กับชีวิตของการทำงาน บางทีเรารู้สึก "empower" เมื่อเราสามารถเลือกได้ว่างานไหนเราจะรับ งานไหนเราจะไม่รับ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว เรารับมาก็ได้ ก็ไม่เสียหาย แต่ deadline มันอาจจะรีบเร่งไปหน่อย อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็ทำได้อยู่แล้ว เราคิดว่าเราทำทัน
ก็อาจจะมีบ้างที่ลูกค้าติดต่อมาให้เรางาน ทำนั่น นี่ โน่น last minute จริง ๆ แล้วเราสามารถรับงาน เรารู้ว่าทำได้ ความอึดของเรามีมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว เราคิดว่าเราเป็นคนขยันพอ และเราสามารถจัดเวลาของเราได้ แต่เราก็เลือกที่จะตอบปฏิเสธไป เพราะเราคิดว่า ถ้าเขาอยากให้ทำเรื่องให้จริง ๆ เขาก็น่าจะติดต่อเรามาแต่เนิ่น ๆ ให้เวลากันนิดหนึง ไม่ใช่มาเร่งรีบอะไร last minute เพราะเท่าที่เราสังเกตุดูก็คือ คนที่จะมาให้เราทำเรื่องให้ last minute อะไรประมาณนี้ พวกเขาไป shopping around มากันมาแล้ว ไปเลือกราคา ไปคุยกับเจ้านั้นทีเจ้านั้นที นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้ตั้งใจอยากจะให้เราทำให้ตั้งแต่เท่าไหร่ เราไม่ต้องการ position ตัวเราเป็นพวกสินค้า "แบกะดิน" personal branding ก็เป็นอะไรที่สำคัญ ถ้าเรา position ตัวเป็น Hyundai เราก็จะได้ลูกค้าอีกแบบหนึง ถ้าเรา position ตัวเป็น Lexus, Tesla, Ferrari เราก็จะได้ลูกค้าอีกกลุ่มหนึง ดังนั้นตัวเราเองก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน เราสามารถสังเกตุเห็นได้ว่าคนที่ follow เรามานานในพวกสื่อต่าง ๆ เขาจะมีความเชื่อมั่นในตัวเรามากกว่า เขาติดต่อมาเลยว่า อยากให้เราทำ case ให้ ไม่ถามอะไรวกวน เพราะเขาชื่อใจเราแล้ว และที่สำคัญคือ ไม่เคยต่อรองในเรื่องของราคา แบบนี้มันทำงานด้วยกัน มันก็สนุกกว่า คลื่นความถี่ตรงกัน ลูกค้าประเภทนี้ ประมาณว่าเขาเลือกเราแล้ว เขาเดินเข้ามาหาเราเลย เขาติดต่อเรามาเลย แต่ consumer behaviour บางคนก็อาจจะชอบที่จะทำอะไร last minute อาจจะเป็นคน disorganise หรืออาจจะยังไม่พร้อมในเรื่องอะไรหลาย ๆ อย่าง เราก็ไม่ขอ judge ใครทั้งสิ้น เพราะสินค้าบางอย่างอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน Lexus, Tesla, Ferrari อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน Hermes ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน งานบางงาน เราก็เลือกที่จะปฏิเสธไป เพราะเรามีคิวงานของเราอยู่แล้วไม่เคยขาด ไม่เคยว่างอยู่แล้ว ถ้าเราจะรับ case แบบเร่งด่วนเข้ามา ซึ่งบางทีมันก็เป็น case ใหญ่นะ ซึ่งเราก็ charge ในราคาที่สูงอยู่แล้ว ถ้ารับมา เราก็ได้ตังค์เยอะแน่นอน แต่เราก็เลือกที่จะไม่รับ เพราะจริง ๆ แล้วปีนี้ยอดขายเราได้ทะลุเป้าตามที่เราอยากได้แล้วตั้งแต่เดือน Oct ดังนั้นช่วง Nov-Dec อะไรที่เข้ามา เราก็ถือว่าเป็นกำไรของชีวิต หรือต่อจะให้ไม่มีงานเข้ามาเลย เราก็ไม่เป็นไร เราก็จะได้มีเวลาในการทำงานของเราอย่างอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็น "Project X" ที่แอบซุ่มทำตอนเช้า (แต่ก็ยังไม่เสร็จสักที), การเขียน blog, การทำ Video ลง YouTube หรือการทำ Podcast ด้วย ซึ่งงานแต่ละอย่างมันก็ต้องใช้เวลา และที่แน่ ๆ ก็คือเวลาในการออกกำลังกาย และนั่งเล่นอยู่กับครอบครัวด้วย การที่เรา "say No" กับ something ไม่ได้แปลว่าเราหยิ่ง แต่มันหมายถึงการที่เรารู้จักเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน เรารู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต จุดยืนของเราเด่นชัด เราไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว เมื่อความต้องการของเราไม่มาก เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง "หา" ให้มาก เพราะสิ่งที่หามาได้ ก็ขอแค่ให้มากกว่ารายจ่ายก็พอ และเรื่องการจัดสรรค์เงินทองอะไรประมาณเนี้ยะ เราก็อ่านหนังสือพวก personal finance มาเยอะ เราพอจะจัดสรรค์ได้ว่าจะต้องทำอะไร ยังไงบ้าง เราใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เคยสุรุ่ยสุร่ายเลย ทั้ง ๆ ที่ความจริงเราก็มีศักยภาพพอที่จะใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยก็ได้ถ้าอยากจะทำ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำ เรากับครอบครัวก็อยู่กันอย่างเพียงพอ มีความสุขกับคนในครอบครัว ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับใคร เราก็เลยบริหารในเรื่องของการเงินง่าย เราอยากจะแนะนำหนังสือ "The Millionaire next door" นะครับ ว่าง ๆ ก็ลองไปหาอ่านกันดู กับชีวิตการทำงาน หรือชีวิตทั่ว ๆ บางทีเราก็ต้อง "say no" กันบ้างนะครับ ชัดเจนกับชีวิตไปเลย คนไทยส่วนมาก จะคิดจะทำอะไรก็มัวแต่เกรงใจกันอยู่นั่นแหละ กลัวคนไม่รัก นั่น นี่ โน่น ส่วนตัวเราเอง เราก็ถือว่าเราโชคดีที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน character ของเราก็เลยออกจะ strong นิดหนึง ชัดเจนกับชีวิต "say no" กับ something ก็หมายความว่าเรา "say yes" to something else ดังนั้น อย่าให้อะไรที่เราไม่ชอบทำมาถูกมัดเรา งานไหนที่เราไม่ชอบ งานไหนที่เราไม่อยากทำ เราตอบปฏิเสธไปเลย แล้วเราจะก็มีเวลาได้ไปทำงานหรือทำอะไรในสิ่งที่เราชอบ แล้วชีวิตเราก็จะปวดหัวน้อยลง เมื่อเราปวดหัวน้อยลง ชีวิตเราก็จะมีความสุข คนรอบข้างก็จะมีความสุขไปด้วย ความสุขต้องเริ่มที่ตัวเราก่อนนะครับ |
AuthorJohn Paopeng Archives
October 2023
Categories |