ก็คือลูกจ้างหรือพนักงานบริศษัท เราจะทำงานมากหรือทำงานน้อย ลูกจ้างก็จะได้เงินเดือนเท่าเดิม Self-Employed: ก็คือคนที่เป็นนายตัวเอง ก็ดีกว่าลูกจ้างนิดหน่อย แต่ถ้าวันไหนหยุดทำงาน เราก็ไม่ได้ตังค์ อย่างเช่นพวก tradeperson, หมอ หรือ ทนายความ เป็นต้น ด้านขวามือของ Cashflow Quadrant ก็คือ: Business Owner และก็ Investor Business Owner: ก็คือเจ้าของธุรกิจที่มีพนักงานทำงานให้ ทำงานหรือไม่ทำงาน เราก็ยังพอมีรายได้ มีเงินมาจากธุรกิจของเรา จากการทำงานของพนักงาน (employee) Investor: ก็คือนักลงทุน พวกที่มี passive income ไม่ว่าจะมาจากด้านไหนก็ตาม ไม่ว่ามาจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (investor ไม่ใช่ trader) หรือรายได้จาก royalty fee ค่าลิขสิทธิ์ หรือทรัพย์สินทางปัญญา อย่างเช่นการเขียนหนังสือ การแต่งเพลง การร้องเพลง อะไรก็ว่าไป แน่นอนการที่เราสามารถ top up home loan account ของเราได้ $20,000 ต่อเดือนนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นได้แค่ชั่วข้ามคืน แต่มันค่อย ๆ เกิดขึ้นและเป็นไปตาม step ของชีวิตที่เราวาดและวางเอาไว้ ดังนั้นถ้าใครหลาย ๆ คนตอนนี้ยังทำงานเป็นลูกจ้างประจำ เป็นพนักงาน เป็น Employee อยู่ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ค่อย ๆ หาหนทางในการขยับขยาย แล้วทุกอย่างก็จะค่อย ๆ ลงตัวไปเอง ถ้าใครภาษาอังกฤษพอใช้ได้หน่อย เราก็แนะนำให้ลองอ่านหนังสือของ Robert Kiyosaki ดูนะครับ เราอ่าน: 1. Retire Young, Retire Rich (พูดถึงเรื่อง passive income) 2. Rich Dad, Poor Dad (เป็นหนังสือเล่มแรกของ Robert Kiyosaki) โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่าอ่านเล่ม Retire Young, Retire Rich ก็ครอบคลุมทุกอย่างหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านเล่มแรก; Retire Young, Retire Rich ทุกอย่างในชีวิตต้องมีการวางแผนนะครับ แต่ก่อนเราก็เป็นแค่ลูกจ้าง เป็นแค่พนักงาน เป็น programmer คนหนึ่ง เราผันตัวเองมาเป็นนายตัวเอง และเป็นเจ้าของธุรกิจได้ยังไง และตอนนี้เราก็กำลังค่อย ๆ ผันตัวเองไปเป็นนักลงทุน ทุกอย่างมันมีที่มาและที่ไป เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้ ลองวางแผนชีวิตของตัวเองดู ลองเอามือจับหน้าอกด้านซ้ายดู ถ้ามันยังเต้นอยู่ แสดงว่าเรายังมีโอกาส เราขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ Comments are closed.
|
บันทึกชีวิตการลงทุน เล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ Archives
September 2023
|