คนเราเกิดมาตัวเปล่า ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย
ชีวิตทุกคนเริ่มต้นที่ศูนย์ เหมือน ๆ กัน ที่เหลือนอกจากนั้นคือปัจจัยภายนอกที่แตกต่าง แต่ละคนเกิดมาในครอบครัวที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางการเงิน หรือฐานะทางสังคม คนจนก็เป็นหนี้ได้ คนรวยก็เป็นหนี้ได้ ใช่ว่าคนรวยจะปลอดหนี้ เขาก็มีหนี้ของเขาได้เช่นเดียวกันหากไม่รู้จักการบริหารเงินที่ดี คนจนก็ใช่ว่าจะเป็นหนี้เสมอไป คนที่เขาอยู่กันแบบพอเพียง ไม่ทำอะไรใหญ่เกินตัว เกินกำลัง ชีวิตเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุข เป็นชีวิตที่ปลอดหนี้ได้ ชีวิตปลอดหนี้นั้นทำได้ หามาได้ 10 เก็บเอาไว้เป็นทุนสำรอง 1 เก็บเอาไว้เป็นทุนในการต่อยอดชีวิต ในการลงทุน 2 ที่เหลืออีก 7 ค่อยมาเอาจับจ่ายใช้สอย หากทำได้เช่นนี้ชีวิตเราก็ปลอดหนี้ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับฐานะว่าจะยากจนหรือร่ำรวย มีน้อยเราก็ใช้น้อย ใช้ตามกำลังที่เราหามาได้ หากชีวิตคนเราไม่มีรายได้อะไร เราก็ต้องพยายามที่จะไม่มีรายจ่าย ใช้ชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย ชีวิตของคนชาวป่าชาวเขาที่อยู่บนดอย เขาก็มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ปลูกพืชผักสวนครัวกินเอง ไม่ต้องไปซื้อหา ไม่ต้องมีรายจ่าย แตกต่างจากคนสังคมในเมือง หรือหลาย ๆ คนที่หลอกตัวเอง หามาได้ 10 แต่ใช้ 15-20 เงินไม่มีก็ไปหยิบยืมมา ไปรูดบัตรเครดิตมาก่อน สถาบันธนาคารไม่ได้มีเอาไว้เพื่อช่วยเหลือคน แต่สถาบันธนาคารมีเอาไว้เพื่อทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้น สถานบันธนาคารไม่ใช่ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” สถาบันธนาคารไม่ได้ผิด เขาก็ทำธุรกิจของเขา ผิดที่คนไปกู้ยืมแล้วไม่ประเมินกำลังของตัวเอง ผิดที่คนกู้ยืมไม่ได้วางแผนชีวิตของตัวเองให้รอบคอบ ธนาคารนั้นเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” หากเรารู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันก็จะเป็นเครื่องมือที่สามารถทำเงินให้กับเราได้อย่างมหาศาล แต่เราก็ต้องเรียนรู้ว่าเราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร ไม่ใช่สักแต่จะไปหยิบยืมมา ไปกู้มา เมื่อไหร่ที่เราควบคุมมันไม่ได้ บริหารมันไม่ได้ เมื่อนั้นแหละมันจะหวนกลับมาทำร้ายเรา “ลูกค้าดีเด่น” ของธนาคาร มันไม่มีอะไรที่น่าภูมิใจเลยจ๊ะ ถ้าหากเมื่อไหร่เราเป็น “ลูกค้าดีเด่น” ของธนาคาร เมื่อนั้นแหละเราคือข้าทาสของธนาคาร ข้าทาสผู้โง่เขลา คนที่ไร้ปัญญาเท่านั้นที่ภูมิใจว่าตัวเองเป็น “ลูกค้าดีเด่น” ของธนาคาร ก็เอาเป็นว่า เบื้องบนท่านให้มาไม่เท่ากัน ก็เพราะเขาคิดได้แค่นี้ เขาก็เลยเป็นแบบนี้ เขาทำดีที่สุดแล้ว เท่าที่กำลังเขามี ในเวอร์ชั่นของเขา แต่… แต่… แต่… เราจะต้องไม่โทษธนาคารหรือใครคนอื่น เรานั่นแหละที่จะต้องโทษตัวเราเอง ทุกการตัดสินใจ เราเป็นคนตัดสินใจเอง ธนาคารเขาก็อยู่ของเขาดี ๆ เขามีหน้าที่ทำกำไรให้กับเจ้าของธนาคาร ให้กับผู้ถือหุ้น เราเองต่างหากหละที่ไม่ประเมินกำลังของตัวเราเอง เราต้องไม่โทษธนาคารที่เขาปล่อยสินเชื่อ หรือบัตรเครดิตด้วยความง่ายดาย เราเองต่างหากหละที่ต้องหักห้ามใจเราเอง ไม่ทำอะไรเกินกำลัง ไม่สร้างหนี้ การกู้ยืมธนาคารหรือการใช้บัตรเครดิตมันคือการใช้เงินของอนาคต “เงินในอนาคต” ที่เราอาจจะไม่มีก็ได้ เมื่อเราเอาเงินจากธนาคารมาใช้ เราก็ต้องใช้คืนเขา เพราะนั่นมันไม่ใช่เงินของเรา เมื่อไหร่ที่เราไม่สามารถใช้เงินคืนธนาคารได้ ธนาคารก็จะมีการคิดดอกเบี้ย ต้นทบดอก ดอกทบต้น กลายเป็นหนี้สินรุงรัง ปัญหาของคนหลาย ๆ คน หากคนเรามีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อเป็นการระดมทุนในการดำเนินธุรกิจ มันก็ทำได้ แต่เราก็ต้องมีการวางแผนที่ดี ไม่ใช่แค่ยืมเงินมาแล้วก็คิดว่าทุกอย่างมันจะลงตัว ธุรกิจจะลงเอยด้วยดี ถ้าหากการระดมทุนเพื่อมาใช้จ่ายในธุรกิจจริง ๆ ไม่เอาไปใช้จ่ายอะไรอย่างอื่น อย่างน้อยก็ให้เงินมันหมุนเวียนและหล่อเลี้ยงในธุรกิจ ไม่ดึงเอาเงินจากการบริหารธุรกิจมาใช้จ่ายส่วนตัว ทุกอย่างก็น่าจะลงเอยด้วยดี แต่หลาย ๆ คนก็ตกหลุมพลางของตัวเอง ไอ้โน่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากมี วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ของนอกกาย กิเลสจะนำมาซึ่งปัญหาเสมอ คนเราหลาย ๆ คนบอกว่าต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เราก็ต้องดูตัวเราด้วยว่า บ้านที่เราซื้อ มันใหญ่ เกินกำลังของเราหรือเปล่า รถที่จะต้องผ่อน มันมีความจำเป็นจริงหรือไม่ ขับรถไปทำงาน เพื่อหาเงินมาผ่อนรถ มันก็เหมือนคนที่เขาทำงานหนักเพื่อหาเงินมาซื้อเครื่องสำอางเพื่อที่จะรักษาหน้าที่พังเพราะทำงานหนักหรือเปล่า สรุปมันเป็นวงจรอุบาทว์หรือเปล่า กับคนที่ใส่สูทร ผูกเนคไท ขับรถราคาแพง ๆ แต่มีหนี้สินทางธุรกิจ 100,000,000 ล้านบาท กับชาวไร่ชาวสวนที่มีพืชผักผลไม้เต็มหลังบ้าน ข้าวเต็มยุ้งฉาง มีอาหารกินทุกวัน ไม่ต้องไปซื้อหา ไม่มีหนี้สิน คณิตคิดง่าย ๆ ระหว่างบุคคล 2 คนนี้ สรุปแล้ว ใครรวยกว่ากัน สุดท้ายแล้ว ควาสุขของคนเรามันอยู่ที่ใจ หาใช่สิ่งของ ทุกสิ่งอย่างมันเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของเรา ตัดสินใจผิด ชีวิตเปลี่ยน หลาย ๆ คนติดภาพลักษณ์ กับรสนิยมที่สูงเกินตัว พวกรายได้ต่ำ รสนิยมสูง กับรถที่ต้องคันใหญ่ ๆ เพียงเพราะเรื่องหน้าตา อันนี้ก็อยากได้ อันนั้นก็อยากมี สุดท้ายแล้ว ตัวเราเองนั่นแหละที่จะต้องโทษตัวเราเอง กับความโง่เขลา กับกิเลสที่ไม่มีวันหมดสิ้น แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็ต้องคิดเสียว่า เบื้องบนท่านให้มาไม่เท่ากัน หากเขาคิดได้ หากเขารู้จักที่จะคิด เขาก็คงไม่ทำ หากคนเรามีความรู้เรื่องการเงิน มีความรู้เรื่องการบริหาร บวกกับการมีชีวิตที่เรียบง่าย “ชีวิตปลอดหนี้” นั้นสามารถทำได้ มันไม่ใช่แค่ทฤษฎี ถ้าหากมีคนทำได้ และทำมาแล้ว ก็แสดงว่า “มันทำได้” จริง ทุกสิ่งอย่างในชีวิตที่เกิดขึ้นมันคือบทเรียน เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ไม่ควร “ผูก” อะไรตั้งแต่แรก มีน้อยใช้น้อย อยู่กันแบบพอเพียง ไม่ทำอะไรใหญ่เกินตัว ไม่สร้างภาระในชีวิต ชีวิตนี้ก็ไม่น่าจะเป็นหนี้นะ |
AuthorJohn Paopeng Archives
October 2023
Categories |